ข่าวประชาสัมพันธ์
ประกาศผลสุดยอดทีม Tech Startup ผู้ชนะเลิศ โครงการ “AIS The StartUp 2015” รับเงินรางวัล 1,000,000 บาท
เอไอเอส หนุนสตาร์ทอัพเต็มสูบ ประกาศผลสุดยอดทีม Tech Startup ผู้ชนะเลิศ โครงการ “AIS The StartUp 2015” รับเงินรางวัล 1,000,000 บาท ร่วมเป็น ดิจิทัลพาร์ทเนอร์ พร้อมร่วมโอกาสก้าวสู่ตลาดสากล ทันที!
(7 ตุลาคม 2558) เอไอเอสตอกย้ำความเป็นหนึ่งด้านสตาร์ทอัพ ผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำในอีโคซิสเต็ม ผลักดันพลังไอเดียคนรุ่นใหม่เต็มกำลัง ล่าสุด ประกาศผลสุดยอดทีม Tech StarUpแห่งปี คว้ารางวัลชนะเลิศโครงการ “AIS The StartUp 2015” รับเงินรางวัล 1,000,000 บาท ร่วมเป็นดิจิทัลพาร์ทเนอร์กับเอไอเอส ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในทุกมิติ เพื่อพัฒนาผลงานออกสู่ตลาดทันที พร้อมปักธง เตรียมส่งออกผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากลภายใน 3-6 เดือน โชว์ศักยภาพของสตาร์ทอัพไทยแข็งแกร่งขึ้นมาก พร้อมแข่งขันกับนานาชาติ โดยเอไอเอสได้เตรียมทุนสนับสนุนสตาร์ทอัพตลอดทั้งโครงการ มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท
นายปรัธนา ลีลพนัง รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด เอไอเอส เปิดเผยว่า“สำหรับ AIS The StartUp 2015 จัดขึ้นเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จมากขึ้นทุกปี โดยปีนี้ มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 1,500 คน หรือ 300 ทีม และคัดเลือกเข้าสู่รอบสุดท้าย 10 ทีม เพื่อทำการ Pitching นำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ คุณปกรณ์ พรรธนะแพทย์ จากธนาคาร กสิกรไทย, Mr. Oliver Foo จาก Singtel International Group, Mr. Nicholas Foo จาก Samsung Asia, คุณประพันธ์ เจริญประวัติ ประธานตลาดหลักทรัพทย์ เอ็ม เอ ไอ, คุณธนพงษ์ ณ ระนอง จาก InVent เป็นต้น รวมถึงผู้บริหารบริษัทพันธมิตรในแวดวงต่างๆ และนักลงทุนในระดับภูมิภาค รวมกว่า 200 คน
โดยภาพรวมผลงานของสตาร์ทอัพเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก กว่า 80% อยู่ในขั้นตอนพัฒนาบิสิเนส- โมเดลพร้อมต่อยอดทางธุรกิจ และอีก 20% อยู่ในขั้นตอนพัฒนาผลิตภัณฑ์, เตรียมพร้อมออกสู่ตลาด และขยายฐานหาลูกค้าใหม่ ทำให้เห็นว่าขณะนี้ สตาร์ทอัพไทยมีศักยภาพที่แข็งแกร่ง พร้อมต่อการแข่งขัน มีความโดดเด่นทั้งด้านครีเอทีฟและการสร้างจุดขายที่แตกต่าง รวมถึงมีมุมมองด้านธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น สามารถพัฒนาออกสู่ตลาดในประเทศ และต่อยอดสู่ตลาดสากลได้ ประกอบกับสภาพตลาดเปิดกว้างมากขึ้นผู้บริโภคเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดความคุ้นเคยกับบริการดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ฟากธุรกิจเองก็ให้การยอมรับและเชื่อว่า ดิจิทัลจะเข้ามาเอื้อประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ ช่วยสร้างรายได้ ขยายตลาด ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจได้จริง เหล่านี้ เป็นแรงส่งเสริมให้เหล่า Startup มีช่องทางและโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบรับเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
จากผลงานทั้งหมดที่ส่งเข้ามามีแนวคิดหลากหลาย ครอบคลุมการใช้งานในทุกรูปแบบ สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของคนในยุคดิจิทัล อาทิ
- จำนวนมากที่สุด คือ 32% เป็นบริการประเภท On-demand Economy คือแพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคสามารถจอง-ซื้อ-ขายผ่านโลกออนไลน์ โดยรองรับสินค้าและบริการเฉพาะกลุ่ม (Niche) มากขึ้น ลงลึกถึงไลฟ์สไตล์ในด้านต่างๆ
- 20% เป็นบริการประเภท Entertainment and Lifestyle เป็นกลุ่มที่ยังคงได้รับความนิยมในทุกยุค
- 14% เป็นกลุ่ม Social Enterprise กิจการเพื่อสังคม เป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความสนใจและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ปีนี้ เราเริ่มเห็นบิสิเนสโมเดลที่ลงตัวมากขึ้น สามารถสร้างผลประโยชน์ร่วมแบบ Win-Win ให้กับ Stakeholder ทุกฝ่าย รวมถึงธุรกิจก็ต้องอยู่รอดได้ด้วย
- 12% เป็นกลุ่ม Fintech ระบบชำระเงินและเทคโนโลยีด้านการการเงิน ปีนี้เป็นปีแรกที่เราได้เห็น Fintech อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ Crowdfunding การระดมทุกบนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ภาครัฐกำลังสนับสนุน ผลักดันให้เกิดกฎหมายดิจิทัลที่รองรับธุรกรรมใหม่ๆ
- 8% เป็นกลุ่ม Smart Living, IOT การใช้ประโยชน์ของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปยังเซ็นเซอร์ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมา ส่วนใหญ่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เร่งรีบและไม่ค่อยมีเวลาของคนเมือง
- 14% เป็นกลุ่มอื่นๆ อาทิ Mobile Ad, ดิจิทัลเกม ฯลฯ
โดยเกณฑ์การตัดสิน ประกอบด้วย 3 เรื่องหลักๆ คือ 1. ความพร้อมของผลิตภัณฑ์ มีRoadmap ในการทำธุรกิจที่ชัดเจน 2. สามารถต่อยอดธุรกิจในระดับภูมิภาคและแข่งขันในตลาดสากลได้ 3. บุคลากรในทีมต้องมีความรู้ความสามารถ เข้าใจการทำธุรกิจ และมีทักษะในการนำเสนอผลงานที่ดี
ทีมที่ได้รับรางวัลจากโครงการ AIS The StartUp 2015
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม FlowAccount ซึ่งเป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ แบบใช้งานง่ายๆ เหมาะสำหรับ SMEs ขนาดเล็ก ได้รับรางวัลเงินสด 1,000,000 บาท จากเอไอเอส และ 2,000 เหรียญสหรัฐฯ จาก Samsung Asia
รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ ทีม Socialgiver ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของการแบ่งปัน ที่ทำให้คุณได้ทั้ง ‘ช้อป’ และ ‘ช่วย’ สังคมไปได้พร้อมๆกัน ได้รับรางวัลเงินสด 2,000 เหรียญสหรัฐฯ จาก Samsung Asia
พร้อมกันนี้ ทั้ง 2 ทีมจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงาน Regional Operator Workshop ที่ประเทศสิงคโปร์ในเดือนตุลาคม 2558 และเข้าร่วมการแข่งขัน Regional Challenge ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียในเดือนธันวาคม 2558 และ
นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยยังมอบรางวัลพิเศษ “Best FinTech StartUp Award” ให้แก่ ทีม Choco Card ซึ่งเป็นบัตรสมาชิกสะสมแต้ม ที่รวบรวมหลากหลายธุรกิจเข้าด้วยกันในบัตรเดียว ได้รับรางวัลเงินสด 100,000 บาท
“สำหรับแผนการสนับสนุนทีมผู้ชนะต่อไป คือ การร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ และวางแผนทางธุรกิจการตลาด เพื่อ Scale to Market ออกให้บริการ และขยายสู่ตลาดสากล ภายในเวลา3-6 เดือน นอกจากนี้ เอไอเอสยังมีนโยบายให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพทุกทีมที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเอไอเอสอย่างเต็มที่ในทุกมิติ โดยเอไอเอสได้เตรียมทุนสนับสนุนสตาร์ทอัพตลอดทั้งโครงการ มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีทีมสตาร์ทอัพได้ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่กระบวนการทดสอบตลาด และออกให้บริการแล้ว จำนวน 11 ทีม ได้แก่ ShopSpot, Infographic Thailand, Aommoney, Noonswoon, The Trippacker,fourleaf, golfdigg, local alike, StockRadars, AIS U Academy, BentoWeb โดยทั้งหมดนี้ มีมูลค่าบริษัทรวมกันมากกว่า 1,000 ล้านบาท รวมถึงทุกทีมได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติร่วมลงทุนแล้ว เป็นการวัดผลความสำเร็จของโครงการได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนทีมทั้งหมดที่เข้ามาสู่ขั้นตอน Guideline ธุรกิจ ถือเป็นมากกว่า 80% ที่อยู่รอดและดำเนินธุรกิจร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ จากการจัดกิจกรรม AIS The StartUp 2015 ในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าคอมมูนิตี้ของเหล่าสตาร์ทอัพในเมืองไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ บุคลากรทางด้านนี้มีศักยภาพมาก ไม่แพ้ชาติอื่นๆ วันนี้ที่เอไอเอสได้ก้าวสู่การเป็น Digital Life Service Provider อย่างเต็มรูปแบบ จะเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่ม Startup ได้อย่างแพร่หลายและหลากหลายมิติมากขึ้น เอไอเอสขอยืนยันว่า เราพร้อมที่จะส่งเสริมและอยู่เคียงข้างธุรกิจ Startup ผลักดันให้ก้าวสู่การเป็น “ดิจิทัลพาร์ทเนอร์มืออาชีพ” ร่วมทำธุรกิจกับเอไอเอสและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ส่งมอบบริการสู่ลูกค้าเอไอเอส และแข่งขันในตลาดสากลเพื่อประเทศไทยของเราต่อไป” นายปรัธนาสรุป