Featured
รีวิว Vivo V15Pro ดีไซน์โดดเด่น กล้องหน้าป๊อปอัพ 32 ล้านพิกเซล ถ่ายโหมดไหนก็สวย
Vivo V15Pro สมาร์ทโฟนพรีเมียมระดับไฮเอนด์รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Vivo ที่ตอกย้ำถึงนวัตกรรมด้านการดีไซน์และชูจุดเด่นกล้องถ่ายรูปที่เหนือกว่า ในดีไซน์ที่แตกต่างด้วยกล้องหน้าเลื่อนได้แบบอัตโนมัติ (Elevating Front Camera)
Vivo เคยสร้างความน่าสนใจมาแล้วในปีที่ผ่านมาด้วยการเปิดตัว Apex และ Vivo NEX รวมถึง Vivo NEX Dual Display ซึ่งเป็นการสร้างความเซอร์ไพรส์ด้านนวัตกรรมที่โดดเด่น และในรุ่นใหม่ล่าสุด Vivo V15 Pro ถือเป็นรุ่นพรีเมียมราคาไม่แพง ที่นำนวัตกรรมต่างๆ จากเรือธงรุ่นท็อปมาให้ทุกคนได้ใช้งาน
สรุปสเปค Vivo V15Pro
- ราคาเปิดตัว 14,999 บาท (มีนาคม 2019)
- ขนาดตัวเครื่อง 167 x 72 x 8.2 มม.
- น้ำหนัก 185 กรัม
- รองรับ 2 ซิมการ์ด
- หน้าจอแสดงผลขนาด 6.39 นิ้ว Ultra Fullview Display ความละเอียด 1080 x 2316 พิกเซล
- ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 9 (Android 9 Pie)
- ชิพเซ็ต Qualcomm SDM675 Snapdragon 675
- แรม 6GB
- ความจุตัวเครื่อง 128GB
- กล้องหลัง 3 ตัว
- เลนส์หลักขนาด 48 ล้านพิกเซล f/1.8
- Ultra-wide ขนาด 8 ล้านพิกเซล
- Depth sensor ขนาด 5 ล้านพิกเซล f/2.4
- กล้องหน้าเลื่อนได้อัตโนมัติ 32 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ขนาด 3700mAh
- รองรับ Bluetooth 5.0, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, microUSB
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้า
อุปกรณ์ที่มีภายในกล่อง
- ตัวเครื่องสมาร์ทโฟน Vivo V15Pro
- หูฟัง
- คู่มือการใช้งาน
- สาย USB
- หัวชาร์จแบตเตอรี่
- เข็มจิ้มซิม
- เคสโทรศัพท์
- ฟิล์มกันรอย
ดีไซน์ตัวเครื่องและหน้าจอแสดงผล
Vivo V15Pro มีรูปลักษณ์ที่ดูสวยงามมาก โดยหน้าจอแสดงผลขยายแบบชิดขอบทุกด้านที่เรียกว่า Ultra Fullview Display ซึ่งไม่มีรอยบากอีกต่อไปแล้ว ในขณะที่ตัวเครื่องยังคงจับถนัดในมือเดียว ด้วยการดีไซน์ให้อัตราส่วนหน้าจอนั้นมีความยาวทำให้หน้าจอใหญ่ถึง 6.39 นิ้ว และเป็นแผงหน้าจอ Super AMOLED ที่มีอัตราส่วนคอนทราสต์ที่สูง จึงเป็นสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอสีสันสวยงาม และยังได้รับการปกป้องด้วยกระจกกันรอบ Gorilla Glass 6 ที่แข็งแรงที่สุดแล้วจาก Corning และหน้าจอแบบ Super AMOLED ยังสามารถใช้งานกลางแจ้งได้ดีอีกด้วย
นวัตกรรมด้านการดีไซน์ V15Pro ที่ทำให้หน้าจอไม่ต้องมีรอยบากคือการแยกโมดูลกล้องหน้าไปเป็นกล้องที่เลื่อนได้แบบอัตโนมัติ (Elevating Front Camera) และทำให้ตัวเครื่องด้านหน้าดูสะอาดตามากขึ้นด้วย
กล้องหน้าแบบเลื่อนได้นี้มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล กล้องจะเลื่อนขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดแอพกล้องถ่ายรูปเซลฟี่ และจะเลื่อนเก็บเมื่อไม่ได้ใช้งาน ซึ่งการทำงานของกล้องหน้าอาศัยแรงจาก Electric Motor ที่มีสปริงยกตัวกล้องขึ้นมา ในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน ไม่ต้องกงวลว่าจะเสียง่ายๆ เพราะผ่านการทดสอบมาแล้วกว่า 300,000 ครั้ง และเมื่อใช้งานพบว่าทำงานได้รวดเร็วมาก ไม่ต่างไปจากการเปิดกล้องหน้าในสมาร์ทโฟนทั่วไป
ถ้ากล้องเลื่อนขึ้นได้แบบนี้จะหาเคสมาใส่ยากหรือไม่ หมดกังวลไปได้เลย เพราะว่าในกล่องจะมีเคสเฉพาะสำหรับรุ่นนี้แถมมาให้ด้วย เรียกได้ว่าแกะกล่องออกมามีให้ครบทุกอย่าง พร้อมใช้งานได้ทันที
ด้านหลังมีดีไซน์กระจกโค้งแบบ 3 มิติ ทำให้การจับใช้งานจะกระชับมือมากขึ้น และเมื่อสะท้อนแสงก็จะทำให้สีสันตัวเครื่องมีความมันเงา เห็นความเข้มของโทนสีที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละมุมมองด้วย
สำหรับกล้องหลังมีทั้งหมด 3 เลนส์ จัดเรียงกันในแนวตั้ง ประกอบด้วยเลนส์ชนิดต่างกัน ได้แก่ เลนส์หลักขนาด 48 ล้านพิกเซล f/1.8 ในขณะที่ Ultra-wide ขนาด 8 ล้านพิกเซลสำหรับถ่ายภาพมุมกว้าง และ Depth sensor ขนาด 5 ล้านพิกเซล f/2.4 สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังละลาย
ขอบด้านล่างตัวเครื่องจะมีช่องถาดใส่ซิม, ไมโครโฟน, พอร์ตเชื่อมต่อ microUSB และช่องลำโพงตัวเครื่อง
V15Pro มีช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5mm และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนอยู่ที่ขอบด้านบนตัวเครื่อง
ปุ่ม Power และปุ่มปรับระดับเสียง จะอยู่ที่ขอบด้านขวาของตัวเครื่อง
ขอบด้านซ้ายตัวเครื่องจะมีปุ่มเรียกใช้งาน Google Assistant
V15Pro จะมีช่องสำหรับใส่ microSD card แยกมาให้ต่างหากด้วย ทำให้รุ่นนี้สามารถใส่ได้ 2 ซิมการ์ด พร้อมกับใส่เมมเพื่อเพิ่มความจุให้กับตัวเครื่อง โดยไม่ต้องไปใส่ในช่องซิม 2 เหมือนกับสมาร์ทโฟนทั่วไปที่มีถาดซิมแบบไฮบริด
หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วปุ่มสแกนลายนิ้วมืออยู่ตรงไหน ซึ่งในรุ่นนี้ถูกฝังไว้ใต้กระจกหน้าจอแสดงผล สามารถแตะสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอได้เลย สังเกตที่ไอคอนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ซึ่งเป็นตำแหน่งสำหรับอ่านลายนิ้วมือนั่นเอง
ซอฟต์แวร์และฟังก์ชั่นการใช้งาน
Vivo V15Pro รันระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 9 ซึ่งครอบอยู่บน Android 9.0 Pie นั่นหมายถึงใครที่ใช้งานรุ่นนี้จะได้สัมผัสเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดตั้งแต่แกะออกจากกล่อง ไม่ต้องรออัพเดท ซึ่งแอพพลิเคชั่นที่ติดตั้งมากับตัวเครื่องจะถูกจัดเรียงไว้ในหน้าจอโฮมทั้งหมด
แถบบาร์ด้านบนเมื่อลากลงมาจะเป็นในส่วนของ Notifications แสดงรายการแจ้งเตือนต่างๆ ในขณะที่การลากจากขอบล่างหน้าจอขึ้นมาจะเป็นในส่วนของ Quick Settings สำหรับการเลือกเปิด/ปิดหรือปรับค่าต่างๆ
อีกหนึ่งลูกเล่นในหน้าจอล็อคคือภาพวอลเปเปอร์ที่เปลี่ยนรูปทุกครั้งที่ปุ่ม Power เพื่อปิด-เปิดหน้าจอ และสามารถใช้นิ้วมือปัดหน้าจอเพื่อเลื่อนดูภาพวอลเปเปอร์ได้
Jovi ผู้ช่วยส่วนตัวที่เข้ามาช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น โดยข้อมูลที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานจะถูกรวบรวมแสดงไว้ที่ Jovi Smart Scene เพื่อให้ง่ายต่อการเรียกดูทุกอย่างในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนสภาพอากาศ ตารางนัดหมาย ผลการแข่งขันกีฬา และนับก้าวเดิน เป็นต้น
ความฉลาดของ Jovi ในเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้ สามารถสแกนวัตถุแล้วแสดงข้อมูลต่างๆ ได้ทันที ซึ่งจะมีข้อมูลลิงค์ไปยังเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าไปช้อปปิ้งได้ด้วย
ปุ่มด้านข้างซ้ายตัวเครื่องของ V15Pro เป็นปุ่มสำหรับเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google ซึ่งปัจจุบันรองรับคำสั่งเสียงภาษาไทย สามารถสั่งการได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะสั่งให้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการ เปิดเครื่องเล่นเพลง ส่งข้อความ เปิดแอพต่างๆ หรือเรียกใช้งาน GPS นำทาง เป็นต้น
V15Pro รองรับเครือข่าย 4G และเปิดใช้งาน VoLTE ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลเสียงหรือการโทรด้วยความเร็วสูงผ่านสัญญาณ 4G ที่ให้คุณภาพเสียงขณะคุยกันมีความคมชัดมากขึ้น สามารถใช้เน็ตไปพร้อมๆ กันการโทรได้ และรองรับ Wi-Fi, Bluetooth 5.0 และพอร์ตเชื่อมต่อ microUSB 2.0 (รองรับ OTG ด้วย) ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมภายนอกตัวอื่นๆ ได้
Funtouch OS ได้มีการปรับอินเตอร์เฟซให้รองรับการใช้ท่าทางการนำทางได้ ซึ่งจะทำให้มุมมองบนหน้าจอไม่ถูกปุ่มเมนูมาบดบัง โดยมีรูปแบบท่าทางการใช้งานดังนี้
- ลากจากขอบด้านล่างขึ้นจากตำแหน่งปุ่มด้านซ้าย เพื่อแสดง Quick Settings
- ลากจากขอบด้านล่างขึ้นจากตำแหน่งปุ่มตรงกลาง เพื่อกลับไปยังหน้าโฮม (เหมือนปุ่มโฮม)
- ลากจากขอบด้านล่างขึ้นจากตำแหน่งปุ่มด้านขวา เพื่อกลับไปยังหน้าจอก่อนหน้าตามลำดับ (เหมือนปุ่ม Back)
- ลากจากขอบด้านล่างขึ้นจากตำแหน่งปุ่มตรงกลางแล้วค้างนิ้วเอาไว้บนหน้าจอ เพื่อเข้าสู่หน้าจอ App Switcher แสดงรายการแอพที่เปิดใช้งานอยู่เบื้องหลังทั้งหมด
หน้าจอที่กว้างของ V15Pro มาพร้อมฟีเจอร์การแบ่งหน้าจอเพื่อเปิดใช้งานได้พร้อมกัน 2 แอพ เช่น แชทหรือเล่น Facebook ไปพร้อมๆ กับดูวิดีโอบน YouTube เป็นต้น
หากต้องการใช้งานมือเดียวได้สะดวกยิ่งขึ้นก็สามารถย่อหน้าจอของ V15Pro ให้มีขนาดเล็กลงได้ เพื่อให้ง่ายต่อการเอื้อมนิ้วไปแตะเมนูต่างๆ ได้สะดวกมากขึ้นเมื่อต้องใช้งานในมือเดียว
สำหรับใครที่มีโซเชียลหลายบัญชี ก็สามารถใช้ฟีเจอร์โคลนแอพเพื่อให้สามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 บัญชีในเครื่องเดียว
ระบบการยืนยันตัวตนของ V15Pro ใช้การสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ โดยการแตะที่ตำแหน่งไอคอนลายนิ้วมือที่เห็นบนหหน้าจอได้เลย ซึ่งจากการใช้งานก็ถือว่าทำงานได้ค่อนข้างรวดเร็วดี
อีกหนึ่งความปลอดภัยในการยืนยันตัวตนนอกจากการสแกนลายนิ้วมือ คือระบบปลดล็อคด้วยใบหน้า เพียงยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาก็สามารถปลดล็อคเข้าใช้งานได้ทันที เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นหากเราไม่สามารถปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือได้ เช่น สวมถุงมือ หรือนิ้วมือเปียกเลอะ เป็นต้น
ประสิทธิภาพการทำงานและการเล่นเกม
Vivo V15Pro รันระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 9 (Android 9 Pie) ใช้ชิพเซ็ต Qualcomm SDM675 Snapdragon 675 ขนาด 11 นาโนเมตร ซีพียู Octa-core แบ่งการทำงานออกเป็น Dual-core 2.0GHz Kryo 460 Gold และ Hexa-core 1.7 GHz Kryo 460 Silver พร้อมจีพียู Adreno 612 และแรมขนาด 6GB ผลการทดสอบ AnTuTu ซึ่งเป็นการทดสอบภาพรวมของการทำงานในส่วนของหน่วยความจำแรม และประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลกราฟิกหรือจีพียู ทำคะแนนรวมได้ 179,365 คะแนน
ผลการทดสอบด้วย Geekbench 4 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผล การทดสอบนี้จะทำการประมวลออกมาเป็นตัวเลขแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Single-Core และ Multi-Core หากได้คะแนนยิ่งสูงประสิทธิภาพการทำงานจะยิ่งดี โดยคะแนน Single-Core ได้ 2,388 และ Multi-Core ทำได้ 6,443 คะแนน
ฟีเจอร์ด้านการเล่นเกม V15Pro มาพร้อมกับ Game Mode 5.0 ซึ่งมาพร้อมกับ Competition Mode ช่วยจัดสรรทรัพยากรของเครื่องสำหรับการเล่นเกมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดการกระตุก ทำให้ได้ภาพลื่นไหลตลอดการเล่นเกม
ทดสอบเกมใหม่ล่าสุด AxE: Alliance vs Empire เกมแนว MMORPG Open World ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม Unity ซึ่งเป็นเกมที่มีภาพสวยงามมากๆ ในรูปแบบ 3 มิติ 360 องศา พบว่าสามารถได้เล่นลื่นไหลในฉากทั่วไป แต่ถ้าเป็นฉากต่อสู้ที่มีเอฟเฟ็กต์เยอะๆ จะมีสะดุดบ้าง
ทดสอบเล่นเกม PUBG Mobile อีกหนึ่งเกมที่กำลังฮิตในขณะนี้ ซึ่งเป็นเกมที่ต้องการทั้งความลื่นไหล ต้องใช้การควบคุมทิศทาง และความแม่นยำในการระบุเป้ายิง สามารถเล่นได้อย่างไม่สะดุด ไม่เจออาการกระตุกทั้งการเล่นในโหมดกราฟิกในระดับสูง และภาพความละเอียดสูง
เกม ROV หรือ Realm of Valor เกม MOBA บนมือถือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้ สำหรับการเล่นบน V15 Pro รองรับโหมดเฟรมเรตสูง ภาพระดับ HD สามารถได้ลื่นไหล ไม่มีปัญหา
สำหรับแบตเตอรี่ขนาด 3700mAh ใช้งานทั่วไปสามารถอยู่ได้ทั้งวันตั้งแต่เช้าถึงเย็น และถ้าใช้งานหนักๆ เล่นเกมต่อเนื่องก็อยู่ได้ประมาณ 6-7 ชั่วโมง ซึ่งตัวเครื่องรองรับชาร์จไว Dual-Engine Fast Charging
กล้องถ่ายรูป
Vivo V15Pro มีกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล มาพร้อม AI Face Beauty สามารถปรับแต่งใบหน้าของให้เรียวเล็ก ปรับสีผิว เอฟเฟ็กต์แสงต่างๆ เพื่อให้ภาพเซลฟี่ออกมาสวยเป็นธรรมชาติ
จะเห็นว่ากล้องหน้านั้นถ่ายภาพออกมาแล้วได้ผิวหน้าที่สวยเป็นธรรมชาติ ในขณะเดียวกันรายละเอียดของภาพก็ยังมีความคมชัดด้วย ไม่ได้ถูกลบรายละเอียดออกไป ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของใบหน้า เส้นผม และฉากหลัง
กล้องหน้ายังสามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังละลายโดยการทำเอฟเฟ็กต์โบเก้ได้ด้วย ซึ่งภาพถ่ายจากกล้องหน้าด้วยโหมดนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ตัดขอบแล้วทำการเบลอฉากหลังได้เนียนสวยงาม
กล้องหลัง 3 ตัว เลนส์หลักขนาด 48 ล้านพิกเซล f/1.8 + Ultra-wide ขนาด 8 ล้านพิกเซล และ Depth sensor ขนาด 5 ล้านพิกเซล f/2.4 ซึ่งถือเป็นการอัพเกรดด้านกล้องถ่ายรูปด้านหลังของ Vivo เลยก็ว่าได้
สำหรับเลนส์กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล เป็นการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Quad Pixel Sensor ทำให้ถ่ายภาพได้ขนาดใหญ่และเก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างคมชัด
AI ที่มีอยู่ในกล้องถ่ายรูปยังช่วยให้การถ่ายภาพทำได้ง่ายอีกด้วย เพราะกล้องจะรู้ว่าเรากำลังถ่ายภาพอะไรอยู่ แล้วจะทำการปรับค่ากล้องให้เหมาะกับการถ่ายภาพนั้นๆ อัตโนมัติ
ฟีเจอร์น่าสนใจของกล้องหลังที่เพิ่มเข้ามาและถูกใจแฟนๆ อย่างแน่นอนคือ AI Body Shaping สำหรับช่วยปรับโครงสร้างของตัวบุคคลให้ดูเพรียว หุ่นสวย ขาเรียวแบบอัตโนมัติ จากเดิมในรุ่นก่อนๆ ที่ทำได้เฉพาะใบหน้า
การถ่ายภาพ Portrait เป็นอีกหนึ่งจุดที่ช่วยยืนยันได้ว่า Vivo มีการพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ละลายฉากหลังได้ค่อนข้างเนียนมากๆ ซึ่งโหมดนี้จำเป็นต้องถือกล้องให้อยู่ในระยะที่พอดี และฉากหลังไม่ควรรกจนเกินไป เพื่อให้การทำโบเก้สวยเป็นธรรมชาติ
Vivo V15Pro ได้เพิ่มฟีเจอร์ AI Portrait Lighting ซึ่งเป็นการเพิ่มแสงไฟเข้ามาปรับแต่งภาพถ่าย Portrait ให้ออกมาสวยงามในรูปแบบแสงต่างๆ
HDR เป็นการถ่ายรูปหลายรูป ที่มีค่าความสว่างของแสงแตกต่างกัน แล้วเอาภาพมารวมกันเป็นภาพเดียว ซึ่งมีการพัฒนาด้านฮาร์ดแวร์กล้องที่ดีขึ้น ทำให้การถ่ายภาพในโหมดนี้ไม่จำเป็นต้องถือกล้องนิ่งๆ ในการถ่ายภาพแล้ว
AI Super Night Mode หรือโหมดถ่ายภาพกลางคืน ซึ่งเป็นการถ่ายในที่มืดหลายเฟรมจากทุกสภาพแสงประมาณ 2-3 วินาที แล้วนำมารวมเป็นภาพเดียวกัน ทำให้ได้รายละเอียดของภาพครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟ และพื้นที่มืดก็จะมีความสว่างขึ้น โดยแทบจะไม่มีการเกิดนอยซ์เลย และที่สำคัญไม่ต้องใช้ขากล้องในการถ่ายภาพกลางคืนอีกต่อไปแล้ว
AI Super Wide-Angle Camera โหมดถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษด้วยเลนส์ Ultra-wide ที่ให้มุมกว้างสูงสุดถึง 120 องศา เหมาะสำหรับการเก็บภาพวิวกว้างๆ หรือการถ่ายภาพกลุ่มคน เวที ในระยะใกล้ๆ โดยไม่จำเป็นต้องถอยไกลๆ
สรุปจุดเด่น
- Vivo V15Pro เป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่มีดีไซน์สวยงาม หน้าจอแสดงผลใหญ่ชิดขอบ Ultra Fullview Display สีสันสดใสด้วยแผงหน้าจอ AMOLED ที่มีอัตราส่วนคอนทราสต์สูงมาก
- มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 9 (Android 9 Pie) เวอร์ชั่นล่าสุดแล้ว ไม่ต้องอัพเดท
- ชิพเซ็ต Qualcomm SDM675 Snapdragon 675 แรม 6GB ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานทั่วไปและเล่นเกมที่มีกราฟิกสวยๆ
- โดดเด่นด้วยกล้องหน้าป๊อปอัพ และความละเอียดสูงถึง 32 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 3 ตัว ครบทุกชนิดเลนส์ ทั้งเลนส์มุมกว้างปกติ มุมกว้างพิเศษ และสำหรับการถ่าย Portrait ซึ่งจากการทดสอบใช้งานพบว่าระบบโฟกัสของกล้องทำงานได้รวดเร็วดีมาก ไม่มีหน่วง
- แบตเตอรี่ขนาด 3700mAh รองรับชาร์จไว
- สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้า
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ยังใช้พอร์ตแบบ microUSB
Vivo V15Pro ราคา 14,999 บาท มีให้เลือกถึง 2 สีด้วยกัน ได้แก่ Topaz Blue (สีน้ำเงิน) และ Coral Red (สีแดง) โดยสำหรับท่านที่สนใจโดยสามารถ Pre – Order เพื่อเป็นเจ้าของก่อนใครได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 8 มีนาคม 2562 รายละเอียดเพิ่มเติมเว็บไซต์ Vivo