Connect with us

Featured

รีวิว Xiaomi 14T l 14T Pro สมาร์ทโฟน Master light, capture night กล้องตัวท็อปจาก Leica มี Advanced AI สเปคเรือธงทั้งหมด

Published

on

รีวิว Xiaomi 14T และ 14T Pro สมาร์ทโฟน “Master light, capture night” พลังกล้อง Leica Summilux ที่ถ่ายได้คมชัดสูง เซ็นเซอร์เรือธง พร้อมได้ประสิทธิภาพของ Advanced AI มีทั้ง Google Gemini, AI Image Edit และอื่นๆ อีกเพียบ รวมถึงสเปคระดับท็อปอย่างขุมพลัง MediaTek Dimensity 8000 และ 9000 Series และหน้าจอ 144Hz CrystalRes AI Display รุ่นใหม่

สรุปสเปค Xiaomi 14T

  • ขนาดตัวเครื่อง : 160.5 x 75.1 x 7.8 มม.
  • น้ำหนัก : 195 กรัม
  • หน้าจอแสดงผล CrystalRes AMOLED Display ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K+ (2712 × 1220 พิกเซล), 446PPI รองรับ AdaptiveSync Refresh Rate 144Hz, 480Hz Touch sampling rate, Dolby Vision, HDR10+ แสดงผลสี 6.8 หมื่นล้านสี, ความสว่างหน้าจอสูงสุด 4000 นิต และ 3840Hz PWM Dimming
  • หน่วยประมวลผล : MediaTek Dimensity 8300-Ultra Octa-core ความเร็วสูงสุด 3.35GHz
  • GPU : ARM Mali-G615
  • RAM : 12GB LPDDR5X
  • ROM : 256/512GB UFS 4.0
  • กล้องถ่ายรูปด้านหลัง LEICA VARIO-SUMMILUX 1:1.7-2.2/15-50 ASPH ทั้งหมด 3 เลนส์ ดังนี้
    • เลนส์หลักความละเอียด 50MP รูรับแสง f/1.7 เซ็นเซอร์ IMX906 ขนาด 1/1.56″ รองรับกันสั่น OIS
    • เลนส์ Telephoto ความละเอียด 50MP ระยะ 50mm รูรับแสง f/1.9
    • เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/2.2
  • กล้องหน้าความละเอียด 32MP
  • ระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย HyperOS
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.4, NFC, 5G และพอร์ต USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 67W HyperCharge

สรุปสเปค Xiaomi 14T Pro

  • ขนาดตัวเครื่อง : 160.4 x 75.1 x 8.39 มม.
  • น้ำหนัก : 209 กรัม
  • หน้าจอแสดงผล CrystalRes AMOLED Display ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K+ (2712 × 1220 พิกเซล), 446PPI รองรับ AdaptiveSync Refresh Rate 144Hz, 480Hz Touch sampling rate, Dolby Vision, HDR10+ แสดงผลสี 6.8 หมื่นล้านสี, ความสว่างหน้าจอสูงสุด 4000 นิต และ 3840Hz PWM Dimming
  • หน่วยประมวลผล : MediaTek Dimensity 9300+ Octa-core ความเร็วสูงสุด 3.4GHz
  • GPU : Immortalis-G720
  • RAM : 12GB LPDDR5X
  • ROM : 512GB/1TB UFS 4.0
  • กล้องถ่ายรูปด้านหลัง LEICA VARIO-SUMMILUX 1:1.6-2.2/15-60 ASPH ทั้งหมด 3 เลนส์ ดังนี้
    • เลนส์หลักความละเอียด 50MP รูรับแสง f/1.6 เซ็นเซอร์ Light Fusion 900 ขนาด 1/1.31” รองรับกันสั่น OIS
    • เลนส์ Telephoto ความละเอียด 50MP ระยะ 60mm รูรับแสง f/1.9
    • เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/2.2
  • กล้องหน้าความละเอียด 32MP รูรับแสง f/2.0
  • ระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย Xiaomi HyperOS
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4, NFC, 5G และพอร์ต USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 120W HyperCharge และ 50W Wireless HyperCharge

แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล

แกะกล่อง Xiaomi 14T Series

สำหรับ Xiaomi 14T Series มาในกล่องแบบสีขาวคลีนๆ พร้อมชื่อรุ่นสีเงิน และสัญลักษณ์ที่ร่วมพัฒนากับ Leica ทั้งนี้ต้องบอกก่อนว่าหัวชาร์จในรุ่นนี้ไม่ได้แถมมาให้ แต่อุปกรณ์เสริมอื่นๆ ก็ยังให้มาครบ ดังนี้

  • ตัวเครื่อง Xiaomi 14T หรือ Xiaomi 14T Pro พร้อมติดฟิล์มกันรอยมาให้
  • สาย USB Type-C to C
  • เคสสีดำ
  • เข็มเปิดถาดซิม
  • คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
Xiaomi 14T

Xiaomi 14T Pro

Xiaomi 14T Series กับ 2 ดีไซน์ที่คล้ายกันพร้อมสัมผัสแบบรุ่นเรือธง

ดีไซน์ของ Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro บอกเลยว่ามีความคล้ายกันในหลายจุด แต่ก็ยังคงมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนแบบหลักๆ อยู่บ้าง เดี๋ยวพามาดูกันทีละจุดในแต่ละรุ่นครับ

มาดูในรุ่น Xiaomi 14T กันก่อน ตัวเครื่องที่ได้มาจะเป็นสีดำ Titan Black มีผิวด้านสวยงาม มีกลิตเตอร์เล็กๆ คล้ายกับดวงดาวอยู่เต็มฝาหลังเลย รวมถึงฟีลลิ่งการสัมผัสนั้นดีมากๆ และไม่ติดรอยนิ้วมืออีกต่างหาก

ด้านหลังในรุ่นนี้จะเป็นผิวเรียบแบนไปทั่วฝาหลังครับ

มาต่อกันที่ Xiaomi 14T Pro ตัวเครื่องสีฟ้า Titan Blue ซึ่งสีจริงๆ ไม่ได้ออกสีฟ้าแบบชัดเจนขนาดนั้นครับ จะมองเป็นสีฟ้าที่ไล่ระดับสีเงินมากกว่า ทั้งยังได้ความรู้สึกที่ดูพรีเมียมจากฝาหลังที่เป็นวัสดุผิวมันเงาที่ตัดกับพื้นผิวของโมดูลกล้องหลังที่เป็นฐานผิวด้านครับ

ความแตกต่างจะอยู่ตรงนี้ครับ Xiaomi 14T Pro จะได้ขอบทั้ง 4 ด้านที่มีความโค้งอย่างเห็นได้ชัด ใครที่ใช้งานนานๆ จะได้ประโยชน์ในการจับถือที่ถนัดและสะดวกขึ้นมาอีกนิด

สำหรับโมดูลกล้องหลังก็แอบมีความต่างเล็กๆ อีกจุด คือ Xiaomi 14T Pro และมีความสูงของตัวเลนส์ที่มากกว่า Xiaomi 14T เล็กน้อยครับ

และตรงโมดูลกล้องนี่เองก็ทำให้ตัวเครื่องของ Xiaomi 14T นั้นมีความบางเพียง 7.8 มม. ขณะที่ Xiaomi 14T Pro จะบาง 8.39 มม. ซึ่งแม้ว่าตัวเลขจะดูห่างกัน แต่พอได้สัมผัสแล้วแทบไม่ได้รู้สึกถึงความหนาที่แตกต่างเลยครับ

ระบายความร้อนแบบ IceLoop ได้ดีเยี่ยมทั้ง 2 รุ่น

ภายในตัวเครื่องที่เห็นบางๆ อยู่นี้ก็มาพร้อมกับระบบระบายความร้อนที่ใส่มาด้วยกันทั้ง 2 รุ่นเลย โดยในตัวรุ่นพี่ Xiaomi 14T Pro จะเป็นเทคโนโลยี Xiaomi 3D IceLoop ที่เป็นระบบระบายความร้อนขั้นสูงที่ได้รับการอัปเกรดใหม่ จากเดิมที่ใช้เป็นเพียง Vapor Chamber (VC) โดยพื้นที่การระบายความร้อนใหญ่มากถึง 5,000 ตร.มม. ควบคู่กับโครงสร้างเว้า-นูนแบบ 3 มิติที่ออกแบบใหม่ ทำให้การระบายความร้อนกระจายทั่วตัวเครื่อง ไม่กระจุกอยู่แค่ที่บริเวณบอร์ดเท่านั้น

รุ่นน้อง Xiaomi 14T ก็จัดมาไม่แพ้กัน ซึ่งจะเป็น Xiaomi IceLoop ที่อาจจะไม่ได้เป็นแบบโค้งเว้า 3 มิติ แต่จะใช้เป็นท่อความร้อนแบบวงแหวนที่ประกอบด้วยเครื่องระเหย, คอนเดนเซอร์, ห้องเติมของเหลว, และท่อส่งก๊าซและของเหลว เมื่อความร้อนเริ่มเกิดขึ้น ความร้อนจะเปลี่ยนสารทำความเย็นเป็นก๊าซ จากนั้นก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็นของเหลวอีกรอบครับ โดยประสิทธิภาพดังกล่าวนั้นสูงกว่าไอน้ำทั่วไปถึง 2 เท่า

กันน้ำและฝุ่นระดับ IP68

Xiaomi 14T Series ทั้ง 2 รุ่นให้มาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP68 เหมือนกันเลย สามารถกันน้ำสะอาดได้ลึกสูงสุดถึง 2 เมตร เป็นเวลานานสุด 30 นาที เพิ่มจากมาตรฐานเดิมที่ลึกได้เพียง 1.5 เมตรเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แนะนำให้นำไปดำน้ำเล่น เพราะเป็นเพียงมาตรฐานที่เอาไว้ป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดฝันมากกว่า

หน้าจอตัวท็อป Next-gen 144Hz CrystalRes AI Display

ทั้ง Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro มาพร้อมหน้าจอแสดงผลรุ่นใหม่ที่จัดเต็มในระดับท็อปขั้นสูง แถมยังเสริมพลังด้วย AI ในฟังก์ชันการใช้งานด้วย โดยทั้งคู่ใช้หน้าจอแบนเรียบ CrystalRes AMOLED Display ขนาดเท่ากันที่ 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K+ (2712 × 1220 พิกเซล) 446PPI รองรับการใช้งานแบบไหลลื่นสูงสุด AdaptiveSync Refresh Rate 144Hz ซึ่งการรีเฟรชเราสามารถตั้งค่าคงที่ 144Hz หรือจะให้ระบบปรับเองอัตโนมัติก็ได้เช่นกันครับ ขณะที่ Touch Sampling Rate สูงสุดที่ 480Hz และสามารถแสดงผลแบบ Dolby Vision, HDR10+, แสดงผลสี 12-bit และความถี่สูงถึง 3840Hz PWM Dimming เพื่อการถนอมสายตาได้เป็นอย่างดี

หน้าจอรุ่นนี้มีโหมดแสงแดดที่จะเร่งความสว่างให้สูงที่สุดเมื่ออยู่ในที่กลางแจ้ง เราจะได้ความสว่างสูงสุดถึง 4000 นิต เรียกว่าใช้งานกลางแจ้งก็เห็นจอได้อย่างคมชัด

Xiaomi 14T Pro
Xiaomi 14T

ความพิเศษของหน้าจอยังไม่หมดเท่านี้ หากใครสังเกตดีๆ ทั้ง 2 รุ่นมีขอบหน้าจอที่บางเฉียบมากๆ เพราะเป็นการใช้เทคโนโลยี FIAA ขั้นสูงเข้าไว้ด้วยกัน ช่วยให้หน้าจอแคบเป็นพิเศษและสมมาตรฐานเท่ากันถึง 3 ด้าน คือ บางเพียง 1.7 มม. ที่ด้านบน ซ้าย และขวา ขณะที่ของด้านล่างอยู่ที่ 1.9 มม. เท่านั้น โดยการออกแบบนี้ทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องถึง 93.6% เรียกว่าการแสดงผลนั้นเต็มตามากๆ ในขนาดตัวเครื่องที่ไม่ได้ใหญ่ตาม

พาชมรอบเครื่อง

มาดูรอบๆ เครื่องกันครับว่ามีฟังก์ชันอะไรกันบ้าง โดยบริเวณส่วนบนหน้าจอได้กล้องหน้า Punch Hole ตรงกลาง พร้อมกับลำโพงสเตอริโอคู่

ด้านล่างตัวเครื่องจะมีช่องใส่ซิมการ์ด 2 ซิมแบบพลิกหน้า-หลัง ตามด้วยไมโครโฟนตัวที่ 1, พอร์ต USB Type-C และลำโพงสเตอริโออีกตัวหนึ่ง

ด้านบนจะได้เซ็นเซอร์อินฟราเรดเพื่อใช้ในการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และไมโครโฟนตัวที่ 2

ฝั่งขวาเครื่องจะได้ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power เป็นแถบลายเพื่อให้ผิวสัมผัสต่างจากปุ่มระดับเสียงครับ

และท้ายสุดที่ด้านหลังจะได้โมดูลกล้องหลังทรงสี่เหลี่ยม มีกล้องหลัง 3 เลนส์ พร้อมไฟแฟลช Dual LED มาให้ 2 ดวง และตรงกลางจะมีสัญลักษณ์ Leica VARIO-SUMMILUX 1:1.6-2.2/15-60 ASPH ในรุ่น Xiaomi 14T Pro และสัญลักษณ์ Leica VARIO-SUMMILUX 1:1.7-2.2/15-50 ASPH ในรุ่น Xiaomi 14T

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน

ระบบปฏิบัติการ HyperOS บน Android 14

Xiaomi 14T Series ทั้ง 2 รุ่นแกะกล่องออกมาเป็น Android 14 ครอบทับด้วย HyperOS ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์หลักๆ เพียบ โดยเฉพาะการใช้งาน Advanced AI ที่มี Gemini จาก Google เข้ามาร่วมด้วย ทั้งนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความไหลลื่นในการใช้งานที่ดีขึ้นว่าเวอร์ชันก่อนๆ

เข้าสู่ยุค Advanced AI จาก Google และ Microsoft Azure

Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro ทั้ง 2 รุ่นเป็นการเข้าสู่ยุค AI ในการใช้งานฟีเจอร์ Advanced AI ที่ได้ร่วมมือกับทั้ง Google และ Microsoft Azure เพื่อให้ใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างไหลลื่นและเสถียร โดยการใช้งานจะเป็นการเชื่อมต่อทั้ง Cloud และบนอุปกรณ์ที่ขึ้นอยู่กับแต่ละฟังก์ชัน ซึ่งหลักๆ จะมี Gemini Assistant และอื่นๆ มาให้ใช้กันเพียบ การใช้งานหลักๆ เป็นยังไง เรามาดูกันครับ

ผู้ช่วยใหม่ Gemini Assistant

Gemini Assistant ได้กลายเป็นผู้ช่วยแทนที่ Google Assistant แล้วครับ โดยจะมีความฉลาดมากขึ้น สามารถถามเพื่อได้รับคำตอบได้ดีมากขึ้น เป็นธรรมชาติกว่าเดิม มีการสรุปมาเป็นข้อๆ และที่ชอบเลยคือรองรับภาษาไทย และเราสามารถถามคำถามต่อเนื่องได้ด้วย เช่น เราถามว่า “Xiaomi 14T ดียังไง” จากนั้นคำถามที่ 2 ก็ถามต่อได้เลยว่า “แล้วรุ่น Pro เป็นยังไง” โดยไม่จำเป็นต้องพิมพ์ Xiaomi 14T Pro เต็มๆ เป็นต้น

ปรับแต่งภาพได้ฉลาดขึ้นด้วย AI Photo Edit

ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับการแก้ไขภาพด้วยฟีเจอร์ AI Image Edit ขั้นสูง โดยจะมีหลักๆ 2 แบบ ได้แก่ AI Image Expansion ที่ให้ขยายภาพพร้อมเติมภาพด้วย AI และ AI Magic Removal Pro ที่แบ่งย่อยไปอีก 3 แบบ คือ ลบวัตถุ ลบเส้น และลบผู้คน เดี๋ยวพามาดูกันไปทีละฟีเจอร์ครับ

  • AI Image Expansion : จะเป็นการขยายพื้นที่โดยรอบของภาพถ่ายต้นฉบับได้อย่างชาญฉลาด โดยเราสามารถเลือกขยายภาพได้ว่าจะให้กว้างหรือแคบแค่ไหนตามต้องการเลย ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยให้เราได้จัดเฟรมใหม่อย่างสร้างสรรค์แบบไม่ต้องใช้เลนส์มุมกว้างครับ

ภาพต้นฉบับ (ซ้าย) / ภาพหลังใช้ AI Image Expansion (ขวา)
  • AI Magic Removal Pro : อย่างที่บอกไปว่าฟีเจอร์นี้จะแบ่งการลบได้ 3 แบบ คือ ลบวัตถุ ลบเส้น และลบผู้คน ซึ่งแต่ละแบบก็จะถูกตรวจจับอัตโนมัติและถูกลบได้อย่างแม่นยำพร้อมแต่งเติมแก้ไขได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ภาพต้นฉบับ (ซ้าย) / ภาพหลังใช้ AI Magic Removal Pro (ขวา)

นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์อื่นอีกเพียบที่รออัปเดตให้ได้ใช้งานกันอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น Circle to Search วงหน้าจอเพื่อค้นหาทันที, AI Interpreter ที่เป็นการแปลภาษา โดยรองรับถึง 12 ภาษาในช่วงแรก ได้แก่ จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส อิตาลี เยอรมัน รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ฮินดี และอินโดนีเซีย โดยจะรองรับภาษาไทย มาเลย์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในการอัปเดต OTA ครั้งต่อไป รวมถึงยังมี AI Notes, AI Recorder, AI Subtitles, AI Film, AI Image Editing และ AI Portrait ที่จะถูกอัปเดตผ่าน OTA หลังจากการเปิดตัวครับ

ลำโพงสเตอริโอแบบจัดเต็ม

ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับลำโพงสเตอริโอคู่ เสียงยังกระหึ่ม มีมิติ ฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกมได้แบบจุใจมากๆ

รหัสความปลอดภัยก็ครบ

การใช้งานด้านความปลอดภัยก็ยังมีการใส่รหัสผ่านทั่วไป รวมถึงการสแกนลายนิ้วมือที่อยู่บนหน้าจอของทั้ง 2 รุ่น ทำงานได้รวดเร็ว ไม่มีหน่วง

ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่

ชิปเซ็ตเรือธง MediaTek Dimensity ตัวท็อป

Xiaomi 14T Series ทั้ง 2 รุ่นใช้หน่วยประมวลผลระดับท็อปจาก MediaTek Dimensity เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ตระกูลของชิปเท่านั้น ขอเริ่มด้วย Xiaomi 14T ที่ใช้ Dimensity 8300-Ultra ความเร็ว Clock สูงสุด 3.35GHz สถาปัตยกรรม Arm v9 ช่วยให้ประสิทธิภาพในการใช้งานด้าน CPU เร็วและแรงขึ้นจากเดิม โดยใช้การผลิตขนาดเล็กเพียง 4nm ประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่าเดิมด้วย และยังได้ชิป AI อย่าง MediaTek NPU 780 ในการใช้งานด้าน AI เป็นหลักด้วย

ในรุ่น Xiaomi 14T Pro จะขยับขึ้นมาใช้เป็น Dimensity 9300+ ความเร็ว Clock สูงสุด 3.4GHz มีขนาดเล็ก 4nm เท่ากัน โดยใช้เป็นแกนประมวลผลหลักคือ Cortex X4 และยังเป็นชิปเรือธงรุ่นแรกที่ใช้คอร์ใหญ่เหมือนกันทั้งหมด ดังนี้

  • 1 x Cortex-X4 สูงสุด 3.4GHz
  • 3 x Cortex-X4 สูงสุด 2.85GHz
  • 4 x Cortex-A720 สูงสุด 2.0GHz

ทั้งนี้ GPU บนชิป Dimensity 9300+ จะได้เป็น Immortalis-G720 MC12 แบบ 12 คอร์ รองรับเทคโนโลยี Ray Tracing รุ่นที่ 2 เพื่อใช้ในการเล่นเกมที่สมจริงทั้งแสงและเงา ขณะที่ชิป MediaTek NPU 790 ก็ใส่มาให้เหมือนกันครับ

ผลการทดสอบบน AnTuTu v10 และ Geekbench 6 ของ Xiaomi 14T

  • ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu 10.3.3 ได้มาที่ 1,340,596 คะแนน
  • ผลคะแนนด้าน CPU บน Geekbench 6 ทำ Single-Core ไปที่ 1,403 คะแนน และ Multi-Core ที่ 4,481 คะแนน

ผลการทดสอบบน AnTuTu v10 และ Geekbench 6 ของ Xiaomi 14T Pro

  • ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu 10.3.3 ได้มาที่ 1,978,160 คะแนน
  • ผลคะแนนด้าน CPU บน Geekbench 6 ทำ Single-Core ไปที่ 2,165 คะแนน และ Multi-Core ที่ 7,197 คะแนน

ทดสอบการเล่นเกม

เรามาทดสอบการเล่นเกมกันต่อครับ โดยเราได้ทดสอบแล้วทั้ง 2 รุ่น สามารถปรับแต่งกราฟิกในเกมที่เราทดสอบทั้ง 3 เกมเหมือนกัน ตั้งแต่ ROV ที่ปรับได้สูงสุดทั้งหมด รวมถึง Genshin Impact ที่ปรับเฟรมเรทได้สูงสุด 60FPS และ PUBG Mobile ที่สามารถตั้งค่าให้รันได้สูงสุด 120FPS

แบตเตอรี่จัดเต็ม 5000mAh พร้อมรองรับชาร์จเร็วระดับ HyperCharge

สำหรับ Xiaomi 14T Series ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 5000mAh เท่ากัน โดยสามารถใช้งานแบบทั่วไปได้เต็มวัน ทั้งยังใช้งานได้นานขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 14% และจะมีอายุการใช้แบตเตอรี่ได้นานขึ้นด้วย

สำหรับการชาร์จเร็วในรุ่น Xiaomi 14T Pro รองรับ 120W HyperCharge ผ่านสาย และไร้สายที่ 50W Wireless HyperCharge ซึ่งเป็นรุ่นแรกใน Xiaomi T Seris ที่รองรับชาร์จไร้สายด้วย โดยจะมีเทคโนโลยี Xiaomi Surge Battery Management และชิปชาร์จ Surge P2 คู่กับชิปจัดการแบตเตอรี่ Surge G1 เพื่อการจัดการด้านความปลอดภัยด้านแบตเตอรี่ระหว่างการชาร์จพร้อมช่วยให้รองรับการชาร์จได้มากถึง 1,600 รอบ และในการชาร์จ 120W HyperCharge ได้เต็ม 100% ในเวลาเพียง 18 นาที 35 วินาทีเท่านั้น ส่วน 50W Wireless HyperCharge ชาร์จได้ 50% ในเวลา 20 นาที

นอกจากนี้ ในฝั่งของ Xiaomi 14T รองรับ 67W HyperCharge โดยสามารถชาร์จเต็ม 100% ในเวลาประมาณ 44 นาที 21 วินาที ทั้งยังมีชิป Surge G1 เข้ามาด้วยเช่นกัน

กล้องหลังร่วมพัฒนากับ Leica พร้อมเซ็นเซอร์อันทรงพลัง

มาถึงเรื่องกล้องกันบ้างที่เป็นตัวชูโรงหลักๆ ใน Xiaomi 14T และ 14T Pro กันเลยครับ เป็นการร่วมพัฒนากับ Leica ที่ผสานกับเลนส์ Leica Summilux ควบคู่กับเซ็นเซอร์และระยะเลนส์ที่แตกต่างกัน แต่บอกเลยว่าทั้งคู่สามารถถ่ายออกมาให้เป็นเอกลักษณ์ของ Leica และถ่ายได้สนุกมากขึ้นจริงๆ โดยแต่ละรุ่นจะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันในจุดไหนบ้าง มาเจาะลึกกันไปทีละรุ่นครับ

Xiaomi 14T ใช้เซ็นเซอร์กล้องหลัง LEICA VARIO-SUMMILUX 1:1.7-2.2/15-50 ASPH ขอสรุปสเปคทั้ง 3 เลนส์ไว้ให้อีกรอบ ตามนี้เลย

  • เลนส์หลัก 50MP, f/1.7 เซ็นเซอร์ IMX906 ขนาด 1/1.56″ รองรับกันสั่น OIS
  • เลนส์ Telephoto 50MP ระยะ 50mm, f/1.9
  • เลนส์ Ultra-Wide Angle 12MP, f/2.2

เราจะเห็นว่ารอบนี้เลนส์หลักของ Xiaomi 14T ใช้รูรับแสงที่กว้างขึ้นที่ f/1.7 ช่วยให้รับแสงได้มากขึ้น ส่งผลให้ภาพมีมิติ ละลายหลังได้เนียนเป็นธรรมชาติกว่าเดิม รวมถึงการถ่ายภาพในที่แสงน้อยก็ยอดเยี่ยมมากขึ้นด้วยครับ

Xiaomi 14T Pro จะได้เลนส์ LEICA VARIO-SUMMILUX 1:1.6-2.2/15-60 ASPH โดยมีรูรับแสงที่กว้างขึ้น f/1.62 รับแสงได้มากกว่ารุ่นเดิมถึง 36% ทำให้คุณภาพของภาพในทุกสภาพแสงนั้นสุดยอดมากขึ้น โดยเฉพาะในที่แสงน้อยที่รับแสงได้มากขึ้น ภาพมีความสว่าง คมชัด และที่สำคัญคือ Noise ในภาพน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเลยด้วย รวมถึงการละลายฉากหลังก็เป็นธรรมชาติมากขึ้นโดยไม่ต้องผ่านซอฟต์แวร์

LEICA Imagery พร้อมใช้งานทั้ง 2 รุ่น

Xiaomi 14T Series ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับเลนส์ที่ร่วมพัฒนากับ Leica ทำให้มีสไตล์การถ่ายภาพที่เป็นเอกลักษณ์เข้ามาตามแบบฉบับของ Leica ถึง 2 แบบ ดังนี้

  • Leica Authentic Mode : โหมด Leica Authentic จะเป็นการรวมแก่นแท้ของสุนทรียภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของ Leica จะโดดเด่นไปที่ภาพที่มีคอนทราสต์สูง คมเข้ม ได้อุณหภูมิของภาพที่เย็น จะไม่ได้มีความสว่างของภาพที่มากเกินไป และจะเห็นขอบของแต่ละวัตถุได้ชัดเจนมาก เรียกง่ายๆ ว่าจะเป็นถ่ายที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถ่ายจากกล้องฟิล์มอยู่นั่นเอง
  • Leica Vibrant Mode: ในโหมดนี้ก็จะต่างกับโหมด Leica Authentic ที่จะเน้นเรื่องความสดใสและความสว่างของภาพ ความอิ่มสีของภาพจะสูงขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้ความรู้สึกที่เต็มอิ่มมากขึ้น และตรงขอบภาพก็ไม่ได้มีเฉดที่มืดลงด้วย

จะเห็นว่าทั้ง 2 แบบจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของโทนสีตามแบบฉบับเของ Leica อยู่ด้วย โดยในรีวิวนี้เราะจะเน้นถ่ายไปที่โหมด Leica Authentic ครับ

เทียบ Leica Vibrant (ซ้าย) / Leica Authentic (ขวา)

Xiaomi 14T กล้องหลังขั้นเทพด้วยเซ็นเซอร์ตัวท็อป IMX906

Xiaomi 14T ใช้เซ็นเซอร์ระดับท็อปจาก Sony อย่าง IMX906 มีขนาดที่ใหญ่ถึง 1/1.56” และซุปเปอร์พิกเซลขนาด 2.0μm ทำให้เราได้ภาพที่มีไดนามิคที่ยอดเยี่ยม เก็บแสงได้เยอะขึ้น และยิ่งได้รูรับแสงที่กว้าง f/1.7 ก็ยิ่งเป็นกล้องในสมาร์ทโฟนเบอร์ต้นๆ ไปแล้ว ที่สำคัญยังได้ระบบกันสั่นแบบ OIS ทำให้เราถ่ายภาพได้คมชัดขึ้นกว่าเดิมแม้มือจะสั่นก็ตาม ทั้งนี้ เรื่องของ HDR ก็เก็บได้ดีเลยครับ ปรับแสงทั้งฉากหน้าและฉากหลังได้อย่างสมดุลมากๆ

รวมถึงการถ่ายภาพ Master Portrait ก็ทำได้สวยงาม เซ็นเซอร์เก็บแสงได้เยอะ ใบหน้าสว่าง เก็บรายละเอียดได้คมชัดมากๆ ซึ่งจะเห็นได้ชัดมากบริเวณไรผมที่ปลิวที่ยังคงอยู่ครบถ้วน ไม่มีเบลอทิ้งไปเลยครับ

ที่เลนส์หลักของรุ่นนี้ไม่ได้ถ่ายภาพได้เพียงระยะเดียวเท่านั้น แต่ยังรองรับระยะโฟกัสหลายแบบเพื่อให้ได้ภาพหลายอารมณ์และหลายสถานการณ์ ตั้งแต่เลนส์ Ultra Wide ที่ 15mm (0.6x), 23mm (1x), 50mm (2x) และ 100mm (4x) ซึ่งแต่ละระยะก็ถ่ายได้คมชัดเพราะมีเทคโนโลยี In-Sensor-Zoom ผ่านเลนส์ Telephoto 50MP ที่ได้ภาพในระยะไกลแต่ยังคมชัดอยู่ ซึ่งแนะนำให้ไม่เกินที่ระยะ 100mm ครับ เพราะไม่อย่างนั้นจะเริ่มเป็นการใช้ดิจิทัลซูมแล้ว

Xiaomi 14T Pro ทรงพลังด้วยเซ็นเซอร์ Light Fusion 900 

มาต่อกันด้วย Xiaomi 14T Pro ที่รอบนี้ใช้เซ็นเซอร์ Light Fusion 900 ที่เป็นการออกแบบมาเฉพาะ ทำให้มีขนาดที่ใหญ่ถึง 1/1.31” ทั้งยังได้เทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่อย่าง Dual ISO Fusion Max ช่วยให้มีความไวต่อแสงมากขึ้น รับแสงได้ไว และที่สังเกตได้เลยคือการประมวผลของภาพที่รวดเร็วและสามารถถ่ายภาพได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ที่สังเกตได้อีกอย่างเลยคือประสิทธิภาพของ HDR ที่ทำได้ดีมาก ปรับแสงทั้งภาพให้สมดุลและเป็นธรรมชาติ เห็นรายละเอียดทั้งวัตถุ แสงและเงาได้ครบถ้วน แถมลดการเกิดภาพซ้อนเมื่อวัตถุเกิดการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว

สำหรับ Xiaomi 14T Pro สามารถทำระยะโฟกัสได้เก่งขึ้นมาอีกระดับนอกเหนือจาก 23mm (1x) มีตั้งแต่ระยะ Ultra Wide ที่ 15mm (0.6x), 46mm (2x), 60mm (2.6x) และ 120mm (5x) ซึ่งแต่ระยะสามารถถ่ายภาพได้คมชัดแบบออปคิคอล ไม่เสียรายละเอียด และบอกเลยว่ายิ่งระยะไกลก็ต้องยกความดีให้กับระบบกันสั่น OIS ที่เข้ามาช่วยในเรื่องการถ่ายได้ดีมากๆ ทั้งนี้ แต่ละระยะก็เหมาะกับการถ่ายภาพในรูปแบบที่ต่างกัน เช่น 15mm จะเน้นเรื่องการเก็บองค์ประกอบภาพได้ครบเพราะได้มุมกว้าง, 46mm หรือ 60mm จะเน้นการถ่ายภาพบุคคลหรือเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในระยะใกล้ สื่ออารมณ์ได้ดีกว่าเดิม และ 120mm จะช่วยให้เราเจาะรายละเอียดของวัตถุต่างๆ ได้ชัดยิ่งกว่าตาเห็น

Leica Filters ทั้ง 6 แบบ สร้างสรรค์ผลงานได้ตามต้องการ

Xiaomi 14T Series เพิ่มความพิเศษด้วยฟิลเตอร์ 6 แบบ 6 สไตล์ ทำให้เราสร้างสรรค์ภาพถ่ายได้ตามต้องการ หรือจะสื่ออารมณ์ของภาพก็ทำได้เต็มที่ผ่านฟิลเตอร์ของ Leica ที่ให้มา ดังนี้

  • Leica Vivid: เพิ่มสีสันให้กับภาพถ่ายให้มีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทิวทัศน์ต่างๆ
  • Leica Natural: เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลให้ดูเป็นธรรมชาติ โดยโทนสีผิวจะมีความละเอียดอ่อนมาก
  • Leica Black & White Natural: ง่ายๆ เลยคือจะเป็นภาพขาวดำที่เป็นธรรมชาติและดูมีมิติด้วย
  • Leica Black & White High Contrast: เหมาะการถ่ายภาพแนวสตรีท ซึ่งจะเน้นองค์ประกอบภาพที่ชัดเจนมากขึ้นเพราะมีการปรับคอนทราสต์ให้สูงกว่าปกติ
  • Leica Sepia: เป็นภาพถ่ายสไตล์วินเทจคลาสสิก เสมือนเอาตัวเองกลับไปในอดีต
  • Leica Blue: สร้างบรรยากาศแนวโทนเย็นๆ ให้ความรู้สึกถึงความทรงจำ ทำให้สามารถสื่ออารมณ์ได้มากขึ้นด้วยฟิลเตอร์นี้

Master Portrait ถ่ายภาพบุคคลได้ยอดเยี่ยม

Xiaomi 14T Series มีให้เราได้เลือกถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้ 2 แบบ คือ Master Portrait ที่ใช้ประสิทธิภาพของเลนส์กล้องพร้อมอัลกอริธึมจาก Xiaomi แบบเต็มๆ และ Leica Portrait ที่เน้นความเป็นธรรมาชาติและสมจริง ใครจะเลือกใช้งานแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบเลยครับ โดยเราจะเลือกเป็นแบบ Master Portrait ที่เป็นการใช้พลังการคำนวณของ PortraitLM ซึ่งจะได้โทนสีสวยงามขึ้นและมีมิติมากขึ้นทั้งนี้ การถ่ายในโหมด Portrait จะมีระยะเลนส์ให้เราเลือกอยู่ 2 แบบ แบบละ 4 ระยะ ได้แก่ 23mm, 35mm, 60mm และ 75mm

นอกจากนี้ ก็ยังมีอีก 4 ระยะที่เป็นเสมือน 4 เลนส์เสริมของ Leica ได้แก่ สารคดี (35mm), โบเก้หมุนวน (50mm), พอร์ตเทรต (75mm) และซอฟต์โฟกัส (90mm) ซึ่งแต่ละแบบก็จะได้ภาพละลายหลังที่แตกต่างกันไป และให้ความรู้สึกของภาพที่เป็นเอกลักษณ์ตามแต่ละแบบด้วยครับ

เซลฟี่สวยคมชัดแม้ย้อนแสง

กล้องหน้าของ Xiaomi 14T Series มาพร้อมความคมชัดสูง 32MP ถ่ายได้คมชัด ละลายหลังได้เก่งเหมือนกล้องหลังเลย รองรับการถ่ายแบบ HDR ถ่ายย้อนแสงได้สบายๆ โดยที่ใบหน้าสว่างคมชัด ปรับบิวตี้ได้แบบเนียนเป็นธรรมชาติ และเก็บสกินโทนได้ดีเลยทีเดียว

วิดีโอคมชัดสูง 4K @30FPS
สำหรับวิดีโอใน Xiaomi 14T Series ก็ทำได้ดีขึ้นด้วยการรองรับการถ่ายความคมชัดสูงสุด 4K ที่ 30FPS แล้วด้วย ทั้งยังรองรับการถ่ายแบบ HDR ควบคู่กับความลึกสีแบบ 10-bit และสามารถจับภาพช่วงไดนามิก 13.5 EV ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในความเก่งของเซ็นเซอร์รุ่นใหม่อย่าง Light Fusion 900 ด้วยครับ

สรุปการใช้งาน Xiaomi 14T Series

Xiaomi 14T และ Xiaomi 14T Pro เป็นสมาร์ทโฟนกล้อง Leica ที่ทำถึงมาก ทั้งคู่ได้สเปคที่อัปเกรดขึ้นมาจากเดิม เซ็นเซอร์ตัวใหม่ ถ่ายได้คมชัดในหลายระยะมากขึ้นกว่าเดิม เรื่องการถ่ายภาพก็ทำได้สนุกมากขึ้น แถมการประมวลผลการถ่ายภาพก็ทำได้รวดเร็ว กดชัตเตอร์ได้รัวๆ ไม่ต้องรอดีเลย์ ทำให้การถ่ายภาพไม่พลาดทุกช็อต ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงสเปคภายใน ตั้งแต่เรื่องของหน้าจอแสดงผลที่ทำได้ยอดเยี่ยม ไหลลื่น 144Hz ชิปเรือธงจาก MediaTek และแบตเตอรี่ที่อึดมากขึ้น รวมถึงความร้อนของตัวเครื่องก็จัดการได้ดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดเลยทีเดียว โดยเฉพาะการถ่ายภาพนานๆ ที่มักจะเกิดความร้อนก็ไม่ได้ทำให้หน้าจอหรี่แสงลงเลยครับ

ราคาและวันวางจำหน่าย Xiaomi 14T Series

Xiaomi 14T จะมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Titan Black, Titan Blue, Titan Gray และ Lemon Green โดยมี 2 ราคา ใน 2 ความจุ ดังนี้

  • 12GB+256GB : 15,990 บาท
  • 12GB+512GB : 17,990 บาท

Xiaomi 14T Pro มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Titan Black, Titan Blue และ Titan Gray โดยมี 2 ความจุเช่นกัน ดังนี้

  • 12GB + 512GB : 21,990 บาท
  • 12GB + 1TB : 24,990 บาท

Xiaomi 14T Series พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้วตั้งแต่วันนี้ ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ โดยมีของสมนาคุณพิเศษสำหรับผู้ที่สั่งซื้อล่วงหน้าในระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 11 ตุลาคม 2567

Best Smartphone 12000 for 2025 Best Smartphone 12000 for 2025
Buying Guides4 ชั่วโมง ago

10 มือถือราคาไม่เกิน 12,000 บาท ตัวจบ ครบทุกฟีเจอร์ ใช้ยาว ปี 2025

กำลังมองหามือถือใหม่...

Android News1 วัน ago

OPPO จับมือ Maison Kitsuné สร้างสรรค์ประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับ OPPO Find X8 Series

OPPO แบรนด์สมาร์ตโฟน...

IT News1 วัน ago

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ระหว่างวันที่ 14 – 20 ธ.ค. 67

ข่าวเด่นช่วงระหว่างว...

IT News1 วัน ago

สรุป 6 จุดเด่นที่ทำให้คุณต้องเลือก HUAWEI MatePad 12 X นวัตกรรมแท็บเล็ตใช้งานได้ดั่งกับพีซี ที่มาพร้อมโปรเด็ดลดสูงสุดถึง 2,000 บาท กับ Shopee

HUAWEI MatePad 12 X ...

ข่าวประชาสัมพันธ์1 วัน ago

กรี๊ดสนั่น! ทรู เสิร์ฟความฟินขั้นสุดส่งท้ายปี ดึง “โฟร์ท ณัฐวรรธน์” สาดรอยยิ้ม และความสุขมาแจกแบบจัดเต็ม ในงาน “Truedtac5G ยิ้มทั่วไทย ยิ้มทั่วโซเชียล กับโฟ้ดๆ”

ทรู ขอส่งต่อพลังบวกแ...

IT News1 วัน ago

AIS ยึดหัวหาดทะเลอ่าวไทยครอบคลุม ลึก สูง กว้าง ไกล ยืนหนึ่งตัวจริงภาตตะวันออก

AIS ปักหมุดผู้น...

Android News1 วัน ago

ไม่ลือแล้ว ! OnePlus 13R ปรากฏบน Amazon ยืนยันใช้ขุมพลัง Snapdragon 8 Gen 3

แม้ว่าก่อนหน้านี้ On...

IT News1 วัน ago

อินฟินิกซ์จัดกิจกรรม PUBG MOBILE WATCH PARTY สุดมันส์ พร้อมให้เหล่าเกมเมอร์ได้สัมผัสกับ GT20 PRO 5G สมาร์ทโฟนเกมมิ่งระดับมืออาชีพ

อินฟินิกซ์ (Infinix)...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก