Featured
รีวิว OnePlus 11 5G จัดเต็มระดับเรือธง กล้องเทพ Hasselblad จบครบไม่ต้องมีคำว่า Pro
จัดมาให้ตามนัดสำหรับรีวิวฉบับเต็ม OnePlus 11 5G สมาร์ทโฟนตัวท็อปสุดของ OnePlus ประจำต้นปีนี้ โดยมาแบบเลขเดียวๆ ไม่ต้องมีคำว่า “Pro” เพราะทุกอย่างนั้นจบในรุ่นนี้แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นขุมพลัง Snapdragon 8 Gen 2, หน้าจอ 2K แบบ 120Hz พร้อมกล้อง 50MP ที่ร่วมพัฒนากับทาง Hasselblad ทั้งนี้ เราก็ยังมีหูฟังรุ่นใหม่ที่จับคู่กับได้สุดลงตัวอย่าง OnePlus Buds Pro 2 อีกด้วยครับ แต่ก่อนอื่น เรามาดู OnePlus 11 5G กันก่อนเป็นอย่างแรก !!
สรุปสเปค OnePlus 11 5G
- ขนาดตัวเครื่อง : 163.1 x 74.1 x 8.53 มม.
- น้ำหนัก : 205 กรัม
- หน้าจอแสดงผลหลัก Super Fluid AMOLED พร้อม LTPO 3.0 ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2K+ (3216 x 1440 พิกเซล) อัตราส่วน 20.1:9, 525PPI รองรับ Refresh Rate 1-120Hz, HDR10+, แสดงผลสี 10-bit, Contrast Ratio 5000000:1 และความสว่างสูงสุด 1300 นิต
- หน่วยประมวลผล : Snapdragon 8 Gen 2 Octa Core ความเร็ว 3.2GHz
- GPU : Adreno 740
- RAM : 8/16GB LPDDR5X
- ROM : 128GB UFS 3.1 / 256GB UFS 4.0
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์ ดังนี้
- เลนส์หลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 เซ็นเซอร์ Sony IMX890 รองรับระบบกันสั่นไหว OIS
- เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 เซ็นเซอร์ IMX581 มุมกว้าง 115 องศา รองรับการถ่าย Macro ระยะ 3.5 ซม.
- เลนส์ Telephoto 2x ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 เซ็นเซอร์ IMX709
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- ระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย OxygenOS 13
- การเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (ax), 5G, NFC, Bluetooth 5.3 และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh ชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
อุปกรณ์ในกล่องให้มาครบ
ตัวกล่องของ OnePlus 11 5G มาแบบสีแดงบ่งบอกความเป็น OnePlus พร้อมโลโก้เลข “11” ที่บอกถึงชื่อรุ่นแบบเด่นชัดที่มุมซ้ายบน และตรงด้านล่างยังมีตรา “ONEPLUS x HASSELBLAD” ที่ร่วมกันพัฒนาในเรื่องกล้องกันอีกปี
โดยสิ่งที่ให้มาในกล่องนั้นครบถ้วนแล้ว ดังนี้
- ตัวเครื่อง OnePlus 11 5G พร้อมติดฟิล์มกันรอย
- อะแดปเตอร์ 100W SUPERVOOC
- สายสีแดง USB Type-A to Type-C
- เอกสารต้อนรับจาก Pete Lau
- เข็มเปิดถาดซิม
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
- สติ๊กเกอร์ของ OnePlus
ดีไซน์สไตล์ Black Hole เพิ่มเอกลักษณ์อย่างลงตัว
ดีไซน์ของ OnePlus 11 5G (สีเขียว Eternal Green) ใช้วัสดุกระจกที่มีการสะท้อนออกมา ไม่ได้เป็นแบบผิวด้านนะ ซึ่งการติดรอยนิ้วมือก็อาจจะเกิดขึ้นได้อยู่ แต่ก็เช็ดออกง่าย รวมถึงแลกกับความที่ตัวเครื่องไม่ได้ลื่นมือเลยครับ
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ OnePlus 11 5G น่าดึงดูดมากๆ คือการใช้โมดูกล้องหลังขนาดใหญ่ที่เล่นลวดลายดวงดาวคล้ายกับประตูของกาแล็กซีที่เพิ่มความมีมิติของดีไซน์ให้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังมีการเชื่อมต่อโมดูลไปยังด้านข้างตัวเครื่องที่ดูสวยงามมากๆ ครับ
โดยสีที่ทุกคนเห็นนี้เป็นสีเขียว Eternal Green ที่มีความเขียวแบบลึกลับๆ ได้ความเท่ ความพรีเมียมแบบมีระดับพอตัว และสีเขียวแบบ Eternal Green ก็ไม่ได้ฉูดฉาดเกินไปครับ
หน้าจอคมชัดระดับ 2K+ แบบ 120Hz และแสดงผลสี 10 bit
ก่อนหน้านี้เราบอกไปแล้วว่า OnePlus 11 5G คือรุ่นท็อปที่ไม่ต้องมีคำว่า Pro สิ่งนี้ก็ประเดิมด้วยหน้าจอแสดงผลที่จัดมาให้เต็มที่ ตั้งแต่การใช้พาเนล Super Fluid AMOLED LTPO 3.0 แถมได้ขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว คมชัดแบบ QHD+ หรือ 2K+ (3216 x 1440 พิกเซล) 525ppi มีอัตราส่วน 20.1:9 และยังแสดงผลสีแบบ 10-bit รองรับ Dolby Vision ได้เรื่องสีสันที่มีความจัดจ้าน เหมาะกับคนที่ต้องการสีตรงๆ ในการชมคอนเทนต์ต่างๆ แน่นอน
ทั้งนี้ เรื่องความสว่างก็ยังสู้กับแดดกลางแจ้งได้เป็นอย่างดีด้วยความสว่างสูงสุดถึง 1300 นิต และที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้คือการรองรับ Refresh Rate ตั้งแต่ 1-120Hz ที่จะปรับได้ตามเนื้อหาบนหน้าจอแบบอัตโนมัติ และยังมีค่า Touch Response Rate สูงสุดถึง 1000Hz ถูกใจเกมเมอร์แน่นอน
พาชมรอบเครื่อง
เหนือหน้าจอแสดงผลจะมีกล้องหน้าแบบ Punch Hole ความละเอียด 16MP ที่มุมซ้ายบน พร้อมด้วยลำโพงที่ 2 ไว้ตรงกลางด้านบนด้วยครับ
ฝั่งซ้ายเครื่องจะมีปุ่มเพิ่มและลดเสียงเท่านั้น
ทางขวาจะมีปุ่ม Alert Slider ไว้ปรับโหมดเสียง (ดัง, สั่น, เงียบ) ถัดลงมาจะเป็นปุ่ม Power แบบปกติครับ เพราะการสแกนลายนิ้วมือนั้นใช้งานได้ที่หน้าจอแสดงผลเลยครับ
ที่ด้านล่างตัวเครื่องจะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ช่อง แบบพลิกหน้า-หลัง (ไม่มีช่องใส่ MicroSD มาให้) ถัดไปทางขวาจะเป็นไมโครโฟนตัวที่ 1, พอร์ต USB Type-C และลำโพงตัวที่ 1
ด้านบนตัวเครื่องจะมีไมโครโฟนตัวที่ 2 มาให้
สุดท้ายที่ด้านหลังจะมีกล้อง 3 เลนส์ซึ่งในวงขวาล่างจะเป็นที่อยู่ของไฟแฟลช Dual LED 2 ดวงในส่วนครึ่งล่าง พร้อมเซ็นเซอร์สเปกตรัมถึง 13 ช่องในครึ่งบน และยังมีสัญลักษณ์ “Hasselblad” ตรงกลางแบบโดดเด่นอีกจุด
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
แกะกล่องด้วย Android 13 พร้อมอัปเดทไปอีก 4 ปี !!
OnePlus 11 5G แกะกล่องมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 13 ที่ครอบทับด้วย OxygenOS 13 ซึ่งความพิเศษนั้นอยู่ที่เรือธงรุ่นนี้จะเป็นรุ่นแรกของแบรนด์ที่จะอัปเดทได้นานสุดถึง 4 ปีเต็ม เรียกง่ายๆ ว่าใช้ยาวจนถึง Android 17 ไปเลยครับ และที่สำคัญแพทช์ความปลอดภัยก็จะได้นานถึง 5 ปี
ลำโพงสเตอริโอ Dolby ATMOS กระหึ่ม ดุดันเอาใจสายบันเทิง
OnePlus 11 5G รองรับลำโพงคู่แบบ Dolby ATMOS ที่ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมครับ ให้เสียงที่มีความกระหึ่มมากขึ้นและเสียงไดนามิกก็ดูจะกว้างขึ้นด้วยครับ เหมาะสำหรับคนที่เน้นสายความบันเทิงแบบเต็มๆ และยิ่งใช้ร่วมกับหน้าจอที่ให้มา บอกเลยว่าแค่นี้ก็สุดยอดแล้วครับ
ระบบความปลอดภัยจัดมาให้ครบ
ในรุ่นนี้ก็มาพร้อมเทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าครับ โดยใช้งานได้เต็มที่ถึง 5 ลายนิ้วมือ และการจำแนกหรือความแม่นยำต่างๆ ก็ปลอดภัยแน่นอน 100% ครับ
หรือใครจะใช้งานเพื่อสแกนใบหน้าก็ทำได้เช่นกันครับ ซึ่งความรวดเร็วและความเสถียรก็ไม่แพ้การสแกนลายนิ้วมือเลย
รองรับ Always-On Display หลายรูปแบบ
ด้วยความที่ใช้หน้าจอ AMOLED แน่นอนว่าจะมาพร้อมกับการใช้งานเทคโนโลยี Always-On Display โดยจะมีให้เลือกหลายแบบมากๆ ไม่ว่าจะเป็น Bitmoji, Canvas, ข้อความ, กำหนดเอง และข้อความและภาพ ซึ่งข้อมูลที่แสดงลเราสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นแสดงวันที่ แบตเตอรี่ หรือการแจ้งเตือนอย่างไรบ้างตามที่เราต้องการครับ
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
ขุมพลังเรือธงรุ่นล่าสุด พร้อมเทคโนโลยี Ray Tracing
OnePlus 11 5G ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Snapdragon 8 Gen 2 Octa Core ความเร็ว Clock สูงสุด 3.2GHz ที่ถือเป็นชิปเรือธงฝั่ง Android ที่ทรงพลังที่สุดในตอนนี้ครับ โดยชิปตัวนี้ที่มาคู่กับ GPU Adreno 740 ยังมีความพิเศษด้วยการรองรับเทคโนโลยี Ray Tracing ที่เกมเมอร์หลายคนรู้จักแน่นอน คือการประมวลผลภาพ แสง และเงาในเกมแบบเรียลไทม์ ทำให้แสงและเงาในเกมสะท้อนได้สมจริงยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง !!
RAM LPDDR5X เทคโนโลยีล่าสุด พร้อมเพิ่ม Visual RAM ได้อีก 12GB !!
ทั้งนี้ตัว RAM ยังให้มาสูงสุดถึง 16GB แบบ LPDDR5X รุ่นใหม่ล่าสุด มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลมากขึ้นถึง 33% และประหยัดพลังงานลงถึง 20% เมื่อเทียบกับ RAM LPDDR5 รวมถึง RAM ยังสามารถเพิ่มแบบ Visual RAM ได้สูงสุดอีก 12GB รวมกับของเดิมก็จะเป็น 28GB ใช้งานเหลือเฟือแน่นอนครับ
ขณะที่ ROM ก็มาเป็นแบบ UFS 4.0 ที่มีความเร็วการอ่านและเขียนข้อมูลได้รวดเร็ว ทำให้เวลาติดตั้งแอปพลิเคชั่นหรือการเปิดใช้งานแอปต่างๆ ไม่ต้องรอนานครับ
ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu 9.4.4 ได้มาที่ 1,088,770 คะแนน
ส่วนผลคะแนนด้าน CPU บน Geekbench ทำ Single-Core ไปที่ 1,153 คะแนน และ Multi-Core ที่ 4,778 คะแนน
ระบบระบายความร้อนอัปเกรดใหม่ ทรงพลังกว่าเดิม !!
ด้วยความแรงที่จัดเต็มมาให้ใน OnePlus 11 5G ทำให้ระบบระบายความร้อนต้องอัปเกรดตามไปด้วย ซึ่งในรุ่นนี้ก็มาพร้อม Cryo-velocity VC Cooling รุ่นใหม่ที่ใช้โครงสร้างโมเลกุลหกเหลี่ยมคู่กับวัสดุคริสตัลผลึกกราฟีนที่ใหญ่ที่สุดใน Oneplus 11 Series ที่ 5,673 ตารางมิลลิเมตร ช่วยให้ระบายความร้อนได้เร็วกว่าเดิมครับ (เรื่องร้อนเกิดขึ้นตามปกติแต่ระบายเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ) โดยตัวแผ่นของระบบระบายความร้อนมีขนาดใหญ่ถึง 3,685 ตารางมิลลิเมตร
ทดสอบการเล่นเกม
Genshin Impact
มาเปิดกันด้วยเกมที่น่าจะกินสเปคที่สุดบนสมาร์ทโฟนเจ้าเก่าอย่าง Genshin Impact ที่เราเปิดภาพกราฟิกสูงสุดทั้งหมด และเปิดเฟรมเรทที่ 60fps ด้วยครับ การเล่นจริงๆ มีความไหลลื่นมากขึ้นและตอบสนองได้ไวเลยทีเดียว ซึ่งหากเทียบกับชิปเรือธงในปีนี้ ขอบอกว่าทำได้ดีขึ้นแบบที่รู้สึกได้เลยเหมือนกันครับ ขณะที่ความร้อนระหว่างเล่นก็ดูจะไม่ร้อนเกินไปอีกด้วยนะ
Asphalt 9: Legends
ต่อมาเป็นเกมแข่งรถภาพสวยๆ อย่าง Asphalt 9: Legends ที่เปิดภาพระดับสูงได้ด้วย และเมื่อลองเล่นก็ทำได้ไหลลื่น ไร้ปัญหาใดๆ และที่สำคัญคือแสงและเงาทำได้สมจริงมากขึ้น จะสังเกตได้ว่าตึกหรือบ้านจะมีการสะท้อนออกจากตัวรถด้วยครับ ซึ่งนี่คือพลังของ Ray Tracing
ROV
และสุดท้ายกับเกมเบาๆ กันบ้างกับ ROV ที่เราเปิดภาพทั้งหมดในระดับสูงสุด รวมถึงเปิดซอฟต์ไลท์และเอฟเฟ็กต์หมอกครับ แต่การเล่นก็ทำได้ไหลลื่น ตอบสนองได้ไวเวลากดสกิล โดยที่ตัวเฟรมเรทก็รับได้นิ่งๆ 60fps
พลังแบต 5000mAh อึดขึ้นชัดเจน พร้อมชาร์จเร็วแรง 100W SUPERVOOC
OnePlus 11 5G ให้แบตเตอรี่มาแบบอึดๆ ถึง 5000mAh เป็นแบบ Dual-cell (ก้อนละ 2500mAh) ซึ่งความอึดเหมือนจะพัฒนามากขึ้น ให้ใช้งานได้เต็มวันมากขึ้น ชาร์จเต็มตอนเช้าเหลือถึงเย็นๆ ค่ำๆ ไว้ใช้ต่อแน่นอน
ทั้งนี้ หากแบตจะหมดก็ยังมาพร้อมการชาร์จระดับท็อปอย่าง 100W SUPERVOOC ที่ชาร์จจาก 0% – 100% ได้ในเวลาเพียง 25 นาทีเท่านั้นครับ
สร้างผลงานชิ้นเอกด้วยกล้องระดับ Pro ที่ร่วมพัฒนากับ Hasselblad
OnePlus 11 5G พร้อมให้เราถ่ายภาพอย่างมืออาชีพแบบโปรๆ ด้วยกล้องที่ร่วมการพัฒนากับทาง Hasselblad ซึ่งในเรือธงรุ่นนี้เป็นสมาร์ทโฟน Hasselblad Camera for Mobile รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Accu-spectrum Light-color Identifier เพื่อให้สีสันมีความเที่ยงตรงมากที่สุด รวมถึงการได้ฟีเจอร์บางอย่างที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกล้อง DSLR ของ Hasselblad อีกด้วยครับ โดยจะถ่ายได้สวยขนาดไหน มาดูกันครับ
สีสันเป็นธรรมชาติ รุ่นที่ 2 จาก Hasselblad
ด้วยความที่ OnePlus 11 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้กล้องปรับแต่งจาก Hasselblad รุ่นที่ 2 แล้ว ก็มีการปรับปรุงในเรื่องสีสันที่มีความตรงยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี Natural Color Calibration ที่ใช้พื้นฐานจากกล้องโปรของ Hasselblad ทำให้สีสันไม่ได้ฉูดฉาดจนเกินเบอร์ไป แถมยังได้ความคมชัด ค่า Contrast Ratio ที่สูง และการทำ HDR อัตโนมัติก็ทำได้อย่างสุดยอดเลยในรุ่นนี้
ยังคงเอกลักษณ์ของ Hasselblad ด้วยปุ่มชัตเตอร์สีส้ม
การที่กล้อง Hasselblad ที่ได้ร่วมการพัฒนาในรุ่น OnePlus 11 5G ที่มาอยู่บนสมาร์ทโฟน ก็ไม่ได้ทิ้งลายความเป็น Hasselblad ออกไปครับ เพราะตัวปุ่มชัตเตอร์ยังมาเป็นสีส้มซึ่งเป็นสีเดียวกับที่อยู่ในกล้อง DSLR ของ Hasselblad ครับ
Master Style เอกลักษณ์ที่หาได้เฉพาะกล้อง Hasselblad
อีกอย่างที่บอกถึงความเป็น Hasselblad ได้แน่นอนคือผลลัพธ์ที่ให้เราได้เห็นชัดเจน โดยใน OnePlus 11 5G มาพร้อมกับฟิลเตอร์ Master Style ถึง 3 แบบ ได้แก่ ประกาย ละมุน และมรกต ซึ่งแต่ละแบบก็สามารถถ่ายได้เหมาะกับทั้งวัตถุ บุคคล และสถานที่ที่ให้อารมณ์แตกต่างกันอย่างชัดเจนครับ
ประกาย
ละมุน
มรกต
เพิ่มพลังในการเล่าเรื่องผ่านภาพที่ไม่เหมือนใครด้วย XPAN Mode
สิ่งที่กล้องจาก Hasselblad ให้ได้เท่านั้นคือโหมด XPAN ที่จะเป็นภาพถ่ายอัตราส่วน 65:24 ที่เป็นภาพของกล้องฟิล์ม 2 ภาพมาต่อกันเป็นแนวนอน ช่วยให้เราเล่าเรื่องผ่านภาพถ่ายได้แบบไม่เหมือนใคร โดยที่โหมดนี้จะให้เราถ่ายได้ทั้งโหมดสีสันที่เมื่อกดถ่ายแล้ว ตัวภาพจะเริ่มจาก Negative และค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นสีปกติที่ให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนเราถ่ายภาพจากกล้องฟิล์มจริงๆ และอีกแบบจะเป็นโหมดขาวดำครับ
โหมด Portrait ปรับเอฟเฟ็กต์การเบลอให้เสมือนเลนส์จริงจาก Hasselblad XCD
นอกจากฟิลเตอร์ข้างต้นที่บ่งบอกถึงความเป็น Hasselblad แล้ว ในโหมด Portrait ของ OnePlus 11 5G ก็ยังมีการปรับแต่งให้เอฟเฟ็กต์การเบลอให้เหมือนกับการใช้เลนส์กล้อง Hasselblad XCD ระยะ 30mm และ 65mm ครับ โดยการใช้โหมด Portrait ระยะ 1x จะเปรียบกับการใช้เลนส์ Hasselblad XCD 30mm เพื่อให้จับภาพบุคคลพร้อมภาพบรรยากาศได้ธรรมชาติยิ่งขึ้น มีการเบลออย่างเป็นระดับ มีมิติ ทำให้ภาพตัวคนดูไม่ลอยโดดๆ เกินไปครับ
นอกจากนี้ในโหมด Portrait ก็ยังได้ความเป็น Hasselblad ด้วยการใส่ Master Style แบบ “ละมุน” มาให้ครับ ทำให้เพิ่มมิติและอีกอารมณ์ของภาพไปเลยครับ
ขณะเดียวกับโหมดนี้ก็ยังถ่ายผ่านเลนส์ Tele 2x ที่เปรียบเป็นระยะ 65mm เช่นกัน ซึ่งจะให้การเบลอฉากหลังที่ละลายยิ่งขึ้น และโฟกัสถึงใบหน้าและอารมณ์ของตัวบุคคลได้ดีขึ้นกว่าเดิมครับ
เลนส์ Ultra-Wide Angle เก็บได้ครบพร้อมความคมชัดขั้นสูง
ในเลนส์อื่นๆ ของ OnePlus 11 5G ก็ยังคงจัดเต็มเหมือนกันครับ เรามาดูกันที่เลนส์มุมกว้าง Ultra-Wide Angle กันต่อ ที่มีมุมกว้าง 115 องศา โดยความกว้างระดับนี้มาแบบพอดีมากๆ เก็บองค์ประกอบได้ครบ และขอบภาพก็ไม่ได้โค้งจนเสียรายละเอียดไป
ถ่าย Macro ระยะ 3.5 ซม. ได้คมๆ ผ่านเลนส์ Ultra-Wide
แม้ว่าจะไม่มีเลนส์ Macro แบบจริงๆ มาให้ แต่ OnePlus 11 5G ได้เพิ่มความสามารถของเลนส์ Ultra-Wide Angle ให้ถ่าย Macro ได้ครับ ซึ่งประโยชน์ของจุดนี้คือได้ความคมชัดขั้นสูงและสีสันก็ไม่ดรอปไม่มากมายอะไรครับ ทั้งยังได้ระยะที่ใกล้ขึ้นกว่าเดิมเป็น 3.5 ซม. จากปกติที่มักถ่ายได้ที่ระยะ 4 ซม. โดยในการถ่ายโหมดนี้เราไม่ต้องมากดโหมด Macro เพราะระบบจะปรับให้อัตโนมัติทันทีเมื่อเรานำกล้องเข้าไปใกล้วัตถุครับ แต่ก็สามารถปิดได้เช่นกันหากไม่ต้องการใช้ Macro อัตโนมัติ
Night Mode ถ่ายได้สวย ตัด Noise ได้ยอดเยี่ยม
โหมดถ่ายภาพกลางคืนหรือ Night Mode ในรุ่นนี้ก็ทำได้ยอดเยี่ยมครับ สามารถปรับรายละเอียดของวัตถุได้ชัดเจนและคมชัดมากๆ รวมถึงความสว่างก็ยังปรับมาให้เป็นอย่างดีและยังมีความเป็นกลางคืนอยู่ครับ ที่สำคัญใน Night Mode ยังถ่ายได้ทั้งเลนส์หลักและเลนส์ Ultra-Wide Angle รวมถึงยังมีฟิลเตอร์มาให้ใช้งานเพิ่มมิติให้ภาพถ่ายได้ลงตัวไปอีกแบบ
กล้องหน้า AI ปรับผิวเนียนเป็นธรรมชาติ
ไม่ใช่แค่กล้องหลังที่ถ่ายได้สวยงามเท่านั้น แต่ในการเซลฟี่ก็ทำได้สวยเป็นธรรมชาติเช่นกันตามสไตล์ของ OnePlus ครับ ใบหน้ามีการปรับให้เป็นธรรมชาติ ผิวเนียน และยังถ่ายย้อนแสงได้แบบสบายๆ เลยเพราะ HDR นั้นทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
สรุปการใช้งาน OnePlus 11 5G
หากจะสรุป OnePlus 11 5G บอกได้ประโยคเดียวเลยคือ “สเปคขั้นสุด แบบไม่มีต้องมีรุ่น Pro จริงๆ” ด้วยการที่สเปคในรุ่นนี้ให้มาครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องมีรุ่นที่ใหญ่กว่านี้แล้ว ทั้งหน้าจอ Super Fluid AMOLED ขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว แบบ 120Hz ที่ปรับได้ รวมถึงขุมพลัง Snapdragon 8 Gen 2 ให้แบต 5000mAh ชาร์จเร็วสุด 100W SUPERVOOC และยังได้กล้องหลังที่พัฒนากับทาง Hasselblad ที่ถ่ายได้สวยงามมากแบบไม่ต้องปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมครับ
และหนึ่งในสิ่งที่ดีงามที่สุดใน OnePlus 11 5G คือดีไซน์ที่ได้ความพรีเมียม และก็น่าจะเรียกได้เต็มปากแล้วว่านี่คือสมาร์ทโฟน “Flagship Killer” หรือนักฆ่าเรือธงที่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ
OnePlus Buds Pro 2
มาต่อกันด้วยรีวิวประสบการณ์หูฟังสุดพรีเมียมอย่าง OnePlus Buds Pro 2 ที่มาในสีเขียว Arbor Green ที่เป็นโทนเดียวกับ OnePlus 11 5G ที่จับคู่กันสุดเท่แน่นอนครับ
สรุปสเปค OnePlus Buds Pro 2
- ขนาด : 24.30 x 20.85 x 32.18 มม. (สูง x กว้าง x ยาว)
- น้ำหนักตัวเคส : 47.3 กรัม
- น้ำหนักหูฟัง (ข้างละ) : 4.9 กรัม
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.3
- Bluetooth codec : LHDC/AAC/SBC/LC3
- ระยะการเชื่อมต่อ : สูงสุด 10 เมตร
- ขนาดไดเวอร์ไดนามิก : 11 มม.
- กันน้ำ/ฝุ่น (หูฟัง) : IP55
- กันน้ำ/ฝุ่น (เคส) : IPX4
- การชาร์จ (เคส) : USB Type-C
- แบตเตอรี่ (เคส) : 520mAh
- แบตเตอรี่ (ข้างละ) : 60mAh
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- เคสพร้อมหูฟัง OnePlus Buds Pro 2 พร้อมจุกหูฟังขนาด M
- จุกหูฟังขนาด S และ L
- สาย USB Type-C
- เอกสารต้อนรับ
- คู่การการใช้งานและการรับประกันเบื้องต้น
ดีไซน์สวยงาม จับคู่กับสมาร์ทโฟนเรือธงได้อย่างลงตัว
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น OnePlus Buds Pro 2 สีเขียว Arbor Green นั้นมาในโทนสีเดียวกับ OnePlus 11 5G สี Eternal Green ทำให้ใช้งานคู่กับได้แบบลงตัวเลยทีเดียวครับ
โดยวัสดุของหูฟังตัวท็อปนี้ก็มีความพรีเมียมเป็นผิวด้าน (Matte) ตัดด้วยชื่อของ OnePlus ที่มีความมันเงาอย่างสวยงาม แถมตัวบานพับก็ทำได้อย่างแข็งแรงอีกด้วยครับ
เมื่อเปิดออกมาจะเจอกับหูฟังที่วางเรียงอย่างสวยงาม และแน่นอนว่ามาในสีเขียวเหมือนกัน !! ซึ่งดีไซน์ของตัวหูฟังจะเป็นแบบ In Ear ที่ใส่ได้แน่นและไม่หลุดง่ายๆ ครับ
ทั้งนี้ที่ก้านของ OnePlus Buds Pro 2 ยังใช้เป็นโซนที่สัมผัสเพื่อควบคุมการใช้งานได้อีกด้วย
แค่เปิดเคสก็เชื่อมต่อได้ทันที
ในการเชื่อมต่อครั้งแรกของ OnePlus Buds Pro 2 หากเราใช้ Android โดยเฉพาะในฝั่งของระบบปฏิบัติการ OxygenOS ระบบจะมีการตรวจพบหูฟังเพื่อให้เรากดเชื่อมต่อได้ทันทีครับ ซึ่งการในการตั้งแต่ต่างๆ ของตัวหูฟังจะอยู่ในส่วนของบลูทูธทั้งหมดครับ
ตัดเสียงรบกวนทันทีแบบไม่ปวดหู
หลังจากที่ใส่ OnePlus Buds Pro 2 เข้าไปแล้ว จะมีการตัดเสียงรบกวนทันทีถึง 99.6% และสิ่งที่ชอบเลยคือไม่ปวดหูหรือมีแรงกดจากตัวของหูฟังเวลาเปิดฟีเจอร์นี้ครับ ต่างจากปกติที่เราอาจจะรู้สึกปวดหูเมื่อใช้งานการตดเสียงรบกวนครับ
ฟังเพลงเสียงคมชัดตามมาตรฐาน Hi-Res Audio Wireless
แม้ว่าจะเป็นหูฟังไร้สาย แต่ OnePlus Buds Pro 2 ก็ยังรองรับมาตรฐานเสียง Hi-Res Audio Wireless ที่เป็นระบบเสียง Hi-Res แบบไร้สายที่ให้คุณภาพเสียงได้แบบจัดเต็ม คมชัด ได้อรรถรสของการฟังเพลงได้อย่างเต็มที่ครับ
รองรับเสียงรอบทิศทาง 360 องศา
อีกความพิเศษของหูฟังรุ่นนี้คือการรองรับระบบเสียงแบบ 360 องศา ที่ให้เราได้ยินเสียงที่สมจริงรอบทิศทาง ซึ่งจะมี 2 แบบให้เราเลือกคือ “แก้ไขแล้ว” ที่เสียงจะขยับตามการเคลื่อนไหวของศีรษะของเราครับ และอีกแบบจะเป็น “ติดตามตำแหน่งศีรษะ” ที่เสียงจะเล่นแบบสมจริงยิ่งขึ้น เหมือนเรามีลำโพงที่ตั้งรอบตัว 360 องศาเอาไว้แบบนิ่งๆ และเมื่อเราขยับหัว เสียงที่ได้ก็จะแตกต่างกันในแต่ละทิศทางที่เราขยับครับ
เบสแน่นๆ ด้วยไดนามิควูฟเฟอร์ 11 มม.
ใครที่ชอบฟังเพลงที่ให้เบสแน่นๆ ในรุ่น OnePlus Buds Pro 2 ก็มีวูฟเฟอร์ให้มาที่ขนาดใหญ่ 11 มม. ช่วยให้เสียงเบสมีความแน่นและชัดเจนมากขึ้นครับ ทั้งนี้ หากใครที่อยากได้โทนเสียงแบบไหนก็สามารถปรับ EQ (Equalizer) ได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นโบลด์ เซเรเนด เบส หรือจะกำหนดเองก็ทำเช่นกัน
ความหน่วงต่ำ 54ms เล่นเกมได้ภาพและเสียงเรียลไทม์
ส่วนใครที่จะเล่นเกม OnePlus Buds Pro 2 ก็ให้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นกันครับ โดยรองรับค่าความหน่วง (Latency) อยู่ที่เพียง 54ms เท่านั้น ทำให้ภาพและเสียงระหว่างเล่นแทบจะตรงกันเลยครับ รับรองว่าไม่ขัดใจแน่นอน
แบตเตอรี่อึดๆ ใช้งานได้นานสุด 39 ชั่วโมง
การที่เป็นหูฟังพรีเมียม เรื่องของระยะเวลาในการใช้งานก็เป็นเรื่องสำคัญครับ หากเราชาร์จ OnePlus Buds Pro 2 พร้อมกับตัวเคสที่เต็ม 100% ทั้งหมด จะสามารถใช้งานได้เต็มที่ 39 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่หากตัวเคสมีแบตเหลือไม่เยอะ แต่หูฟังยังแบตเต็มอยู่ ก็สามารถใช้งานแบบเดี่ยวๆ ได้ถึง 9 ชั่วโมงอยู่ดีครับ
สรุปการใช้งาน OnePlus Buds Pro 2
ส่วนหูฟังพรีเมียมอย่าง OnePlus Buds Pro 2 ก็ใช้งานร่วมกับ OnePlus 11 5G ได้แบบลงตัวสุดๆ หากยิ่งใช้สีเดียวกันอีกก็ยิ่งเหมาะสมกันมากๆ ครับ ขณะที่ฟีเจอร์ระดับท็อปก็จัดมาให้ครบ ทั้งการตัดเสียงรบกวนที่ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ระบบเสียงก็ทำได้ดี เบสแน่น และเสียงมีมิติเลยทีเดียวครับ
ราคาและวันวางจำหน่าย
OnePlus 11 5G สนนราคาอย่างเป็นทางการในไทยรุ่น 8+128GB (สีดำ Titan Black) อยู่ที่ 29,990 บาท และรุ่น 16+256GB (สีเขียว Eternal Green) อยู่ที่ 32,990 บาท
ช่องทางการจัดจำหน่าย OnePlus Experience Zone, AIS, Shopee, Lazada และ OPPO Brand shop รายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจสั่งซื้อ : https://www.oneplus.com/th
ดีลสุดพิเศษผ่านช่องออนไลน์ เมื่อช้อปตั้งแต่วันนี้ – ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ OnePlus Flagship Store รับฟรี! E-VIP Card ประกันหน้าจอแตก และ OnePlus 11 5G Sandstone Bumper Case มูลค่ารวมกว่า 10,790 บาท
- Lazada : http://bit.ly/3wWvooX
- Shopee : http://bit.ly/3JJ7fd1
- Tiktok : http://bit.ly/3YlcTH6
- Thisshop : https://bit.ly/3YoQTL0
โดยจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป แต่ความพิเศษเมื่อซื้อ OnePlus 11 5G รับทันที !! OnePlus 11 5G Sandstone Bumper Case มูลค่า 790 บาท และ OnePlus Buds Pro 2 มูลค่า 6,490 บาท เมื่อไปร่วมงาน Thailand Mobile Expo 2023 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นี้! (จำนวน 200 ท่าน)