Connect with us

Smart Review

รีวิว iPhone 8 Plus ตัวเครื่องกระจก เร็วแรงกว่าเดิม และชาร์จเร็ว ไร้สาย

Published

on

iPhone 8 Plus เป็นรุ่นสมาร์ทโฟนตัวท็อปในซีรีส์ 8 ซึ่งเป็นปีที่ 10 ของการเปิดตัว iPhone มาพร้อมกับการเลือกใช้วัสดุกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อให้รองรับเทคโนโลยีการชาร์จไร้สาย ในขณะที่ซีรีส์ใหม่อย่าง iPhone X จะเป็นรุ่นพรีเมียมของ iPhone เป็นรุ่นแรกจาก Apple

สรุปสเปค iPhone 8 Plus เปรียบเทียบ iPhone 7 Plus

[table id=43 /]

สรุปสเปค iPhone 8 Plus เปรียบเทียบ Samsung Galaxy Note8

[table id=48 /]

ดีไซน์ตัวเครื่องและหน้าจอแสดงผล

iPhone 8 Plus มีขนาดตัวเครื่อง 158.4 x 78.1 x 7.5 มิลลิเมตร มีขนาที่ใหญ่ขึ้น 0.2 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับ iPhone 7 Plus แต่ในการใช้งานจริงแล้วแทบจะแยกขนาดไม่ออก อาจจะเรียกว่าเท่ากันก็ได้ ซึ่งสามารถใส่เคสที่เป็นพลาสติกนิ่มหรือซิลิโคนนิ่มๆ ร่วมกันได้ด้วยสำหรับ 2 รุ่นนี้ ส่วนน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 14 กรัมก็ไม่ได้ทำได้รู้สึกว่าหนักขึ้นกว่าเดิมสำหรับผู้ที่ใช้งาน iPhone 7 Plus มาก่อน

หน้าตาของของ iPhone 8 Plus ไม่ต่างไปจาก iPhone 7 Plus แต่วัสดุกระจกของรุ่นใหม่นี้ที่จะให้ความรู้สึกในการสัมผัสแตกต่างไปจากเดิมที่เป็นอะลูมิเนียม และเฉดสีของตัวเครื่องก็จะเปลี่ยนไปด้วยผิวของกระจกที่สะท้อนแสง โดยเฉพาะในตัวเครื่องสีทองเมื่อใช้งานกลางแจ้งหรือในที่สว่างก็จะมีโทนสีที่เป็นทองอ่อนๆ ในขณะที่กรอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมที่จะเห็นเป็นโทนสีทองที่เข้มกว่า

 

กระจกเป็นวัสดุที่ทำให้ตัวเครื่องสมาร์ทโฟนมีความพรีเมียมมากขึ้น โดยใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ก็เลือกใช้กระจกแบบขอบโค้งมน 2.5D ที่โค้งพอดีกับกรอบตัวเครื่อง แต่ด้วยความเงานี่เองที่ต้องแลกมาด้วยคราบรอยนิ้วมือที่เกิดได้ง่ายมากกว่าวัสดุที่เป็นโลหะ ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องหาเคสมาใส่กันรอยอยู่แล้ว ^^

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงเมื่อตัวเครื่องเป็นกระจกคือเส้นเสาอากาศที่อยู่ด้านหลัง iPhone 8 Plus จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว โดยตัวอยู่กรอบตัวเครื่องด้านซ้ายกับขวาทั้ง 4 มุม ทำให้ตัวเครื่องมีความสวยงามมากขึ้น เหมือนเป็นการย้อนกลับไปในรุ่น iPhone 4 ซึ่งเป็นรุ่นที่เป็นกระจกเหมือนกัน แต่ชนิดของกระจกและการดีไซน์โค้งเว้าในรุ่นใหม่นั้นช่วยให้การจับใช้งานถนัดมือมากกว่า

 

หน้าจอแสดงผลของของ iPhone 8 มีขนาด 5.5 นิ้ว เป็นหน้าจอ LED-backlit IPS LCD ที่ทาง Apple เรียกว่า Retina HD ความละเอียด 1080 x 1920 พิกเซล รองรับเทคโนโลยี 3D Touch และเพิ่มเทคโนโลยี True Tone แบบเดียวกับหน้าจอ iPad Pro ที่สามารถปรับไวท์บาลานซ์ของหน้าจอให้ตรงกับแสงรอบๆ ข้าง และให้สีสันระดับมาตรฐานเทียบเท่ากับภาพยนตร์ดิจิตอล โดย Apple ระบุชัดเจนว่าหน้าจอของ iPhone 8 Plus รองรับการแสดงผล Dolby Vision และ HDR10 สำหรับการเล่นวิดีโอ

 

เหนือหน้าจอมีเลนส์กล้องหน้าความละเอียดละเอียด 7 ล้านพิกเซล และลำโพงสำหรับเสียงสนทนา ซึ่งลำโพงตัวนี้สามารถใช้เป็นลำโพงตัวที่ 2 สำหรับเสียงแบบสเตอริโอด้วย

 

บริเวณล่างหน้าจอมีปุ่มโฮมเหมือนกับในรุ่น iPhone 7 Plus ใช้การกดลงเบาๆ เพื่อกลับสู่หน้าโฮม ซึ่งจะทำงานร่วมกับ Taptic Engine หรือตัวสั่นเบาๆ เพื่อตอบสนองคำสั่ง และมีการฝังตัวอ่านลายนิ้วมือ Touch ID ไว้ที่ปุ่มโฮมนี้ด้วย

 

ขอบด้านล่างหน้าจอเริ่มจากทางซ้ายจะเป็นไมโครโฟน ถัดมาลงตรงกลางจะเป็นพอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lightning สำหรับใช้ชาร์จไฟหรือถ่ายโอนข้อมูลผ่านสายเคเบิล รวมไปถึงใช้งานกับหูฟังด้วย ส่วนทางขวาสุดจะเป็นช่องสำหรับเสียงลำโพง โดยในนี้จะมีไมโครโฟนฝังอยู่ข้างในด้วยอีกหนึ่งตัว และไม่มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5mm. แต่หากต้องการใช้งานก็สามารถใช้ตัวแปลงพอร์ตเป็นแบบ Lightning ที่แถมในกล่องได้

 

ด้านขวาตัวเครื่องจะมีปุ่ม Power สำหรับปิด/เปิดตัวเครื่องหรือปิด/เปิดหน้าจอก็ได้ และถัดลงมาจะมีช่องถาดใส่ซิมขนาด Nano SIM

 

ด้านซ้ายตัวเครื่องมีปุ่มสำหรับปิดเสียง และปุ่มปรับระดับเสียง

 

ตัวเครื่องด้านหลังเป็นกระจก ไม่มีเส้นเสาอากาศคาดหลังให้เห็นอีกต่อไปแล้ว ซึ่งจะต่างไปจาก iPhone 7 Plus สีเจ็ทแบล็คที่เป็นอะลูมิเนียมที่มีความมันเงาสูง และยังคงมีเส้นเสาอากาศคาดหลัง โดยกล้องหลังของ iPhone 8 Plus เป็นเลนส์คู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากัน แต่ขนาดของเลนส์ไม่เท่ากัน โดยตัวหนึ่งจะทำหน้าที่เป็นกล้องมุมกว้างและอีกตัวเป็นกล้องเทเลโฟโต้สำหรับการซูม ซึ่งโมดูลกล้องหลังจะนูนขึ้นมาเหนือฝาหลังค่อนข้างเยอะพอสมควร อาจต้องระวังรอยขีดข่วนเมื่อวางเครื่องลงกับพื้นหรือถูลากกับพื้น และถัดจากเลนส์จะมีไมโครโฟนอีกตัว พร้อมกับแฟลชแบบ Dual tone จำนวน 4 ดวง

 

iPhone 8 Plus มีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP67 คือกันน้ำได้ลึกสูงสุด 1 เมตร นานสูงสุด 30 นาที แต่ก็ไม่ควรนำไปจุ่มหรือดำน้ำเล่น เนื่องจากไม่อยู่ในการรับประกันหากเครื่องเสียหายจากน้ำเข้า

 

อินเตอร์เฟซและฟังก์ชั่นการใช้งาน

iPhone 8 Plus มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 11 ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมแทบจะทั้งหมดเมื่อเทียบกับ iOS 10 ที่เป็นเวอร์ชั่นก่อนหน้า โดยจะเน้นที่การปรับแต่งฟีเจอร์ใหม่ๆ และตัวซอฟต์แวร์มีความฉลาดในการเรียนรู้จากการใช้งานมากขึ้น

 

ความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่เห็นชัดเจนมากที่สุดคือในส่วนของศูนย์ควบคุมหรือ Control Center มีไอคอนขนาดใหญ่ และสามารถแตะค้างเพื่อใช้งานด้วยฟีเจอร์ 3D Touch เพื่อให้แผงในส่วนที่เลือกเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ แล้วแตะควบคุมหรือสั่งงานได้ทันที เช่น แตะค้างที่ไอคอนปรับแสงหน้าจอ จะเด้งเลือกโหมดหน้าจอได้ เป็นต้น และ Notification Center สามารถดูรายการแจ้งเตือนได้จากการลากแถบบาร์ด้านบนหน้าจอลงมา และสามารถปัดหน้าจอขึ้นเพื่อเข้าถึงรายการแจ้งเตือนได้ด้วย

 

App Store เองก็ปรับดีไซน์ใหม่ทั้งหมด เนื่อหาภายใน Store มีความโดดเด่น เต็มตา และสวยงามมากขึ้น โดยมีการเพิ่มแท็บวันนี้เพื่อนำเสนอรายการแอปและเกมแบบรายวัน และปุ่มดาวน์โหลดหรือปุ่มซื้อจะอยู่ด้านล่างสุดของหน้าแสดงรายละเอียด ในขณะที่ปุ่มปิดหน้าจอจะมีไอคอน X ลอยอยู่บริเวณมุมขวาของหน้าจอ

 

ใน iOS 11 แถบสถานะด้านบนหน้าจอปรับไอคอนแถบสัญญาณมือถือเป็นแบบ 4 ขีด เมื่อเทียบกับ iOS 10 จะเป็นแบบจุดกลม 5 จุด และไอคอนแบตเตอรี่บริเวณมุมขวาบนใน iOS 11 จะแสดงปริมาณในขอบที่เด่นชัดกว่า

 

เมนูการตั้งค่าหรือ Settings มีชื่อเมนูที่มีขนาดใหญ่ ตัวหนังสือมีความหนาโดดเด่นมาก แสดงแบบชิดขอบซ้าย และแถบช่องค้นหามีความโค้งมนบนพื้นสีเทา โดยในหน้าแรกของเมนูการตั้งค่ายังได้นำรายการเมนูใหม่มาไว้ในหน้าแรกนี้ด้วย ได้แก่ เสียงและการสั่ง (Sound & Haptics), Emergency SOS, บัญชีและรหัสผ่าน (Accounts & Passwords)

 

ฟีเจอร์การกลับสี (Invert Colours) มีโหมดที่เรียกว่าการกลับสีอัจฉริยะ (Smart Invert) ที่ช่วยให้การใช้งานในโหมดที่หลายคนอาจจะเรียกว่า Dark Mode มีความฉลาดในการกลับสี โดยจะยกเว้นการกลับสีรูปภาพ สื่อวิดีโอ และแอพบางตัว

 

การบันทึกวิดีโอหน้าจอหรือ Screen Recording ก็สามารถทำได้แล้วใน iOS 11 โดยการเพิ่มปุ่มสำหรับบันทึกไว้ที่ Control Center ซึ่งรองรับการบันทึกเสียงภายนอกได้ด้วยไมโครโฟนของ iPhone

 

สำหรับการเชื่อมต่อไร้สายของ iPhone 8 Plus จะมีรุ่นที่เป็นโมเด็ม Qualcomm ซึ่งรองรับ LTE Cat.16 ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 1Gbps และอัปโหลดสูงสุด 150Mbps ส่วนบางรุ่นจะเป็นโมเด็มของ Intel ที่รองรับ LTE Cat.12 ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 600Mbps และอัปโหลดสูงสุด 150Mbps (สำหรับเครื่องศูนย์ไทยคงต้องรอทดสอบดูกันต่อไป) ซึ่ง iPhone 8 Plus ทุกโมเดลรองรับ VoLTE, HD Voice และ Wi-Fi Calling โดยในส่วนของ WiFi- ก็รองรับ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac และ Bluetooth 5.0

เทคโนโลยี NFC ที่มีอยู่ใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มาพร้อมตัวอ่านด้วย Core NFC API เวอร์ชันใหม่ของ iOS 11 แต่สามารถอ่าน NFC Tag ได้เฉพาะผ่านตัวแอพที่รองรับเท่านั้น จากเดิมที่ทำได้เพียงสำหรับ Apple Pay

 

สำหรับการชาร์จไร้สาย iPhone 8 Plus ใช้ได้กับแทนชาร์จไร้สายที่เป็นมาตรฐาน Qi จาการทดสอบชาร์จ iPhone 8 Plus ด้วยแท่นชาร์จไร้สาย Samsung Fast Charge Wireless Charging Stand โดยเริ่มชาร์จที่ 30% ไปจนถึง 50% ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

สำหรับแบตเตอรี่ของ iPhone 8 Plus ที่มีขนาดความจุ 2,691 mAh ซึ่งลดลงจากเดิมเมื่อเทียบ iPhone 7 Plus ที่มีขนาด 2,900 mAh แต่จากการใช้งานจริงก็แทบจะไม่แตกต่างกัน ไม่ได้หมดเร็วหรือหรือหมดช้าไปกว่ากันชัดเจน โดยรุ่นใหม่จะได้เปรียบที่รองรับการชาร์จด้วยกำลังไฟที่สูงกว่า โดยสามารถใช้อะแดปเตอร์ของ MacBook ขนาด 29 วัตต์กับสาย USB-C to Lightning ทำให้ชาร์จได้ไวมากขึ้นได้เช่นกัน

 

ผลทดสอบคะแนน Benchmark และประสิทธิภาพการทำงาน

iPhone 8 Plus ใช้ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic SoC ซีพียู Hexa-core (2 Monsoon + 4 Mistral) กับจีพียู Tri-core และแรม 3GB พร้อมหน่วยประมวลผลร่วม M11 สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหวใส่มาให้ด้วย โดยผลการทดสอบ AnTuTu V6.3 ซึ่งเป็นการทดสอบการเข้าถึงการทำงานของแรม และประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลกราฟิกหรือจีพียู ทำคะแนนรวมได้ 206,315 คะแนน

อันดับคะแนนจากฐานข้อมูลของ AnTuTu จะเห็นว่า iPhone 8 Plus มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 217,210 คะแนน ซึ่งทำได้มากกว่า iPhone 7 Plus

 

ผลการทดสอบด้วย Geekbench 4 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผลและหน่วยความจำแรม การทดสอบนี้จะทำการประมวลออกมาเป็นตัวเลขแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Single-Core และ Multi-Core หากได้คะแนนยิ่งสูงประสิทธิภาพการทำงานจะยิ่งดี โดยผลทดสอบของ iPhone 7 Plus ทำคะแนน Single-Core ได้ 4,229 และ Multi-Core ทำได้ 10,294 คะแนน

สำหรับผลคะแนน Single-Core และ Multi-Core ของ iPhone 8 Plus ทำได้ดีกว่า iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา รวมถึง iPad Pro ด้วย โดยเฉพาะในส่วนของ Multi-Core ที่ทำคะแนนได้มากกว่า iPhone 7 Plus เกือบ 2 เท่า

 

กล้องถ่ายรูป

iPhone 8 Plus มีกล้องหลังเลนส์คู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เป็นเลนส์มุมกว้าง ค่ารูรับแสงกว้าง f/1.8 ที่มีขนาดพิกเซล 1.22 ไมครอน และเลนส์เทเลโฟโต้ รูรับแสง f/2.6 ที่มีขนาดพิกเซล 1.0 ไมครอน ด้วยชิปเซ็ตประมวลผล A11 Biomic ตัวใหม่ล่าสุด ทำให้กล้องมีความสามารถที่เพิ่มขึ้น ทั้งการจับภาพได้แบบทันที สามารถตรวจจับตัวคนและใบหน้าได้รวดเร็วมากขึ้น ส่วนฟีเจอร์ด้านวิดีโอก็สามารถถ่ายความละเอียด 4K ที่ความเร็ว 60fps ได้แล้วด้วย หรือ 1080p ที่ความเร็ว 240fps

 

โหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait Mode) ใน iPhone 8 Plus ที่เรียกว่า Portrait Lighting ซึ่งเป็นการดึงความสามารถของเลนส์กล้องคู่ในการเข้ามาช่วยเก็บรายละเอียดของภาพถ่ายบุคคลหรือวัตถุที่ต้องการด้วยรูปแบบองค์ประกอบแสงต่างๆ ได้แก่ แสงไฟธรรมชาติ แสงไฟสตูดิโอ แสงไฟคอนทัวร์ แสงไฟเวที และแสงไฟเวทีขาวดำ โดยภาพถ่ายของจริงจะเป็นอย่างไรนั้นต้องรอดูเมื่อทำการกดถ่ายไปแล้ว และสามารถปิดการเบลอของฉากหลังได้หลังจากถ่ายไปแล้ว

 

ตัวอย่างภาพถ่ายด้วย Portrait Mode ในโหมดแสงธรรมชาติ (Natural Light) เปรียบเทียบระหว่างปิดและเปิดการเบลอฉากหลัง

 

ตัวอย่างภาพถ่าย Portrait Mode เปรียบเทียยระหว่างเอฟเฟ็กต์แสงไฟเวที (Stage Light) และแสงไฟเวทีขาวดำ (Stage Light Mono)

 

สำหรับใน iOS 11 สามารถเลือกรูปแบบ (Formats) ในการบันทึกรูปภาพและวิดีโอโดยการเข้ารหัสวิดีโอประสิทธิภาพสูง (HEVC) และรูปแบบไฟล์ภาพประสิทธิภาพสูง (HEIF) จะช่วยให้ขนาดของไฟล์นั้นมีขนาดเล็กลงเกือบครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 50% เมื่อเทียบกับรูปแบบเดิม แต่คุณภาพยังคงเท่าเดิม หรือถ้าไม่อยากเก็บไฟล์ในรูปแบบใหม่นี้ก็สามารถเลือกไปที่ ‘เข้ากันได้มากที่สุด’ (Most Compatible)

การแชร์ไฟล์รูปแบบใหม่นี้ระบบจะทำการแปลงไฟล์ให้อัตโนมัติ แต่หากถ่ายโอนไฟล์ผ่านสายกับ macOS macOS High Sierra ขึ้นไป จะได้รูปแบบไฟล์ต้นฉบับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง iPhone 8 Plus

 

สรุปจุดเด่น

  • เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple ที่เปลี่ยนดีไซน์ไปเป็นวัสดุตัวเครื่องเป็นกระจก เพื่อรองรับการชาร์จไร้สาย และรองรับชาร์จเร็วด้วย
  • หน้าจอแสดงผล True Tone และรองรับ HDR10
  • iPhone 8 Plus มีซีพียูที่เร็วแรงกว่าเดิม
  • กล้องหลังคู่มีการปรับปรุงใส่ฟีเจอร์ใหม่และถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ความเร็ว 60fps

จุดสังเกตเพิ่มเติม

  • การถ่ายภาพในโหมด Portrait Light ยังเป็นตัว Beta ซึ่งเอฟเฟ็กต์แสงเงา และการเบลอยังไม่ค่อยเนียน
  • ตัวเครื่องกระจกเกิดคราบรอยนิ้วมือได้ง่าย และตกแตกได้ง่ายกว่าตัวเครื่องอะลูมิเนียม
Best Smartphone 7000 for 2025 Best Smartphone 7000 for 2025
Buying Guides6 ชั่วโมง ago

10 มือถือราคาไม่เกิน 7,000 บาท คุ้มค่า สเปคดี ใช้ยาว ปี 2025

ในยุคที่สมาร์ทโฟนกลา...

OPPO A3 new price 5499 OPPO A3 new price 5499
Android News12 ชั่วโมง ago

ห้ามพลาด OPPO A3 ราคาใหม่ 5,499 บาท เท่านั้น

ห้ามพลาด OPPO A3 สมา...

Smart Review12 ชั่วโมง ago

รีวิว HUAWEI MatePad 12 X แท็บเล็ตพกพาสะดวกให้การทำงานระดับพีซี พร้อมแอป PC level WPS Office!

รีวิว HUAWEI MatePad...

Android News13 ชั่วโมง ago

Instagram เพิ่ม ‘โหมดกลางคืน’ บนสมาร์ทโฟน  Google Pixel และ Samsung Galaxy บางรุ่นแล้ว

ในตอนนี้ Instagram (...

Android News15 ชั่วโมง ago

vivo Jovi V50 Lite ปรากฏการทดสอบบน Geekbench คาดใช้ชิป Dimensity 6300

ก่อนหน้านี้มีรายงานว...

IT News15 ชั่วโมง ago

AIS – กสทช. เคียงข้างผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ขยายวันใช้งานและเวลาชำระค่าบริการมือถือ เน็ตบ้าน พร้อมดูแลเครือข่าย 24 ชั่วโมง

จากสถานการณ์น้ำท่วมท...

IT News16 ชั่วโมง ago

AIS เตือนภัย! มิจฉาชีพมามุกใหม่ช่วงสิ้นปี หลอกให้แลกคะแนนก่อนหมดอายุ โดยส่งผ่าน SMS พร้อมแนบลิงก์ปลอม ย้ำ!!! มีสติก่อนกด รอบคอบก่อนโอน อุ่นใจห่างไกลภัยไซเบอร์

AIS เตือนลูกค้า...

Android News16 ชั่วโมง ago

สัมผัสสมาร์ตโฟนบัดเจ็ตสุดแกร่ง! realme Note 60X เปิดจำหน่ายทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ทุกช่องทาง 20 ธันวาคมนี้

ท้าพิสูจน์ความแกร่ง!...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก