iPad Air (2019) แท็บเล็ตจอใหญ่ สเปคแรงด้วย A12 Bionic ตัวเดียวกับ iPhone XS แถมยังรองรับการใช้งานได้ครบทั้ง Apple Pencil และ Smart Keyboard โดยรุ่นที่เรารีวิวอยู่ก็เป็นรุ่นที่รองรับ Cellular ด้วย
สรุปสเปค iPad Air (2019) Wi-Fi + Cellular
- ขนาดตัวเครื่อง : 250.6 x 174.1 x 6.1 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 456 กรัม
- หน้าจอแสดงผล Retina ชนิด IPS ขนาด 10.5 นิ้ว ความละเอียด 2224 x 1668 พิกเซล, 264ppi และรองรับ Apple Pencil
- หน่วยประมวลผล : A12 Bionic
- ROM 64/256GB
- ระบบปฎิบัติการ iPadOS 13
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 1 เลนส์ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.0 และพอร์ต Lightning
- ระบบเซลลูลาร์ รองรับ NanoSIM + eSIM และ LTE ระดับ Gigabit
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
มาเริ่มกันที่ตัวกล่องของ iPad Air (2019) กันครับ ซึ่งก็เป็นเอกลักษณ์ของ Apple ที่จะมีเพียงรูปตัวเครื่องที่ด้านหน้า เมื่อเปิดออกมาก็จะเจอกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้มาครบครับ ดังนี้
- ตัวเครื่อง iPad Air (2019)
- พอร์ตชาร์จ Lightning
- อะแดปเตอร์กำลังไฟ 10W
- สติ๊กเกอร์ Apple
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
- อุปกรณ์เปิดถาดซิม (เฉพาะรุ่น Wi-Fi + Cellular)
ดีไซน์เบาบาง ถือมือเดียว ใช้งานได้สะดวก
สำหรับ iPad Air (2019) ถือว่าเป็น iPad ที่น่าจะเป็นหนึ่งในรุ่นที่กะทัดรัดมากที่สุดของ Apple แล้วครับ ด้วยดีไซน์ที่มีความเบาและบางในการจับถือ สามารถถือมือเดียวแล้วรองกับฝ่ามือได้แบบสบายๆ อีกมือก็สามารถใช้จดสิ่งต่างๆ ได้ด้วย โดยที่ด้านหลังจะมีความโค้งในทั้ง 4 มุม ทำให้สบายมือขึ้นไปอีก
หน้าจอ Retina ขนาดใหญ่และคมชัด
iPad Air (2019) มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Retina ขนาด 10.5 นิ้ว ความละเอียด 2224 x 1668 พิกเซล ที่ถือว่าการรับชมคอนเทนต์ต่างๆ แทบไม่ต่างจาก iPad รุ่นท็อปๆ ครับ แล้วเรื่องความสดใสของหน้าจอรุ่นนี้ก็ทำได้ดีอีกด้วย
มาดูรอบตัวเครื่องกันครับ เริ่มด้วยที่ด้านหน้ากันก่อนเลย เหนือหน้าจอจะมีเพียงกล้องหน้า ส่วนด้านล่างจะเป็นระบบ Touch ID ในการสแกนลายนิ้วมือ พร้อมกับเป็นปุ่ม Home ครับ
ฝั่งซ้ายตัวเครื่องจะมีพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อ Smart Keyboard
ส่วนทางขวาจะมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงที่ด้านบน ถัดลงมาด้านล่างๆ หน่อยก็จะมีช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM
ด้านบนตัวเครื่องมีปุ่ม Power, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และไมโครโฟนตัวที่ 1
ขณะที่ด้านล่างมีลำลำโพง 2 ช่อง ที่ขนาบข้างกับพอร์ตชาร์จแบบ Lightning
และสุดท้ายที่ด้านหลังมีกล้อง 1 เลนส์ และไมโครโฟนตัวที่ 2
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฎิบัติการ
iPad Air (2019) ก็แกะกล่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iPadOS 13.4.1 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ให้ใช้งานคล้ายกับโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากที่สุดครับ แถมเรื่องความไหลลื่นก็ไม่ต้องห่วง
True Tone อ่านง่ายสบายตาในทุกสภาพแสง
iPad รุ่นนี้ก็รองรับการแสดงผลหน้าจอแบบ True Tone ที่เป็นการปรับแสงอัตโนัมติตามสภาพแสงที่เรากำลังดูอยู่ครับ ทำให้เราสบายตาและใช้งานได้แบบยาวๆ
ใช้งานแม่นยำขึ้นด้วย Apple Pencil
ตามที่เราบอกไปตอนต้นว่า iPad Air (2019) รองรับการใช้งานร่วมกับดินสอ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) ด้วย ซึ่งในกล่องของตัวดินสอรุ่นแรก หลักๆ ก็จะมีคู่มือการใช้งานเบื้องต้น พร้อมด้วยหัวดินสอและหัวสำหรับชาร์จด้วยพอร์ต Lightning
ดีไซน์ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) จะเป็นทรงกระบอกทั้งหมด ไม่มีเว้าแม่เหล็กติดกับตัวเครื่อง iPad เหมือนกับรุ่นที่ 2 ครับ แต่ก็มีการจับถือก็สบายมือมากๆ เหมือนกับดินสออยู่จริงๆ
ด้านการขีดเขียนหรือวาดรูปต่างๆ ก็แน่นอนว่าทำได้แม่นยำ ตรงจุดตามที่คิดไว้ และรองรับแรงกดได้หลายระดับด้วย
เราสามารถชาร์จได้ 2 วิธีจากการถอดจุกออกที่ปลายด้าม อย่างแรกคือชาร์จกับตัว iPad Air (2019) โดยตรงผ่านพอร์ตด้านล่างตัวเครื่องครับ หรืออย่างที่ 2 ใช้หัว Lightning ที่แถมมากับในตัวกล่องของ Apple Pencil (รุ่นที่ 1)
Touch ID ใช้งานเร็วกว่าเดิม
เรื่องระบบความปลอดภัยของ iPad Air (2019) ก็ใช้เป็น Touch ID หรือการสแกลายนิ้วมือแทนที่ Face ID ครับ ซึ่งการใช้งานถือว่ารวดเร็วและเสถียรครับ ซึ่งการสแกนนี้จะใช้ทั้งการปลดล็อคเครื่องหรือการซื้อแอปต่างๆ
ใช้งานหลายแอปอย่างไหลลื่นด้วย Split View และ Slide Over
ใน iPad Air (2019) บน iPadOS 13 ก็สามารถใช้งาน 2 หน้าจอและแต่ละแอปก็ใช้งานต่อเนื่องกันได้ด้วย เมื่อเราเปิดแอปหนึ่งขึ้นมาแล้ว เราสามารถลากอีก 1 แอปจาก Dock ด้านล่างขึ้นมาเพื่อให้ทับหน้าจอแรก ซึ่งเราสามารถจากขึ้นมาทับได้อีกเรื่อยๆ ครับ โดยเราสามารถลากไฟล์จากแอปหนึ่งไปอีกแอปหนึ่งได้เช่นกัน
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
iPad Air (2019) ขับเคลื่อนด้วยผ่านหน่วยประมวลผล A12 Bionic ที่ใช้บน iPhone XS / XS Max และ XR ในปี 2018 ซึ่งก็ยังคงมีความแรงอยู่เหมือนเดิมครับ ทั้งยังมีเทคโนโลยีกราฟิกเอนจิ้น 4 คอร์ ทำให้ใช้งาน 3 มิติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผลการทดสอบทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมตั้งแต่หน่วยประมวลผล, การ์ดจอ และหน่วยความจำด้วยโปรแกรม AnTuTu Benchmark ทำได้ไปได้ที่ 491,990 คะแนน
ทดสอบการเล่นเกม
เราได้ทดสอบการเล่นเกมที่เน้นกราฟิกหนักๆ ถึง 2 เกมครับ โดยผลจะเป็นอย่างไรมาดูกันครับ
Asphalt 9 : Legend
เกมแข่งรถกราฟิกสวยๆ อย่าง Asphalt 9 : Legend ก็เล่นได้อย่างไม่มีปัญหา เล่นติดต่อกันประมาณ 30 นาทีตัวเครื่องไม่ร้อนจนเกินไปครับ ซึ่งก็อุ่นๆ ตามปกติ แล้วหน้าจอที่ค่อนข้างพอดีมือทำให้กดปุ่มต่างๆ ในจอได้สะดวกด้วย
PUBG Mobile
ส่วนเกม Battle Royal อย่าง PUBG เราก็เล่นในโหมด 100 คน ปรับทุกอย่างสูงสุดเท่าที่จะเปิดได้ (กราฟิก HDR HD และเฟรมเรท Ultra) ตลอดทั้งการแข่งขันก็เล่นได้ลื่นๆ ระบบทัชก็ดีมากเช่นกัน
แบตเตอรี่อึดใช้งานได้ทั้งวัน
ใครที่กังวลเรื่องแบตเตอรี่ว่าถ้าออกไปใช้ทำงานตอนเช้าจนถึงเย้นจะอยู่รอดหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า iPad Air (2019) ก็มีแบตเตอรี่ที่อึดพอสมควรครับ ถ้าใครที่ใช้งานทั่วไป อย่างการเขียน, วาดรูป หรือโซเชียลบ้างก็แทบไม่ต้องห่วงเรื่องแบตครับ กลับมาชารืจที่บ้านต่อได้ยาวๆ เลย
กล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูปของ iPad Air (2019) ก็ไม่ได้เน้นเป็นพิเศษอยู่แล้วครับ เพราะมีให้อย่างละ 1 เลนส์เท่านั้นในกล้องหน้า-หลัง ซึ่งแต่ละเลนส์มีความละเอียด ดังนี้
- กล้องถ่ายรูปด้านหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
ซึ่งฟีเจอร์หลักๆ ก็มีเพียงการถ่ายภาพในโหมดปกติเท่านั้นครับ แต่ภาพที่ได้ถือว่ามีความคมชัดพอสมควรเลยนะ
กล้องหลัง
กล้องหน้า
สรุปจุดเด่น
- ดีไซน์บางเบา พกพาสะดวก ใส่กระเป๋าสะพายก็ไม่กินพื้นที่
- หน้าจอใหญ่ 10.5 นิ้ว ความละเอียด 2224 x 1668 พิกเซล มีความคมชัด สามารถใช้งานทั่วไป หรือชมวิดีโอได้ระดับ FullHD แน่นอน
- ใช้ขุมพลังตัวแรงอย่าง A12 Bionic
- รันบน iPadOS 13 เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดที่มีฟีเจอร์ให้ใช้งานเพียบ
- รองรับอุปกรณ์เสริมทั้ง Apple Pencil และ Smart Keyboard
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- พอร์ตยังเป็นแบบ Lightning อยู่
สำหรับ iPad Air (2019) มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ เทาสเปซเกรย์, ทอง และเงิน โดยมีราคาเริ่มต้นในรุ่น 64GB (Wi-Fi) ที่ 17,900 บาท และรุ่น 256GB (Wi-Fi) ที่ 22,900 บาท ใครที่สนใจสามารถรับชมรายละเอียดต่างๆ และสั่งซื้อได้ที่ Apple Online Store