IT News
เอสเอพี ประเทศไทย พลิกโฉมพื้นที่ทำงานแบบ Agile ชูโมเดล “Pledge to Flex” หนุนความยืดหยุ่นองค์กร
เอสเอพี ประเทศไทย ประกาศพลิกโฉมออฟฟิตใหม่ครั้งสำคัญ ภายหลังการเปิดตัวออฟฟิตรูปแบบไฮบริดแห่งแรกของ เอสเอพี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สิงคโปร์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของพนักงาน พร้อมชูโมเดลการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งพนักงานกว่า 120 คน สามารถเลือกสถานที่ทำงานได้เอง การพลิกโฉมครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์พัฒนาการเติบโตของบุคลากร มุ่งเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ให้พนักงานทำงานอย่างเต็มศักยภาพด้วยเทคโนโลยี
เอสเอพี มั่นใจว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดด้านการให้บริการโซลูชั่นและบริการบนระบบคลาวด์ เดินหน้าสานต่อพันธกิจหลักขององค์กรในการช่วยพัฒนาระบบบริหารจัดการขององค์กรต่างๆ ในประเทศไทยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้วยแนวคิดการมองพนักงานเป็นศูนย์กลาง และโฟกัสกับความต้องการของพนักงานเป็นหลัก ล่าสุด เอสเอพี ได้นำเสนอโมเดลการทำงานแบบไฮบริด “Pledge to Flex” ที่นอกจากจะมีความทันสมัยแล้ว ยังตอบโจทย์ความท้ายของธุรกิจ
โดยตั้งเป้าเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการทำงานให้กับพนักงาน 100% และสร้างบรรทัดฐานใหม่ด้วยตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น รวมถึงให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและความยั่งยืน
เดินหน้าสู่อนาคตของการทำงานในรูปแบบใหม่
ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานและสถานที่ทำงานเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำงานในยุคนี้ ดังนั้นออฟฟิตแห่งใหม่ของ เอสเอพี ประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ อาคาร เดอะปาร์ค (THE PARQ) จึงถูกออกแบบมาเพื่อรองรับโมเดลการทำงานล่าสุด ส่งเสริมพนักงานให้ทำงานได้คล่องตัวและพร้อมส่งมอบบริการให้แก่ลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรมได้ดียิ่งขึ้น
อุษา คงถาวรวงศ์ HR Business Partner ของ เอสเอพี อินโดไชน่า กล่าวว่า “ขณะนี้หลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย กำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เอสเอพี ได้ใช้แนวทางใหม่ในการเฟ้นหาและส่งเสริมพนักงานที่มีความสามารถ โดยเน้นพัฒนากลยุทธ์ด้าน HR ของบริษัทจากการใช้ข้อมูลภายในองค์กรเป็นตัวขับเคลื่อน (Data-Driven)”
“ยกตัวอย่าง จากการทำแบบสำรวจความคิดเห็นกับพนักงานเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด พนักงานมากกว่า 40% ของเอสเอพี ประเทศไทย ต้องการทำงานจากที่บ้านสองถึงสามวันต่อสัปดาห์ เรามองว่าการรับฟังความคิดเห็นของพนักงานและการที่เราให้ความสำคัญกับการสร้างความไว้วางใจ การเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานให้กับพนักงาน และการให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กรมากขึ้น คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยปรับให้กลยุทธ์ด้าน HR ขององค์กรมีความแข็งแกร่งมากพอต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต” อุษา กล่าวเสริม
เอสเอพี ประเทศไทย มุ่งมั่นในการทำให้องค์กรเป็นสถานที่ทำงานที่พนักงานรู้สึกไว้วางใจโดยได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พนักงานทำงานได้อย่างยืดหยุ่นและมีส่วนร่วมในการทำงานในทุกแง่มุม ที่สำคัญระบบ HR ยังมีส่วนสำคัญเช่นกัน โดยเอสเอพี มีระบบ Digital HR ที่ใช้ซอฟต์แวร์อย่าง Qualtrics ในการทำความเข้าใจกับความเห็นของพนักงาน และ SAP SuccessFactors ในการสร้างประสบการณ์ในการทำงานที่ดียิ่งขึ้นให้กับพนักงาน เพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินงาน บริหารจัดการต้นทุน และให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เอทูล ทูลิ กรรมการผู้จัดการ เอสเอพี อินโดไชน่า กล่าวว่า “การที่เรานำสามปัจจัย ได้แก่ เทคโนโลยีอัจฉริยะที่มีความชาญฉลาด สภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่น และนโยบาย มาเป็นตัวขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้าน HR ขององค์กร เพราะเราต้องการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ในองค์กรและเฟ้นหาวิธีที่พนักงานจะสามารถทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ยังยอมรับความแตกต่างของกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น เราต้องการสร้างวัฒนธรรมชุมชนองค์กรที่เข้มแข็งและพัฒนาทีมเวิร์คในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย”
ล่าสุด เอสเอพี ประเทศไทย ได้รับรางวัลองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด หรือ “Best Companies to Work for in Asia” จาก HR Asia ซึ่งการที่ เอสเอพี ได้ครองตำแหน่งนี้เป็นเวลาสองปีซ้อน รวมถึงการนำโมเดลการทำงานแบบไฮบริด “Pledge to Flex” มาใช้ ได้ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของเอสเอพีในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมนี้
“การรวมเทคโนโลยีคลาวด์เข้ากับโมเดลการทำงานใหม่ที่เรียกว่า Pledge to Flex จะช่วยสร้างนิยามและคอนเซปต์ใหม่ให้กับสถานที่ทำงาน ซึ่งควรมีความยืดหยุ่น ครอบคลุม และตอบสนองต่อความต้องการของพนักงานได้อย่างแท้จริง การลงทุนในโซลูชั่นดิจิทัลเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมการทำงานทั่วทั้งบริษัทที่ทำให้พนักงานสามารถเติบโตได้ จะทำให้บริษัทของเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน” เอทูล กล่าวปิดท้าย
แนวคิดหลักของ เอสเอพี ที่เน้นพนักงานเป็นศูนย์กลาง เป็นหนึ่งในตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่า เอสเอพี ยังคงมุ่งมั่นในการสานต่อพันธกิจในการช่วยให้โลกดำเนินต่อไปได้ดียิ่งขึ้นพร้อมพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งส่วนหนึ่งต้องเริ่มจากการสร้างสถานที่ทำงานที่พร้อมรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนและมีความยั่งยืน