เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ ทั้งหมด 2 รุ่น คือรุ่นหน้าจอ 4.7 นิ้ว ในชื่อทางการว่า iPhone 6 และ 5.5 นิ้ว ในชื่อทางการว่า iPhone 6 Plus ทั้งคู่มีหน้าจอแบบ LCD
iPhone 6 หน้าจอ 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซลมากกว่า iPhone 5s คิดเป็น 38% ตัวเครื่องบางเพียง 6.9 มม. ส่วนทางด้าน iPhone 6 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซลมากกว่า iPhone 5s คิดเป็น 185% ตัวเครื่องบางเพียง 7.1 มม.
หน้าตา UI ของ iPhone 6 จะแตกต่างจาก iPhone 6 Plus เล็กน้อย โดยรุ่นใหญ่จะแสดง UI ได้มากกว่าอย่างเช่นไอคอนโปรไฟล์ผู้ติดต่อในรายการข้อความ เป็นต้น และในหน้าโฮมสกรีนใช้งานในแนวนอนได้เหมือนกับ iPad
มาพร้อมชิปประมวลผลรุ่นใหม่ Apple A8 สถาปัตยกรรม 64 บิตที่เทคโนโลยี 20 nm ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า A7 คิดเป็น 17% และประมวลผลเร็วขึ้นกว่าเดิม 25% ส่วนกราฟิกก็เร็วขึ้นถึง 50%
ในส่วนของแบตเตอรี่ iPhone 6 Plus ใช้งานโทรผ่าน 3G ได้ยาวนานถึง 24 ชั่วโมง และ iPhone 6 โทรผ่าน 3G ได้นาน 14 ชั่วโมง
นอกจากนี้แล้วยังมีหน่วยประมวลผลร่วม M8 ซึ่งเป็นตัวประมวลผลการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะหรือ Motion Co-Processor ด้วยความสามารถในการคำนวณการขับขี่จักรยาน การวิ่ง ระยะทาง และความสูงได้ด้วย
iPhone 6 รองรับ LTE 20 bands ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 150Mbps และรองรับ Wi-Fi is 802.11ac เร็วแรงกว่าเดิม
ในส่วนของกล้องมีความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่าเดิม ค่ารูรับแสง f/2.2 แต่ปรับปรุงเซนเซอร์ iSight ใหม่ที่เรียกว่า”Focus Pixels” ช่วยโฟกัสได้เร็วขึ้นกว่าเดิม พร้อมระบบกันภาพสั่นไหว และแฟลช True Tone นอกจากนี้ก็สามารถถ่ายภาพในโหมดพาโนรามาขนาด 43 ล้านพิกเซล
ความสามารถใหม่บันทึกวิดีโอแบบ Slo-Mo ที่ความเร็ว 240 เฟรมต่อวินาทีจากเดิม 120 เฟรมต่อวินาที และสุดท้ายมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID
ราคา iPhone 6 ในสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นที่ $199 สำหรับรุ่น 16GB, ราคา $299 สำหรับ 64GB และราคา $399 สำหรับรุ่น 128GB ส่วนทางด้านราคา iPhone 6 Plus เริ่มต้น $299 สำหรับรุ่น 16GB, ราคา $399 สำหรับ 64GB และราคา $499 สำหรับ 128GB โดยราคาทั้งหมดนี้เป็นราคาติดสัญญา 2 ปี และรุ่นเก่าอย่าง iPhone 5S ราคาตกมาอยู่ที่ $99 ส่วน iPhone 5c แจกฟรี ติดสัญญา 2 ปีเช่นกัน
iPhone 6 เริ่มขายวันแรกในสหรัฐอเมริกาวันที่ 19 กันยายนนี้ และเริ่มเปิดพรีออร์เดอร์วันที่ 12 กันยายนนี้เป็นต้นไป โดยจะออกสู่ตลาด 115 ประเทศทั่วโลกก่อนสิ้นปี 2014 นี้
ขอบคุณภาพประกอบจาก TheVerge