Connect with us

Featured

รีวิว Xiaomi 13 | 13 Pro สองเรือธงกล้องเทพที่มาพร้อมสเปคขั้นสุดและการพัฒนาร่วมกับ Leica!

Published

on

รีวิว Xiaomi 13 Series สองเรือธงรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปสด ๆ ร้อนร้อน รอบนี้มาด้วยกัน 2 รุ่นคือ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ยังคงชูจุดเด่นเรื่องกล้องเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพัฒนากล้องร่วมกับ Leica ที่จะมาสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการอีกครั้ง! แต่ไม่ใช่แค่กล้องที่อัปเกรดขึ้นอย่างเดียวเพราะสเปคก็ให้มาใหม่หมด อาทิ ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2, หน่วยความจำแบบใหม่, หน้าจอที่สวยและสว่างที่สุดในตลาด Android หรือจะเป็นระบบชาร์จไวสูงสุด 120W HyperCharge อีกด้วย

และหลังจากที่เราลองใช้งาน Xiaomi 13 | 13 Pro มากว่าหนึ่งสัปดาห์วันนี้ก็จะมารีวิวให้ชมกันแบบเต็ม ๆ ว่ารุ่นนี้น่าสนใจแค่ไหน พร้อมแล้วมาติดตามกันเลยครับ!

สรุปสเปค Xiaomi 13

  • ขนาดตัวเครื่อง : 152.8 x 71.5 x 7.98 มม.
  • น้ำหนัก : 189 กรัม
  • หน้าจอ : E6 AMOLED ขนาด 6.36″ อัตราส่วน 20:9
  • ความละเอียด : FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) รองรับ Pro HDR display, Dolby Vision, HDR10+, HDR10, HLG
  • ความสว่างสูงสุด : 1900nits
  • refresh rate : 120Hz AdaptiveSync, Touch sampling rate 240Hz
  • CPU : Snapdragon 8 Gen 2 (4nm)
  • GPU : Adreno 740
  • RAM : 12GB (LPDDR5X)
  • ROM : 256GB (UFS 4.0)
  • แบตเตอรี่ : 4500mAh
  • ระบบชาร์จ : ชาร์จไวแบบสาย 67W TurboCharge, ไร้สาย 50W, Reverse Wireless Charging 10W 
  • กล้องหน้า : 32MP f/2.0
  • กล้องหลัง : 3 ตัว LEICA VARIO-SUMMICRON 1:1.8-2.2/15-75 ASPH.
    • กล้องหลัก 50MP (IMX800 ขนาด 1/1.49″) f/1.8, HyperOIS
    • กล้อง Ultra Wide-angle 12MP (มุมกว้าง 120º) f/2.2
    • กล้อง Tele 3.2X 10MP f/2.0
  • ระบบเสียง : ลำโพงคู่ Stereo รองรับ Dolby Atmos
  • กันน้ำกันฝุ่น : มาตรฐาน IP68
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 13 ครอบทับด้วย MIUI 14

สรุปสเปค Xiaomi 13 Pro

  • ขนาดตัวเครื่อง : 162.9 x 74.6 x 8.38 มม.
  • น้ำหนัก : 229 กรัม
  • หน้าจอ : E6 AMOLED ขนาด 6.73″ อัตราส่วน 20:9
  • ความละเอียด : WQHD+ (3200 x 1440 พิกเซล) รองรับ 10-bit Colors, Pro HDR display, Dolby Vision, HDR10+, HDR10, HLG
  • ความสว่างสูงสุด : 1900nits
  • refresh rate : 1-120Hz AdaptiveSync, Touch sampling rate 240Hz
  • CPU : Snapdragon 8 Gen 2 (4nm)
  • GPU : Adreno 740
  • RAM : 12GB (LPDDR5X)
  • ROM : 512GB (UFS 4.0)
  • แบตเตอรี่ : 4820mAh
  • ระบบชาร์จ : ชาร์จไวแบบสาย 120W HyperCharge, ไร้สาย 50W, Reverse Wireless Charging 10W 
  • กล้องหน้า : 32MP f/2.0
  • กล้องหลัง : 3 ตัว LEICA VARIO-SUMMICRON 1:1.9-2.2/14-75 ASPH.
    • กล้องหลัก 50MP (IMX989 ขนาด 1″) f/1.9, HyperOIS
    • กล้อง Ultra Wide-angle 50MP (มุมกว้าง 115º) f/2.2
    • กล้อง Tele 3.2X 50MP f/2.0, OIS
  • ระบบเสียง : ลำโพงคู่ Stereo รองรับ Dolby Atmos
  • กันน้ำกันฝุ่น : มาตรฐาน IP68
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 13 ครอบทับด้วย MIUI 14

แกะกล่อง Xiaomi 13 | 13 Pro

ก่อนจะไปเริ่มรีวิวในแต่ละส่วน เรามาดูตัวกล่องและเช็กอุปกรณ์ที่ให้มากันก่อนดีกว่า กล่องของทั้งคู่ยังคงแบ่งแยกด้วยสีพื้นต่างกันเหมือนเคย คือ Xiaomi 13 ใช้กล่องสีขาว ส่วน Xiaomi 13 Pro จะใช้กล่องสีดำ รอบนี้ระบุชื่อรุ่นไว้ตรงกลางพร้อมโลโก้ Co-Engineered with Leica เด่น ๆ กันไปเลยครับ

อุปกรณ์ภายในกล่องของทั้งคู่จะให้มาพร้อมใช้งานเหมือนกัน เกือบทั้งหมด แต่จุดที่แตกต่างไปคืออะแดปเตอร์ที่ให้มาในกล่องครับ ของ Xiaomi 13 จะเป็น 67W ส่วน Xiaomi 13 Pro จะเป็น 120W ครับ ขนาดและน้ำหนักก็เลยแตกต่างกันนิดหน่อย

ส่วนนอกนั้นก็ให้มาเหมือนกันทั้งหมดครับ แบ่งออกเป็น 6 อย่างดังนี้เลย

  1. ตัวเครื่อง Xiaomi 13 | Xiaomi 13 Pro
  2. เคสซิลิโคน
  3. สายชาร์จ
  4. อะแดปเตอร์ชาร์จ 67W TurboCharge | 120W HyperCharge
  5. เอกสารคู่มือ
  6. เข็มจิ้มถาดซิม

เรียกว่ายังให้มาครบพร้อมใช้งานเหมือนเดิม ไม่มีตัดอะไรออกมาให้ผู้ใช้อย่างเราต้องซื้อเพิ่มเลย และก็ที่หน้าจอของทั้งคู่จะมีฟิล์มติดมาให้ตั้งแต่โรงงานเลยด้วยครับ เรียกว่าแกะกล่องปุ๊บก็พร้อมใช้งานปั๊บจริง ๆ แหละ

สองดีไซน์ สองความงาม ที่ลงตัว

มาเริ่มกันที่ดีไซน์ก่อนเลย Xiaomi 13 Series ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมดีไซน์ที่แตกต่างกันชัดเจน ด้วยการใช้หน้าจอที่ต่างกัน Xiaomi 13 ใช้หน้าจอแบบแบนขอบชิด ในขณะที่ Xiaomi 13 Pro ใช้หน้าจอโค้ง แต่บอกเลยว่าสวยงามลงตัวทั้งคู่ครับ

Xiaomi 13 กับดีไซน์กะทัดรัดและสัมผัสที่กระชับมือ

เริ่มที่ Xiaomi 13 จะมาพร้อมหน้าจอแบบแบนราบ 2D มีขอบหน้าจอบางเพียง 1.61 มม.เท่านั้น และใช้พื้นที่ด้านหน้าไปได้มากถึง 93.3% แน่นอนว่าขอบชิดขนาดนี้ แม้ตัวเครื่องจะเล็กก็ยังได้ขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 6.36″ ทีเดียวครับ

ตัวเครื่องก็มีการออกแบบที่หรูหรา ใช้ดีไซน์แบบกรอบเหลี่ยมเพื่อเพิ่มสัมผัสที่กระชับมือและประสบการณ์การจับถือที่แน่นหนา กรอบเครื่องทำจากอลูมิเนียมอัลลอยด์น้ำหนักเบาพร้อมผิวสัมผัสที่นุ่มนวลและเงางาม มีความบางเพียง 7.98 มม. และหนักเพียงแค่ 189 กรัมเท่านั้น

ส่วนฝาหลังจะทำจากกระจกโค้ง 2.5D ที่ช่วยคอยรับกับรูปมือเราได้เป็นอย่างดีและด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัดเวลาถืออยู่ในมือจะให้ความรู้สึกที่ดีเยี่ยมจริง ๆ ครับ Xiaomi 13 มีให้เลือก 3 สีได้แก่ White, Black และสีใหม่ Flora Green ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นทางเดินป่าที่เต็มไปด้วยหมอกและแมกไม้ โทนสีนี้นั้นสามารถผสานให้เทคโนโลยีและธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนบนสมาร์ทโฟนอย่างมีสไตล์

Xiaomi 13 Pro รูปทรงที่สวยงามบนหน้าจอโค้งสุดพรีเมี่ยม

ส่วน Xiaomi 13 Pro รุ่นพี่จะมาพร้อมหน้าจอโค้งได้ความพรีเมี่ยมและชวนสัมผัสไปอีกแบบ เพราะเวลาเราสัมผัสไปที่มุมจอจะได้ความลื่นไหลและโค้งมนลงตัว หน้าจอของรุ่น Pro จะมีขนาดใหญ่เต็มตาอย่างมากใหญ่ถึง 6.73″ ให้ความเต็มตาเอามาก ๆ

นอกจากนี้ความโค้งของหน้าจอและการออกแบบที่เรียบง่ายจากเส้นโค้งที่ทอดยาวจากด้านข้างไปจนถึงโมดูลกล้อง ทำให้ความรู้สึกที่กลมกลืนกันได้อย่างดีมาก จับถือได้อย่างสบายมือเพราะมีการโค้งรับกันอย่างดีเมื่ออยู่บนมือจริง ๆ ครับ

ความบางของตัวเครื่องก็แค่ 8.38 มม.เท่านั้น แต่จุดสังเกตที่เราพบบน Xiaomi 13 Pro ก็คือน้ำหนักที่มากถึง 229 กรัม และเมื่อจับถือจริง ๆ จะรู้สึกได้ทันที แถมการกระจายน้ำหนักจะไปลงที่ส่วนบนของตัวเครื่องมากไปหน่อย คงเพราะเซ็นเซอร์กล้องใหม่ที่จัดเต็มด้วย แต่ถ้าใครที่ใช้สมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่มาตลอดอยู่แล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ

สำหรับสีสันของ Xiaomi 13 Pro จะมีให้เลือก 2 สีคือ Ceramic Black และ Ceramic White เป็น 2 สีคลาสสิคที่ให้ทั้งความเรียบง่ายแต่ก็สุขุมดีไม่น้อยครับ

หน้าจอแสดงผลระดับท็อป

แม้ดีไซน์หน้าจอจะแตกต่างกัน แต่ทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro มาพร้อมเทคโนโลยีหน้าจอระดับสูงเหมือนกัน ด้วยจอ E6 AMOLED ที่มีความคมชัดและสีสันสูง รองรับ Pro HDR, HDR 10, HDR 10+, Dolby Vision และ HLG ด้วย มอบประสบการณ์การดูคอนเทนต์ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ครับ

แต่ในเรื่องความละเอียดจะแตกต่างกันนิดหน่อยคือ Xiaomi 13 Pro ได้ความละเอียดสูงสุดถึง WQHD+ (3200 x 1440 พิกเซล) ในขณะที่ Xiaomi 13 จะได้ความละเอียดสูงสุดที่ FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) แต่ด้วยขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน (6.73″ vs 6.36″) ก็ถือว่าให้มาสวยคมชัดทั้งคู่แล้วล่ะครับ

ส่วนเรื่องความสว่างทั้งคู่ก็ให้มาสุด เพราะ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro มีหน้าจอที่สว่างสูงสุด 1200nits ในการใช้งานทั่วไปและสำหรับคอนเทนต์ HDR ก็เร่งขึ้นได้ถึง 1900nits กันเลย เรียกว่าสูงที่สุดในกลุ่มสมาร์ทโฟน Android ตอนนี้แล้วก็ว่าได้ครับ!

นอกจากนี้ในเรื่องการตอบสนองหน้าจอ Xiaomi 13 ยังได้ Refresh rate สูง 120Hz แบบ AdaptiveSync ที่สามารถปรับขึ้น-ลงได้ตามการใช้งานด้วย ส่วนรุ่น Xiaomi 13 Pro จะอัปเกรดขึ้นมาเป็น AdaptiveSync Pro ที่สามารถปรับขึ้นลงได้ตั้งแต่ 1Hz – 120Hz กันเลย พูดง่าย ๆ ก็คือทั้งคู่ได้ความลื่นไหลเท่ากันและประหยัดแบตฯมาก ๆ นั่นเองครับ

รอบเครื่องรายละเอียดเหมือนกัน

รอบ ๆ ตัวเครื่องของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ถ้าไม่รวมเรื่องความโค้งของหน้าจอกับกรอบเหลี่ยม ก็จะเหมือนกันทั้งหมดครับ วางปุ่มกดไว้ที่มุมขวามือของตัวเครื่องทั้งหมด อยู่ในจุดที่เราจะกดได้ง่ายไม่ต้องยืดนิ้วจนเกร็งทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กเลย

ด้านบน-ล่างจะใช้ดีไซน์แบบตัดเหลี่ยมเพิ่มความพรีเมี่ยม มีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนอยู่ด้านบน 2 ตัวและตัว IR Infrared สำหรับใช้งานเป็นรีโมทควบคุมต่าง ๆ เหมือนเดิม

ส่วนด้านล่างก็จะมีพอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C อยู่ตรงกลาง ประกบด้วยไมโครโฟนและลำโพงหลักของตัวเครื่อง ซึ่งแน่นอนว่าใช้งานร่วมกับลำโพงสนทนาด้านบนเป็นลำโพงคู่ Stereo ได้เหมือนเดิม

ไหน ๆ ก็พูดเรื่องลำโพงแล้วเราขอแวะมาเสริมเรื่องระบบเสียงของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro เลยดีกว่า รอบนี้แม้จะไม่มีโลโก้ Sound by Harman/Kardon แล้ว แต่ก็ยังได้ลำโพงคุณภาพแบบ Stereo เหมือนเดิม มิติเสียงนั้นยอดเยี่ยมมาก รวมถึงยังได้เอฟเฟกต์เสียงจาก Dolby Atmos มาด้วย ใครที่ชอบดูหนัง, ฟังเพลงหรือเล่นเกมผ่านลำโพงตัวเครื่องบอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน ลำโพงคุณภาพจริง ๆ เลยทั้งคู่เนี่ย!

ส่วนช่องใส่ซิมทั้งคู่ก็จะอยู่ที่ด้านล่างนี้เช่นกันซึ่งทั้งคู่จะให้ถาดซิมแบบ Dual-Slot คือใส่ได้ 2 ซิม (แบบ nano-SIM) เรื่องการเพิ่มหน่วยความจำนอกหรือ microSD อันนี้ไม่ได้มีมาให้ตั้งนานแล้วเนาะ

สแกนนิ้วบนหน้าจอ สแกนใบหน้าด้วยกล้องหน้าครบ!

สำหรับเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ก็ให้มาเหมือนกันหมดทั้งระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Optical ที่แตะสแกนได้อย่างรวดเร็ว หรือจะเป็นสแกนใบหน้าก็ใช้งานร่วมกับกล้องหน้าได้อย่างทันทีทันใดเช่นกันครับ

นอกจากนี้ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ยังให้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นแบบ IP68 มาเหมือนกันด้วย หมายความว่าหากตัวเครื่องเกิดอุบัติเหตุตกน้ำ (ระดับความลึก 1.5 เมตรไม่เกิน 30 นาที) ก็จะไม่เกิดความเสียหายแน่นอน เป็นมาตรฐานที่ช่วยให้อุ่นใจหากต้องลุยฝน น้ำหกใส่ หรืออุบัติเหตุทางน้ำอย่างที่ว่าไปจริง ๆ ครับ

โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ก็อย่างที่บอกไปครับ เป็น 2 ดีไซน์ 2 ความงามที่ลงตัวมาก ๆ ทั้งแบบหน้าจอแบน (Flat) ที่ขอบบางเฉียบกับขนาดตัวเครื่องที่กะทัดรัดที่หาได้ยากในสมาร์ทโฟนเรือธงยุคนี้ หรือจะเป็นแบบโค้งมนที่มอบประสบการณ์พรีเมี่ยมและเต็มตาของหน้าจออันเป็นที่สุด แต่ทั้งคู่ยังได้เทคโนโลยีจอแสดงผล ลำโพงคู่ ระบบรักษาความปลอดภัย หรือมาตรฐานกันน้ำมาเหมือนกันหมด เรียกว่าเลือกกันที่ขนาดอย่างเดียวแล้วล่ะครับ 2 รุ่นนี้!

กล้องที่พัฒนาร่วมกับ Leica ยกระดับกว่าครั้งไหน ๆ

มาต่อที่เรื่องไฮไลท์ของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ในรอบนี้กับเรื่อง “กล้อง” กันเลยครับ! นี่ถือเป็นครั้งแรกของ Xiaomi x Leica ในตลาดทั่วโลก ทั้งคู่มาพร้อมกล้องสเปคเทพที่ได้การจูนซอฟต์แวร์มาโดย Leica อย่างลงตัว ช่วยยกระดับกล้องแบบก้าวกระโดดกันเลยล่ะครับ ได้กล้องหลัง 3 ตัวมาเหมือนกัน แต่ในเรื่องสเปคจะมีความแตกต่างกันอยู่ดังนี้ครับ

สเปคกล้อง Xiaomi 13 : LEICA VARIO-SUMMICRON 1:1.8-2.2/15-75 ASPH.

  • กล้องหลัก 50MP (IMX800 ขนาด 1/1.49″) f/1.8, HyperOIS
  • กล้อง Ultra Wide-angle 12MP (มุมกว้าง 120º) f/2.2
  • กล้อง Tele 3.2X 10MP f/2.0

สเปคกล้อง Xiaomi 13 Pro : LEICA VARIO-SUMMICRON 1:1.9-2.2/14-75 ASPH.

  • กล้องหลัก 50MP (IMX989 ขนาด 1″) f/1.9, HyperOIS
  • กล้อง Ultra Wide-angle 50MP (มุมกว้าง 115º) f/2.2
  • กล้อง Tele 3.2X 50MP f/2.0, OIS

อย่างที่เห็นว่ารอบนี้ทั้ง 2 รุ่นได้กล้องมา 3 ระยะตั้งแต่ Ultra Wide – Tele 3X เหมือนกัน ครอบคลุมตั้งแต่การใช้งานทั่วไปจนถึงระยะใกล้ครบถ้วน ในส่วนของซอฟต์แวร์ทั้งคู่ได้มาแทบจะเหมือนกันหมดทั้งความสามารถ AI, โหมดการถ่ายภาพกลิ่นอาย Leica, Leica Filters, Leica Style หรือ Leica Pro lens เรียกว่ามอบประสบการณ์การถ่ายภาพขั้นเทพไม่แพ้กันเลยล่ะครับ

Leica Style เลือกสไตล์ของภาพได้ก่อนถ่าย

เรามาเริ่มรีวิวเรื่องกล้องกันเลยดีกว่า Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro มาพร้อม Leica Style ให้เลือก 2 แบบคือ Leica Vibrant (โทนสดใสและสีจัด)และ Leica Authentic (โทนธรรมชาติและสมจริง) ซึ่งตัวเลือกนี้จะถูกถามตั้งแต่เราเปิดกล้องครั้งแรกเลย แต่เราก็สามารถมาเลือกเปลี่ยนได้ก่อนถ่ายได้เหมือนกัน (เลือกได้ที่ไอคอน Leica ใน UI กล้อง)

เท่าที่เราลองถ่ายเปรียบเทียบก็อย่างที่ระบบแนะนำเลยครับตัว Leica Vibrant จะออกไปทางสดใสและสว่างกว่า ส่วน Leica Authentic จะมีความคมเข้มและออกธรรมชาติกว่านั่นเองครับ ซึ่งในรีวิวนี้ภาพส่วนใหญ่จะถ่ายในสไตล์ Leica Authentic ครับผม

Leica Filters ได้ฟิลเหมือนกล้อง Leica จริง

หรือใครที่อยากได้ความเป็น Leica เพิ่มเติมนอกจากโทน Leica Vibrant กับ Leica Authentic บน Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ก็มีฟิลเตอร์จาก Leica มาให้อีก 4 แบบคือ Leica Vivid, Leica Natural, Leica Black & White Natural และ Leica Black & White High Contrast ให้เลือกเพิ่มเติมอีกด้วย เลือกได้ที่ไอคอนรูปดาวในโหมด Photo และกดไปที่ Fliters ได้เลยครับ

จัดการเพิ่มด้วย AI เหมือนเดิม

แน่นอนว่าความสามารถของ AI ยังใช้งานร่วมกับ Leica Style ได้ด้วย หมายความว่านอกจากโทนภาพจะเป็นไปตามโทน Leica แล้ว เรายังได้ AI คอยปรับปรุงภาพในบางจุดให้สวยลงตัวเพิ่มด้วย ซึ่งภาพที่ได้จะออกมาสวยขึ้นแบบที่ไม่เว่อจนเกินไป ยังมีความเป็นธรรมชาติในแบบที่ลงตัว ตรงนี้เราชอบมาก ๆ ครับ

กล้องหลัก 50MP ใช้งานได้ดีได้ Leica จูนให้ยิ่งลงตัว

มาชมตัวอย่างภาพไปที่ละกล้องเลยดีกว่าทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ได้กล้องหลักความละเอียด 50MP มาเหมือนกัน ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์กล้องตัวท็อปทั้งคู่ ในการใช้งานทั่วไปทั้งกลางวันกลางคืนจัดว่าเป็นระดับสูงสุดของตลาดในตอนนี้แล้วก็ว่าได้ แถมพอได้โทนของ Leica มาจูนเพิ่มก็ยิ่งทำให้คุณภาพสวยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีก!

แต่ถ้าเทียบกล้องหลักระหว่าง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro จริง ๆ จะเห็นว่าโทนสีของกล้องหลักมีความแตกต่างกันนิดหน่อยของ Xiaomi 13 จะออกโทนอุ่น (อมเหลือง) ส่วนของ Xiaomi 13 Pro ก็จะเป็นโทนเย็น (อมฟ้า) และความที่ขนาดเซ็นเซอร์ของ Xiaomi 13 Pro นั้นใช้ตัวท็อปสุดอย่าง IMX989 ที่มีขนาดใหญ่ถึง 1″ ทำให้ได้เปรียบทั้งในเรื่องของแสงน้อยและการละลายฉากหลัง อย่างที่เราจะเห็นจากภาพเปรียบเทียบด้านล่างนี้ว่าวัตถุอยู่ใกล้ ๆ เราจะเห็นการละลายฉากหลังที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดบนกล้องของ Xiaomi 13 Pro รวมถึงในภาพแสงน้อยก็จะได้ความสว่างที่มากกว่านิดหน่อยด้วยครับ!

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัก ของ Xiaomi 13 (ภาพซ้าย) | Xiaomi 13 Pro (ภาพขวา)

พลังแห่งเซ็นเซอร์ 1″ บน Xiaomi 13 Pro

นอกจากเรื่องการละลายหลังที่ทำได้เนียนเป็นธรรมชาติแล้ว ความดีงามของเซ็นเซอร์ 1″ ก็คือการรับแสงที่ทำได้ยอดเยี่ยม ซึ่งให้ช่วงไดนามิก และความสามารถในการจับแสงของภาพที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังให้ภาพที่สวยสดสมจริงพร้อมคอนทราสต์และรายละเอียดที่มากขึ้น โทนภาพที่ออกมาจึงมีความคล้ายกับพวกกล้อง DSLR จริง ๆ ถ้าไม่เห็นลายน้ำบางภาพเชื่อว่าต้องคิดว่าใช้กล้องใหญ่ถ่ายแน่ ๆ ครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลักของ Xiaomi 13 Pro

กล้อง Ultra Wide ให้มุมกว้างคุณภาพเยี่ยม

มาต่อกันที่กล้อง Ultra Wide ของทั้งคู่ยังคงให้คุณภาพที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ทั้ง 2 รุ่นมีจุดแตกต่างกันอยู่ในเรื่องของความละเอียดและระยะของภาพ โดย Xiaomi 13 จะได้ความละเอียดมาที่ 12MP และระยะ 15มม. ในขณะที่ของ Xiaomi 13 Pro จะได้ความละเอียดสูงสุด 50MP (Binning เหลือ 14.5MP) แต่ระยะ 14 มม. เรามาดูภาพเปรียบเทียบจากกล้อง Ultra Wide ของทั้งคู่กันดีกว่า

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Ultra Wide ของ Xiaomi 13 (ภาพซ้าย) | Xiaomi 13 Pro (ภาพขวา)

จะเห็นว่าคุณภาพของกล้อง Ultra Wide จาก Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ยังคงทำได้ดีไม่แพ้กล้องหลัก การเก็บแสงและ Dynamic Range ดีมาก โทนสียังคงคมเข้มแบบ Leica ไม่เปลี่ยน ความเก่งของ AI ทำงานได้อย่างครบถ้วน

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Ultra Wide ของ Xiaomi 13 Pro

กล้อง Tele ได้ Optical Zoom 3.2x ทั้งคู่

กล้องอีกตัวที่ให้มาคือกล้อง Tele ที่ทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ได้ระยะมาเท่ากันคือ 75 มม.หรือ Optical Zoom 3.2x เหมือนกัน และยังสามารถใช้ Hybrid Zoom ได้อีก 10x โดยที่ความคมชัดยังเก็บได้ดี ซึ่งเป็นระยะที่เพียงพอต่อการใช้งานจริงในชีวตประจำวันแล้ว แต่ถ้าซูมแบบสูงสุดตรงนี้รุ่น Pro จะไปได้ไกลกว่าเป็น 70x ในขณะที่รุ่นปกติได้ 30x ครับผม

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Tele ของ Xiaomi 13 (ภาพซ้าย) | Xiaomi 13 Pro (ภาพขวา)

แต่เลนส์ Tele 75 มม.ของ Xiaomi 13 Pro ยังไม่ได้เก่งแค่ภาพระยะไกลเท่านั้น เพราะด้วยการใช้เทคโนโลยีการโฟกัสภายในระดับ DSLR ทำให้เลนส์เทเลโฟโต้ขนาด 75 มม.นั้นใช้ประโยชน์จากการออกแบบเลนส์แบบลอยตัว (a floating lens design) เพื่อให้ได้ช่วงโฟกัสตั้งแต่ 10  ซม. ถึงระยะอินฟินิตี้ ทำให้เราสามารถนำมาใช้เป็นกล้อง Tele macro เพื่อถ่ายวัตถุระยะใกล้ได้อย่างคมชัดอีกด้วยครับ

ตัวอย่างภาพถ่าย Tele Macro จากกล้อง Tele ของ Xiaomi 13 Pro

Portrait ก็เสริมความเป็น Leica ด้วย Pro lens

ในโหมด Portrait รอบนี้ Xiaomi ร่วมมือกับ Leica แบบจัดเต็ม จำลองเลนส์ตัวโปร 4 ระยะมาให้ใช้งานเหมือนเรามีเลนส์ให้เลือกเปลี่ยนใช้ตามสถานการณ์ประกอบด้วย

  • Black & White 35 มม.
  • Swirly Bokeh 50 มม.
  • Portrait 75 มม.
  • Soft focus 90 มม.

ซึ่งทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ก็ใช้งานฟีเจอร์ Pro lenses นี้ได้ทั้งหมดครับ ไฟล์ภาพที่ได้ก็ต้องบอกว่าทำได้ยอดเยี่ยมทั้งคู่เหมือนเดิม แต่จุดแตกต่างจะไปอยู่ที่โทนสีและความนุ่มลึกเล็กน้อยครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ Xiaomi 13 (ภาพซ้าย) | Xiaomi 13 Pro (ภาพขวา)

ซึ่งการเพิ่ม Pro lenses นี้เข้ามาก็ช่วยให้เราได้ถ่ายภาพ Portrait ในแนวใหม่ ๆ มากขึ้น ตัวซอฟต์แวร์ที่จำลองเลนส์จาก Leica ก็เก่งพอที่จะทำให้เราคิดว่าได้ใช้เลนส์เหล่านั้นอยู่จริง ๆ แถมตัว AI ก็คอยจัดการละลายฉากหลังได้อย่างเนียนตามาก ๆ เลยด้วยครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ Xiaomi 13 Pro

Monochrome เอกลักษณ์ของ Leica

ไหน ๆ Xiaomi 13 กับ Xiaomi 13 Pro ก็ร่วมมือกับ Leica แล้วจะไม่ให้พูดถึงภาพขาว-ดำที่เป็นเอกลักษณ์ของ Leica ก็คงกระไรอยู่ อย่างที่บอกไปว่าทั้ง Leica Filters และ Leica Pro lenses ในโหมด Portrait นั้นมี Black & White มาให้เลือกใช้งานด้วย ซึ่งเท่าที่เราลองก็เรียกว่าการปรับจูนทำได้ดีมากให้อารมณ์กล้อง Leica ที่มีทั้งความนุ่มลึกและมิติที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ

โหมด Pro ที่ปรับแต่งได้หลากหลาย

และที่ขาดไม่ได้คือโหมด  Pro ทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ยังให้เราปรับค่าการถ่ายภาพได้ด้วยตนเองและรองรับกล้อง RAW DNG 10 บิต และโปรไฟล์สี (Color Profiles) ที่สร้างโดย Adobe เพื่อรองรับ Adobe Photoshop และ Adobe Lightroom Xiaomi 13 ยังนำเสนอ “Create in Dolby Vision®” และยังสามารถถ่ายวิดีโอ 4K 10-bit Log ด้วย HyperOIS เพื่อให้แน่ใจได้ว่าการบันทึกวิดีโอจะมีความละเอียดและมีความเสถียรที่สุด

กล้องหน้าเซลฟี่เยี่ยมความละเอียด 32MP

กล้องหลังว่าความละเอียดสูงถ่ายสวยคมชัดแล้ว กล้องหน้าก็ไม่น้อยหน้าเพราะให้ความละเอียดสูงมาถึง 32MP ช่วยให้เราเก็บภาพเซลฟี่ได้อย่างสวยงาม คมชัด มีฟีเจอร์ Auto HDR มาให้ มีโหมด Beautify ปรับความเนียนของใบหน้าได้หลายระดับ หรือจะเป็น Portrait mode ก็มีมาให้ครบครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Xiaomi 13 Pro

โดยรวมแล้วเรื่องกล้องก็ต้องบอกเลยว่าสมการรอคอยมาก ๆ เพราะการมาของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ที่ได้พัฒนากล้องร่วมกับ Leica นั้นถือเป็นมิติใหม่ของกล้องบนสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่แค่ฮาร์ดแวร์ระดับสูงสุดของวงการ แต่ยังมีซอฟต์แวร์ที่ปรับแต่งมาเป็นอย่างดี เหมือนยกเอาเอกลักษณ์และเสน่ห์ของ Leica มาไว้บนสมาร์ทโฟน 2 เครื่องนี้จริง ๆ ใครชอบการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว ถ้าได้ลอง 2 รุ่นนี้จะยิ่งหลงรักขึ้นอีกเท่าตัวเลยล่ะครับ

ประสิทธิภาพที่ล้ำสมัยด้วยชิป Snapdragon 8 Gen 2

มาต่อกันในเรื่องประสิทธิภาพ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุด Snapdragon 8 Gen 2 เหมือนกัน ด้วยการออกแบบ CPU แบบฟิวชั่น 1+4+3 แบบใหม่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น 37% และประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้น 47% รวมไปถึงประสิทธิภาพของ GPU ที่เพิ่มขึ้น 42% ในขณะที่ประสิทธิภาพพลังงานเพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ประสิทธิภาพที่ทรงพลังนี้การันตีความสามารถในการจัดการกับงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพ, AI แบบเรียลไทม์ และการเล่นเกม ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับใช้ได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมั่นใจ

เพื่อให้เห็นภาพความแรงที่มากขึ้น เราลองทดสอบผ่านแอป AnTuTu Benchmark และ GeekBench 6 คะแนนออกมาสูงมากจริง ๆ โดย AnTuTu Benchmark จะออกมาดังนี้ครับ

  • Xiaomi 13 = 1263968 คะแนน
  • Xiaomi 13 Pro = 1253035 คะแนน

ส่วน GeekBench 6 ที่มีการปรับการทดสอบใหม่ทำให้เข้าถึงการใช้งานจริงมากขึ้น Xiaomi 13 ทั้ง 2 รุ่นก็ทำคะแนนได้สูงมาก ๆ ในกลุ่ม Android ด้วยกัน ผลออกมาดังนี้ครับ

  • Xiaomi 13 = Single-Core 1387 คะแนน, Multi-Core 5228 คะแนน
  • Xiaomi 13 Pro = Single-Core 1392 คะแนน, Multi-Core 5073 คะแนน

เล่นเกมก็ดีขึ้นจริง ๆ สัมผัสได้เลย!

ผลคะแนนสูงระดับนี้แล้ว ถ้าเล่นเกมจริงจังจะเป็นอย่างไร วันนี้เราทดสอบด้วย 3 เกมฮิตอย่าง Asphalt 9, PUBG และ Genshin Impact ครับ ผลลัพธ์ก็แอบบอกตรงนี้เลยว่าดีกว่ารุ่นก่อนแบบสัมผัสได้จริง ๆ

เล่น Asphalt 9 บน Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro

เริ่มที่เกมประจำของเราอย่าง Asphalt 9 ก่อนเลย จริง ๆ เกมนี้ก็ทำได้ลื่นไหลมาตลอดอยู่แล้วบนสมาร์ทโฟนกลุ่มเรือธง แต่พอได้มาเล่นบน Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro เรากลับพบประสบการณ์ที่ดีขึ้นไปอีก ด้วยประสิทธิภาพที่เร็วแรง ทำให้เล่นได้อย่างลื่นไหลมาก บวกกับหน้าจอที่แสดงผลได้งามจริง ๆ จะเป็นแบบชิดขอบของ Xiaomi 13 หรือโค้งเนียนแบบ Xiaomi 13 Pro ก็ทำให้ Asphalt 9 ที่เราเคยเลยนั้นดูเต็มตาขึ้นไปอีกจริง ๆ ครับ

เล่น PUBG บน Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro

หรือจะเป็นเกมแนวยิง ๆ อย่าง PUBG ก็ทำได้ดีไม่แพ้กันในเรื่องประสิทธิภาพคงไม่ต้องห่วงเราปรับกราฟิกได้ที่ HDR คู่กับเฟรมเรต Extreme ก็คือสูงสุดเท่าที่จะปรับได้แล้ว ตัวเกมยังเล่นได้แบบลื่น ๆ ตลอดแมทช์หรือหลาย ๆ แมทช์ก็ยังสบาย ความเจ๋งของลำโพง Stereo คู่พอได้ใช้งานกับเกมที่ต้องอาศัยการฟังเสียงของศัตรูแบบนี้ก็คือเหมาะมาก หรือจะเป็นหน้าจอที่ตอบสนองไวก็ทำให้เราลั่นไกใส่ศัตรูได้ทันก่อนที่จะโดนจัดการไปเอง เล่นแล้วฟินมาก ๆ ครับ PUBG บน 2 เรือธง Xiaomi 13 นี้!

เล่น Genshin Impact บน Xiaomi 13 Pro

ปิดท้ายที่ Genshin Impact เกมที่หินที่สุดบนสมาร์ทโฟนตอนนี้ Xiaomi 13 Pro ที่ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 2 ก็เอาอยู่สบาย ๆ ครับ เราเลือกปรับกราฟิกไปที่ระดับสูงสุดพร้อมเปิด 60fps เลย ในจังหวะที่เล่นจริงทำได้ดีเลย เฟรมเรตนิ่งอบบสุด ๆ แถมที่น่าประทับใจมากก็คือเครื่องไม่ได้ร้อนจี๋แบบรุ่นก่อน ๆ แล้วมากสุดก็แค่อุ่น ๆ เท่านั้น ทำให้ตัวเกมรันได้อย่างราบรื่นไม่เจออาการเฟรมดรอปหนัก ๆ ให้เห็นระหว่างเกมเลย นี่สิที่รอคอย!

แบตเตอรี่ที่อึดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อีกเรื่องที่เราจะไม่ชมไม่ได้เลยก็คือเรื่องของแบตเตอรี่ครับ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro มาพร้อมความจุ 4500mAh และ 4820mAh ตามลำดับ แม้จากตัวเลขอาจจะไม่ได้เยอะแบบที่สุด แต่ในการใช้งานจริงเรากลับพบว่าแบตฯอึดกว่าที่คิดมาก ดึงสายชาร์จออกตอน 7 โมงเช้า และใช้งานแบบหนักหน่วงตั้งแต่ถ่ายรูปแบบต่อเนื่อง, ทดสอบการเล่นเกมติดต่อกันหลาย ๆ เกม, สลับกับการใช้งานทั่วไปเป็นเครื่องหลัก ก็พบว่าเราสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันแบบที่ไม่ต้องกังวลเลย กลับถึงบ้านประมาณ 6 โมง – ทุ่มหนึ่งก็ยังเหลือราว ๆ 30% ยิ่งถ้าใช้งานไม่หนักมากข้ามไปวันครึ่งก็คงสบาย ๆ ครับ นี่คงเป็นอานิสงค์จากชิป Xiaomi Surge และ Snapdragon 8 Gen 2 เต็ม ๆ

ชาร์จไวสูงสุด 120W HyperCharge เร็วจนชีวิตเปลี่ยน

 ส่วนเรื่องระบบชาร์จก็ยังคงเป็นความเร็วที่ทำเอาตะลึงเหมือนเดิม Xiaomi 13 จะได้ระบบชาร์จไว 67W TurboCharge มา ซึ่งก็ถือว่าเร็วมาก ๆ แล้ว แต่บนรุ่น Xiaomi 13 Pro ได้มาเป็น 120W HyperCharge เลย Xiaomi เคลมว่าชาร์จเต็มในเวลาประมาณ 19 นาทีเท่านั้น จากที่เราทดสอบมาก็พบว่าใกล้เคียงกันจริง ๆ เรียกว่าชีวิตการชาร์จเปลี่ยนไปเลยจริง ๆ เพราะแค่ทิ้งไว้แป๊บเดียวก็มีพลังเหลือใช้ได้ตลอดทั้งวันแล้วครับ

โดยรวมในเรื่องประสิทธิภาพของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ก็ถือว่าทำได้น่าประทับใจมากทั้งในเรื่องความเร็วแรงของชิปเซ็ตใหม่ที่ทำงานรวมถึงใช้งานหนัก ๆ ได้อย่างลื่นไหล ใช้งานได้เป็นอย่างดีและระบบชาร์จไวสูงสุดระดับ 120W HyperCharge ที่เร็วมาก ๆ แต่ที่จะไม่ชมเลยไม่ได้ก็คงเป็นเรื่องการจัดการพลังงานและความร้อนที่ทำได้ดีขั้นสุด เพราะนอกจากจะไม่ร้อนมากแล้วยังให้แบตที่อึดทนกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย

ระบบปฏิบัติการ MIUI 14 บน Android 13

มาปิดท้ายเรื่องประสบการณ์การใช้งานกับซอฟต์แวร์กันครับ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 13 ที่ครอบทับด้วย MIUI 14 หรือว่าเวอร์ชั่นล่าสุดของ Xiaomi แล้วก็ว่าได้ครับ ความลื่นไหลต่าง ๆ ทำได้ดีมาก รวมถึงการปรับแต่งที่หลากหลายตามสไตล์ Xiaomi อีกด้วย

รู้สึกได้เลยว่าซอฟต์แวร์มีการปรับแต่งมาให้ลื่นไหลและมีลูกเล่นแฝงในทุกการใช้งาน เพราะไม่ว่าเราจะปลดล็อคหน้าจอ, กดล็อคหน้าจอ, กดเข้าหน้า Recent Apps, กดปุ่มย้อนกลับ, กดชัตเตอร์ถ่ายภาพ ก็จะมีการสั่นรับกับจังหวะเหล่านั้นทั้งหมด แถมตัวมอเตอร์สั่นก็มีความนุ่มนวลดีมาก ๆ มอบความรู้สึกพรีเมี่ยมให้อย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะครับ

ในเรื่องการปรับแต่งก็เป็นไปตามทางที่ Xiaomi ถนัดทั้ง Theme ที่มีให้ดาวน์โหลดเพิ่มเติมมากมาย, Wallpaper ระบบที่มีให้เลือกเยอะและเข้ากับสีเครื่องได้เป็นอย่างดี, Wallpaper Carousel ที่ปรับเปลี่ยนในหน้าจอล็อคได้หลากหลาย, มีหน้า Always On Display หลากหลายรูปแบบ, รูปแบบอนิเมชั่นต่าง ๆ และอีกเพียบ เรียกว่าสายปรับแต่งที่ชอบความเป็นตัวเองนี่ถูกใจแน่นอนครับ

ราคาและโปรโมชั่น Xiaomi 13 | Xiaomi 13 Pro

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็คือเรื่องราคาและโปรโมชั่นของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro กันเลยครับ รอบนี้ทั้งคู่จะมีให้เลือกรุ่นละความจุเลยคือ 12GB + 256GB และ 12GB + 512GB ตามลำดับ โดยมีราคาและโปรโมชั่นดังนี้เลยครับ

Xiaomi 13 ความจุ 12GB + 256GB ราคา 29,990 บาท

Xiaomi 13 Pro ความจุ 12GB + 512GB ราคา 39,990 บาท

โปรโมชั่นพิเศษ! สำหรับลูกค้า Xiaomi 13 Series ที่สั่งจองในระหว่างวันที่ 1-10 มีนาคม 2566 รับของสมนาคุณ เป็น Xiaomi Watch S1 Pro และ Xiaomi Leica Premium Set มูลค่ารวม 11,989 บาท ฟรี!

สรุปแล้ว “นี่คือสองเรือธงที่เกิดมาเพื่อเปลี่ยนมาตรฐานเรื่องการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนอย่างแท้จริง”

สรุปแล้วทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ก็ถือว่าเป็นสองเรือธงที่เกิดมาเพื่อเปลี่ยนมาตรฐานเรื่องการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนอย่างแท้จริงเลยล่ะครับ! เพราะด้วยการอัปเกรดฮาร์ดแวร์มาถึงจุดสูงสุดของวงการในตอนนี้ แถมยังได้พาร์ทเนอร์ชั้นนำอย่าง Leica มาร่วมกับยกระดับให้เป็นมือถือที่เก่งเรื่องกล้องแบบที่จริง ทั้งซอฟต์แวร์ที่จัดมาให้ครบกับฮาร์ดแวร์ที่คัดสรรมาอย่างดี อย่างที่บอกไปว่าใครชอบการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว ถ้าได้ลอง 2 รุ่นนี้จะยิ่งหลงรักขึ้นอีกเท่าตัวเลย! แต่เรื่องกล้องก็ไม่ใช่จุดเด่นเดียวของรุ่นนี้หรอกนะ เพราะเรื่องประสิทธิภาพที่อัปเกรดมาตั้งแต่ชิปใหม่ Snapdragon 8 Gen 2 หน่วยความจำใหม่ที่เร็วขึ้น แบตเตอรี่ใช้งานได้ดีขึ้น มีระบบชาร์จไวขั้นสุด และที่ขาดไม่ได้ดีไซน์ที่สวยลงตัวขึ้นทั้ง Xiaomi 13 ที่ใช้จอแบบ Flat พร้อมขนาดที่กะทัดรัด หรือ Xiaomi 13 Pro ที่มีหน้าจอโค้งพรีเมี่ยมชวนสัมผัส ทั้งหมดที่ว่ามานี้มอบประสบการณ์ให้เราประทับใจได้อย่างแท้จริง ใครที่กำลังมองหาเรือธงที่ครบเครื่องในทุกด้านและเด่นในเรื่องกล้องแบบชัดเจน เราว่า 2 รุ่นนี้คือตัวเลือกที่ควรมองมาเป็นอันดับต้น ๆ จริงจริงครับ!

Android News2 ชั่วโมง ago

Dave2D ทำการทดสอบ Snapdragon 8 Elite ได้การประหยัดพลังงานสูงขึ้นถึง 43%

นับว่าเป็นการอัปเกรด...

Android News3 ชั่วโมง ago

คาดหวัง ! Ice Universe เผย One UI 7.0 จะมีแอนิเมชันและการเปลี่ยนฉากต่างๆ ที่ยอดเยี่ยมมาก

หลังจากที่เคยมีรายงา...

Android News4 ชั่วโมง ago

Redmi Note 14 5G Series ยืนยันเปิดตัวในอินเดียวันที่ 9 ธ.ค. มาพร้อมสโลแกน “Super Camera, Super AI”

Xiaomi ได้ประกาศวันเ...

Apple News5 ชั่วโมง ago

ลือ ! Apple กำลังสร้าง ‘LLM Siri’ ในปี 2026 บน iOS 19

ตามรายงานของ Bloombe...

Android News20 ชั่วโมง ago

เช็คกัน !! OPPO เผยตารางอัปเดต ColorOS 15 บน Android 15 ทั่วโลก

ในวันนี้ OPPO ได้เปิ...

Apple News20 ชั่วโมง ago

อย่างสวย ! YouTuber โชว์ดีไซน์ iPhone 17 Air กล้องหลัง 1 เลนส์ พร้อมจอ Dynamic Island

เราได้ยินมาแค่ข่าวลื...

HUAWEI IdeaHub HUAWEI IdeaHub
IT News21 ชั่วโมง ago

หัวเว่ยเผยโฉม IdeaHub รุ่นเรือธงพร้อมอัดโปรเด็ดหนุนผู้นำจออัจฉริยะเพื่อออฟฟิศยุคใหม่

หัวเว่ยเปิดตัว IdeaH...

Smart Review23 ชั่วโมง ago

รีวิว ASUS Vivobook S 14 OLED (S5406) โน้ตบุ๊คดีไซน์มินิมอล l Intel Core Ultra 7 258V l ใช้นานสุด 27 ชม. และคีย์บอร์ดมีไฟ RGB !

รีวิว ASUS Vivobook ...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก