Connect with us

Smart Review

รีวิว Samsung Galaxy S25 Ultra เรือธงแห่งยุค AI อย่างแท้จริง!?

Published

on

รีวิว Galaxy S25 Ultra เรือธงรุ่นล่าสุดของ Samsung ที่ปีนี้เน้นหนักไปที่ซอฟต์แวร์และความฉลาดของ Galaxy AI เป็นหลัก! ส่วนด้านอื่น ๆ ทั้งดีไซน์หรือฮาร์ดแวร์โดยรวมนั้นยังไม่ได้ยกระดับมากนัก แต่หลังจากที่เราใช้งานจริงมากว่าสัปดาห์ก็พบว่าประสบการณ์การใช้งานนั้นน่าสนใจทีเดียว

ใครที่กำลังลังเลว่ารุ่นนี้ควรค่าแก่การอัปเกรดใหม่ ใช้รุ่นก่อนอยู่ควรเขยิบมาเป็นรุ่นนี้รึเปล่า วันนี้เรา รีวิว Galaxy S25 Ultra ให้ชมแบบครบถ้วน พร้อมแล้วก็…เริ่มเลย!

สรุปสเปค Galaxy S25 Ultra

  • หน้าจอ : Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9″
  • ความละเอียดหน้าจอ : WQHD+ (3120 x 1440 พิกเซล) รองรับ HDR10+, ความสว่างสูงสุด 2600nits
  • Refresh rate : 1Hz – 120Hz (LTPO)
  • ชิปเซ็ต : Snapdragon 8 Elite For Galaxy (4nm)
  • RAM : 12GB
  • ความจุ : 256GB/512GB/1TB
  • แบตเตอรี่ : 5000mAh
  • ระบบชาร์จไว : 45W
  • กล้องหน้า : 12MP f/2.2
  • กล้องหลัง : 4 ตัว
  • 200MP กล้องหลัก f/1.7 พร้อม OIS และ Dual Pixel
  • 50MP กล้อง Ultra Wide มุมกว้าง 120º f/1.9
  • 10MP กล้อง Tele f/2.4, Optical Zoom 3x, OIS
  • 50MP กล้อง Periscope f/3.4, Optical Zoom 10x, OIS
  • กันน้ำ-กันฝุ่นมาตรฐาน : IP68
  • ระบบปฏิบัติการ : Android 15 (One UI 7)

ดีไซน์โฉมใหม่ที่สวย และน่าสัมผัสยิ่งขึ้น!

เริ่มกันที่ดีไซน์เหมือนทุกทีเนอะ Galaxy S25 Ultra ปีนี้ปรับโฉมใหม่อีกครั้ง แม้ภายนอกถ้าดูก็คิดว่าเหมือนเดิมนี่นา แต่เมื่อลองสัมผัส จะรู้สึกว่าการจับถือที่ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนชัดเจน ทุกอย่างดูเรียบขึ้น ตัดเหลี่ยมมากกว่าเดิม มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุกรุ่นของ Galaxy S แล้วล่ะ

กรอบเครื่องที่เคยโค้ง ๆ กันมาหลายรุ่นก็ปรับมาเป็นแบบแบนราบไปเลย ทำให้มีพื้นที่ในการวางนิ้วเต็ม ๆ และจับได้แน่นหนาดี แม้จะรู้สึกว่ากรอบเครื่องแบบนี้จะไม่หรูหราเท่าเดิม แต่วัสดุก็ยังเป็นไทเทเนียมเหมือนเดิมเราว่าพอปรับให้เรียบแบบนี้การสัมผัสดีขึ้น รวมถึงการดูแลรักษาก็เช่นกันครับ

แต่จุดที่จากเหลี่ยมกลับไปเป็นโค้งก็มีนะ คือมุมเครื่องที่กลับมาใช้แบบโค้งตามฉบับดั้งเดิมของ Galaxy S จริงแล้ว ลดความเหลี่ยมตัดที่ใช้มาตั้งแต่ S22 Ultra ออกไปอย่างหมดสิ้น ทำให้เวลาเราถือใช้งานรับกับรูปมือมากขึ้นจริง ๆ ครับ

แต่ไม่ใช่แค่ตัวเครื่องจะเข้ามือกว่าเดิมอย่างเดียว เพราะน้ำหนักรอบนี้ก็ลดลงด้วย เหลือเพียง 218 กรัม หรือลดลงราว 14 กรัมเลยนะ ทำให้เราถือใช้งานได้สบายมือมากขึ้นจริง ๆ ถ้าใครถือ S24 Ultra จนชิน มาถือ S25 Ultra จะรู้สึกได้เลยว่าเบาลงชัดเจน

โมดูลกล้องใหม่ที่ดูทรงพลังขึ้น

ตัวกล้องหลังก็ยังวางตำแหน่งไว้เหมือนกับรุ่นก่อนเนาะ มองแว้บ ๆ ก็คงไม่ได้สังเกตเห็นถึงความใหม่เท่าไหร่ แต่ถ้าดูดี ๆ จะเห็นว่ากรอบเลนส์มีการเพิ่มวงแหวนที่กรอบเลนส์เพิ่มเข้าไปอีก แบบเดียวกับตอน Z Fold6 ซึ่งช่วยให้ดูทรงพลังขึ้น กันรอยขีดข่วนรอบ ๆ เลนส์ได้ดีกว่าเดิม และที่สำคัญช่วยลดฝุ่นที่มักไปเกาะตามกรอบเลนส์ได้อีกต่างหาก อันนี้เราว่าดีเลยแหละ

หน้าจอที่แบนราบและเต็มตากว่าที่เคย

พลิกกลับมาดูที่หน้าจอกันบ้าง Galaxy S25 Ultra ปรับมาใช้หน้าแบน แบบแบนจริง ๆ แล้วในรุ่นนี้ครับ หลังจากที่ค่อย ๆ ปรับลดความโค้งลงในหลาย ๆ รุ่น ซึ่งน่าจะถูกใจคนที่บ่นว่าไม่ชอบจอโค้ง ๆ แล้วนะ แถมรอบนี้ยังเพิ่มขนาดจอขึ้นเป็น 6.9″ ด้วย เต็มตากว่าเดิม ในขณะที่ตัวเครื่องไม่ได้ใหญ่ตาม (เล็กลงด้วยซ้ำ) เพราะลดขอบจอ (ส่วนสีดำ) ลงอีกถึง 15% เลย

ในด้านการแสดงผล Galaxy S25 Ultra ยังคงใช้ชนิดจอแบบเดิมคือ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียดสูงสุด QHD+, Refresh rate แบบปรับได้ 1 – 120Hz , ความสว่างสูงสุด 2600nits เท่าเดิมทั้งหมด แต่…รอบนี้ Samsung ใส่ฟีเจอร์ ProScaler เข้ามาใหม่ ช่วยเพิ่มความคมชัดของหน้าจอขึ้นอีกขั้น อารมณ์คล้ายกับทีวีที่มี AI คอยปรับภาพนั่นแหละครับ

ซึ่งเท่าที่ลองใช้ก็คือรู้สึกได้อยู่นะ เพราะปกติเรามักจะเลือกเปิดความละเอียดไว้สูงสุดตลอด แต่แน่นอนว่าถ้าเปิดสุดก็ใช้พลังงานมากกว่า รอบนี้ได้ Proscaler ช่วยทำให้เปิดแค่ FHD ก็ได้ความคมชัดระดับ 1.5K ได้เลย เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปแล้ว แถมช่วยประหยัดได้อีกแหนะ

แต่เหนือสิ่งอื่นใดความดีงานของจอ Galaxy S25 Ultra ก็ยังมีเรื่องการกันแสงสะท้อน ที่ทำได้ดีมาก ๆ ตอน S24 Ultra มารอบนี้ยังคงให้มาครบถ้วน ช่วยให้เราใช้งานกลางแจ้ง หรือที่ที่มีแสงสะท้อนเยอะ ๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งตัวกระจกยังอัปเกรดเป็น Gorilla Glass Armor 2 ด้วยนะ ทนทานต่อรอยขีดข่วน รวมถึงตกแตกได้ดีขึ้นอีก

ตำแหน่งต่าง ๆ ก็เหมือนเดิมนะ

วนกลับมาดูรอบ ๆ ตัวเครื่องอีกที Galaxy S25 Ultra ยังคงวางตำแหน่งต่าง ๆ ไว้เหมือนเดิม ทั้งปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power ที่ฝั่งขวามือที่พอดิบพอดี กดได้ง่าย ไม่ต้องปรับตัวใหม่

ด้านบนมีพวกไมโครโฟนเสริมสำหรับตัดเสียงและเก็บเสียงอื่น ๆ ในตอนบันทึกวิดีโอ

ส่วนด้านล่างเรียงจากซ้ายไปขวา ก็มีตำแหน่ง S Pen, ลำโพงหลักตัวเครื่อง, พอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C, ไมโครโฟนที่รอบนี้แยกให้ห่างจากรูเข็มจิ้มซิมแล้วด้วยครับ

ลำโพงของ Galaxy S25 Ultra ก็ยังเป็นลำโพงคู่เหมือนเดิม ตำแหน่งก็ยังถูกมือบังได้ง่ายเวลาถือใช้งานแนวนอนแหละ (ก็วางตำแหน่งเดิมนี่นา) แต่เรื่องเสียงที่ขับออกมา เราว่ามีมิติขึ้นอีกหน่อย ทั้งความดังหรือความแน่นของเบสครับ เยี่ยมเลย!

S Pen ทรงเดิม แต่…ไม่มีรองรับ Bluetooth แล้ว

S Pen ของ Galaxy S25 Ultra ก็ยังมาในทรงเดิมกับปีที่แล้ว หัวแหลมมีปุ่มกด 1 ปุ่มไว้เรียกคำสั่งลัด แต่…จุดที่เปลี่ยนไป (เรียกว่า Downgrade ก็คงได้) คือตัวปากกาจะไม่รองรับ Bluetooth แล้วนะ คือเราจะไม่สามารถสั่งงาน Air Action แบบทางไกลได้แบบเดิมแล้ว จะใช้ S Pen กดเพื่อถ่ายรูป หรือเลื่อนซูมตอนเปิดกล้องก็หมดสิทธิ์เลย อันนี้ Samsung บอกว่าผลสำรวจมีคนใช้งานน้อยมาก (ไม่ถึง 1%) จึงตัดสินใจเอาออกไปครับ

ถ้าตัดเรื่องที่ไม่มี Bluetooth ออกไป ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า S Pen ก็ยังคงเป็นปากกา Stylus ที่ยอดเยี่ยมไม่เปลี่ยน ทั้งการรองรับแรงกดถึง 4096 ระดับ หัวแหลมที่เขียนได้สนุก วาดก็สบาย ความสะดวกในการดึงออกมาใช้ได้ทุกเมื่อน่ะนะ แต่ที่น่าเสียดายก็คือลูกเล่นใหม่ ๆ ไม่มีเพิ่มเข้ามา แล้วดันเอา Bluetooth ออกไปนี่สิ เสียดาย…

สีไฮไลท์ใหม่ Titanium Silverblue

ส่วนสีสัน Galaxy S25 Ultra เลือกใช้สีไฮไลท์เป็นสีฟ้าใหม่หรือชื่อทางการว่า Titanium Silverblue เป็นการผสมผสานของสีเงินกับสีฟ้าตามชื่อ เพราะฝาหลังจะไม่ได้ออกฟ้าตลอด ถ้ากระทบกับแสงตรง ๆ ก็เป็นสีเงิน ๆ ได้ หรือบิดให้ไม่โดนแสงเลยก็จะออกน้ำเงินได้เช่นกัน เป็นสีที่เราว่าหลากหลายและตรงกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ Samsung จริง ๆ นะปีนี้!

แต่ถ้าชอบความเรียบง่ายไปเลย S25 Ultra ก็ยังมีอีก 3 สีหลักเป็นสีขาว Titanium Whitesilver, สีดำ Titanium Black และสีเทา Titanium Gray ให้เลือกอีกด้วยนะ เอาจริง ๆ ก็สวยหรูทุกสีเลยล่ะครับ

โดยรวมดีไซน์ของ Galaxy S25 Ultra ก็ถือว่ามีการปรับเปลี่ยนให้ลงตัวขึ้นอีกปี และเหมือนทุก ๆ ปีที่เรามักบอก แม้ภายนอกจะคล้ายเดิม แต่ถ้าลองจับจริงจะรู้สึกว่าแตกต่าง แถมปีนี้มุมเครื่องโค้งขึ้น จอกับกรอบเครื่องแบนลงอีก ก็ยิ่งทำให้จับถือเปลี่ยนไปชัดเจน ใครที่คิดว่าดีไซน์แบบนี่ดูไม่สวย แนะนำให้ลองไปจับเครื่องจริงดูสักครั้ง เชื่อว่าจะเปลี่ยนความคิดแน่ เพราะของจริงสวยและดูดีมาก!

ซอฟต์แวร์ใหม่หมดจด One UI 7

มาต่อในเรื่องซอฟต์แวร์ อย่างที่บอกว่าปีนี้ Galaxy S25 Series นั้นเน้นหนักไปที่เรื่องความสามารถของซอฟต์แวร์เยอะกว่าฮาร์ดแวร์อัปเกรดชัดเจน เริ่มด้วย One UI 7 ก่อนเลย เพราะนี่ถือเป็นการปรับปรุงซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ที่สุดของ Samsung เลยก็ว่าได้ เพราะปรับปรุงทั้งภาพลักษณ์ ความลื่นไหลแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนจริง ๆ

โดย One UI 7 นั้นอยู่บนพื้นฐาน Android 15 ซึ่งถือเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ณ ตอนนี้นั่นแหละครับ มีการออกแบบไอคอนใหม่ให้สีสันสวยสดมากขึ้น แฟนซีกว่าทุก ๆ ที ปรับรูปแบบ UI ให้โค้งมนกว่าเดิม ความลื่นไหลก็ทำได้ยอดเยี่ยมขั้นสุด เท่าที่เราลองใช้งานจริง ๆ ต้องบอกเลยว่านี่คือหนึ่งใน UI ของ Android ที่ลื่นที่สุดในตอนนี้ ทั้งอนิเมชั่นที่สมูทกว่าที่เคย กาาตอบสนองที่ทำได้ทันทีทันใด ลบภาพ One UI เดิม ๆ ที่เราอาจจะเจอการกระตุกหรืออนิเมชั่นติดขัดไปได้เลย นี่คือของใหม่แบบจริง ๆ

ด้านการปรับแต่งก็ทำได้หลากหลายขึ้น ทั้งรูปแบบนาฬิกาและการปรับแต่งใหม่ในหน้าจอล็อก, Widget ที่เราสามารถเลือกปรับขนาดได้ง่าย ๆ จากหน้าจอหลักเพียงแค่แตะค้างแล้วเลื่อนปรับขนาด, โฟลเดอร์ที่สามารถขยายใหญ่ได้, ไอคอนที่ปรับเลือกขนาดให้ใหญ่หรือเล็กลงได้ ปิดการแสดงผลชื่อแอปให้หน้าจอ minimal ลง, รวมถึงแถบการแจ้งเตือนด้านบนที่แบ่งแยกส่วนของการแจ้งเตือนและ Toggle Switch ออกจากกันแล้วด้วยครับ

Now Bar ไฮไลท์กิจกรรมใหม่

และนอกจากการปรับปรุงของเดิมให้ดีขึ้นแล้ว One UI 7 ก็ยังมีลูกเล่นใหม่ที่เรียกว่า Now Bar เป็นแถบการแจ้งเตือนแบบใหม่ที่จะแสดงอยู่ส่วนล่างของหน้าจอล็อก เพื่อแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ไว้ อย่างถ้าเรากดจับเวลาหรือบันทึกตัวเลขก็จะวิ่งให้เห็นตรงนี้เลย ฟังเพลงก็สามารถใช้ทางลัดเลื่อนเพลงได้จากตรงนี้ นำทางก็จะแสดงผลแบบเรียลไทม์ว่าระยะทางใกล้ถึงแค่ไหนแล้ว ซึ่งถ้าเราทำงานพร้อม ๆ กันตัว Now Bar ก็จะแสดงซ้อนกันได้ด้วยนะ แถมอนิเมชั่นก็คือลื่นไหลมาก เวลาเราสลับไป-มาเนาะ

Now Brief สรุปสิ่งที่ควรทำในแต่ละช่วงเวลา

นอกจาก Now Bar แล้ว Samsung ก็ยังมี Now Brief แอปที่ใช้สรุปสิ่งที่เราควรทำในแต่ละวันให้ด้วย ซึ่งในนี้จะรวมเอาข้อมูลจากในเครื่องมาแจ้งไว้ในที่เดียว อาทิ ตอนเช้ากดเข้าไปจะเป็น Morning Brief แจ้งเตือนเรื่องสภาพอากาศของวันนั้น เพือเตรียมตัวเครื่องแต่งกายหรือต้องพกร่มเผื่อฝนตก, สรุปตารางงานจากปฏิทินว่าวันนี้มีนัดหมายอะไรบ้าง หรือถ้าเป็นช่วงกลางก็จะมีสรุปสภาพอากาศในช่วงนั้น ๆ ให้ ช่วยสรุปการออกกำลังกายในวันนั้น เป็นต้น ซึ่ง Now Brief นี้เท่าที่เราลองใช้ก็ถือว่าสะดวกดีมากครับ ช่วยให้เราวางแผนอะไรได้ง่ายขึ้นเพียงแค่กดเข้ามาในที่เดียว

Galaxy AI ยังอยู่ครบ ฉลาดขึ้นด้วย

ส่วนเรื่อง AI ก็ไม่ต้องห่วงครับ Galaxy S25 Ultra ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Galaxy AI ครบจากรุ่นก่อน แถมเพิ่มความฉลาดและความสะดวกในการใช้งานขึ้นอีกด้วยนะ เรียกว่าเรื่องนี้ Samsung เน้นหนักเลยล่ะครับ!

ผู้ช่วย Galaxy AI ความสามารถใหม่ร่วมกับ Gemini

ของใหม่ที่ Samsung ชูเป็นพิเศษเลยก็คือ ผู้ช่วย Galaxy AI ที่พัฒนาร่วมกับ Gemini ของ Google นี่แหละครับ เข้าถึงได้ง่ายและใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมาก เพียงแค่กดปุ่ม Power ค้างไว้ จะสั่งงานด้วยเสียงหรือจะพิมพ์ลงไปเลยก็ได้ ซึ่งข้อดีก็คือเราสามารถสั่งได้แบบภาษาไทยเต็มรูปแบบ พูดแบบภาษาธรรมชาติได้เลย

ยกตัวอย่างเช่น เราอยากรู้ว่าใกล้ ๆ นี้มีร้านกาแฟน่าสนใจไหม ก็เพียงถาม Gemini หรือถ้าอยากลงลึกไปอีกอยากรู้ร้านกาแฟที่มีสไตล์ไหน ร้านคุมโทนสีอะไร ก็ถามได้หมด หรืออยากให้ค้นหาแล้วนำทางไปต่อเลยก็ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำได้ในคำสั่งเดียว เราไม่จำเป็นต้องกดออกจากหน้าแอปไปเลือกอะไรต่อเลยด้วยนะ

หรืออยากหาเพื่อนคุย ค้นหาอะไรที่ต่อเนื่องกว่านั้นก็เพียงใช้ฟีเจอร์ Gemini Live พูดคุยกับ AI ได้แบบเป็นธรรมชาติ ต่อเนื่อง เหมือนคุยกับคนจริง ๆ ได้ด้วย ตรงนี้เราว่าช่วยให้เราสะดวกขึ้นในหลายมิติเลยจริง ๆ นะ

ทั้งนี้ฟีเจอร์ Galaxy AI นี้ใช้พพื้นฐานมาจาก Gemini Advanced ซึ่งจะพิเศษกว่า Gemini เวอร์ชั่นปกติที่ใช้ฟรีกันบน Android เครื่องอื่น ๆ ตรงที่สามารถเข้าถึงแอปอื่น ๆ ของ Google หรือ Samsung ได้เพิ่มเติม ทำให้ครอบคลุมได้กว้างขวางกว่าชัดเจน ซึ่งปกติแล้วถ้าอยากใช้ความสามารถที่ครบขนาดนี้ต้องจ่ายค่าบริการเดือนละ 750 บาทเลยนะ แต่ผู้ใช้ Galaxy S25 Series จะได้สิทธิ์อัปเกรดเป็นแพ็กเกจนี้ฟรีนาน 6 เดือน ก็มูลค่า 4,500 บาทเลยแหนะ คุ้มไหมล่ะ!?

Circle to Search วงเพื่อค้นหา ที่ครอบคลุมกว่าเดิม

ฟีเจอร์ Circle to Search ที่เป็นจุดขายตอน S24 Series มารอบนี้ก็ยังมีให้ใช้งานเหมือนเดิมครับ แถมฉลาดขึ้นแล้วด้วย นอกจากจะวงค้นหาจากภาพ ก็ยังสามารถค้นหาเพลงที่กำลังฟังหรือนึกทำนองออกก็ฮัมเพื่อค้นหาได้เลย แปลภาษาแบบทั้งหน้าเผื่อไปเจอเนื้อหาภาษาที่เราไม่ถนัด หรือเก่งกว่านั้นก็สามารถแก้โจทย์การบ้านยาก ๆ ให้เราได้พร้อมวิธีทำอีกนะ

ฟีเจอร์ AI ปรับแต่งภาพก็เวอร์ชั่นใหม่

หรือจะเป็นสายตกแต่งภาพ ของเดิม Generative Edit ของ Galaxy AI ก็เก่งมากอยู่แล้ว รอบนี้นอกจากจะเก่งขึ้น เนียนขึ้นแล้ว อนิเมชั่นต่าง ๆ ก็ดีขึ้น ประมวลผลเร็วขึ้นอีกต่างหาก

Portrait Studio ฟีเจอร์เปลี่ยนภาพถ่ายเป็นภาพวาดสไตล์ต่าง ๆ รอบนี้สวยขึ้นอีกเยอะ แถมคุณภาพก็สูงกว่าเดิมด้วย ตอนที่เปิดตัวมากับ Z Fold6, Z Flip6 เวอร์ชั่นนั้นยังเจนภาพออกมาเป็นอัตราส่วน 1:1 และคุณภาพไม่คมชัดเท่าไหร่ รอบนี้เจนเป็นภาพแนวตั้งพร้อมความละเอียดระดับ 10MP เลยด้วย เอาไปใช้ต่อได้สบาย ๆ เลย

มี Drawing Assist ใหม่ด้วย ฟีเจอร์วาดภาพแล้วให้ AI แปลงเป็นภาพกราฟิกต่าง ๆ รอบนี้ก็มีตัวเลือกให้เลือกมากขึ้น รวมถึงเราสามารถพิมพ์ Promp ลงไปแทนวาดด้วยนิ้วหรือปากกาได้ด้วย ทีนี้ก็เจนภาพได้ง่ายกว่าเดิมแล้วนะ แถมคำสั่งที่พิมพ์ลงไปยังพิมพ์เป็นภาษาไทยได้ด้วยนะ ดีมากอันนี้!

โดยรวมในเรื่องซอฟต์แวร์ก็ต้องชมว่า Samsung เป็นผู้นำด้าน AI บนสมาร์ทโฟนไปแล้วจริง ๆ เพราะนอกจากที่เรานำเสนอมานี้ ยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ อีกมากทั้ง เกี่ยวกับการแปลภาษา, การถอดเทป หรือ การแต่งประโยค ซึ่งทั้งหมดนั้นใช้งานได้ครบตั้งแต่แกะกล่อง ไม่ต้องรออัปเดต และเหนือสิ่งอื่นใดคือ “รองรับภาษาไทย” ด้วย!

กล้องหลังครบช่วงพร้อม AI ProVisual Engine ล่าสุด!

มาถึงเรื่องกล้องกันแล้ว รอบนี้ Galaxy S25 Ultra นั้นยังให้กล้องหลังมามากถึง 4 ตัวเหมือนเดิม โดยจะมีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้เลยครับ

  • 200MP กล้องหลัก f/1.7 OIS
  • 50MP กล้อง Ultra Wide มุมกว้าง 120º f/1.9
  • 10MP กล้อง Tele 3x f/2.4 OIS
  • 50MP กล้อง Periscope 5x f/3.4 OIS

ถ้าดูจากตัวเลขและสเปคด้านบนนี้แล้วจะเห็นว่าส่วนใหญ่นั้นเป็นชุดเดิมจากตอน S24 Ultra เลยเนอะ ใช่แล้วครับกล้อง 3 ใน 4 ตัวยังใช้ชุดเดิมทั้งหมด จุดที่อัปเกรดขึ้นมาจริง ๆ จะเป็นกล้อง Ultra Wide จาก 12MP มาเป็น 50MP แล้ว ซึ่ง Samsung ให้เหตุผลว่าจากการสำรวจกล้องมุมกว้างนั้นถูกใช้งานมากที่สุดรองจากกล้องหลัก เลยมาเน้นอัปเกรดในปีนี้นั่นเอง

การประมวลผลที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิมด้วย AI ProVisual Engine ใหม่

แน่นอนว่าฮาร์ดแวร์ชุดเดิมแต่ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นก็ต้องไปปรับปรุงในเรื่องซอฟต์แวร์แทน และด้วยยุค AI แบบนี้ Galaxy S25 Ultra ก็ใส่ AI ProVisual Engine อัลกอริธึมใหม่ในการประมวลผลภาพเข้าช่วยแทน บวกกับ ISP ใหม่ของชิปเซ็ตด้วย ซึ่งเอกลักษณ์ของ AI ProVisual Engine ในรอบนี้ก็คือความเป็นธรรมชาติที่เหมือนกับตาเห็นครับ ไม่สดเวอร์หรือแต่งให้เกินจริงแบบรุ่นเก่า ๆ แล้ว

กล้องหลัก 200MP บวกกับการประมวลผลใหม่ มันลงตัว!

แม้ฮาร์ดแวร์จะเป็นชุดเดิม แต่ตัวกล้องหลัก 200MP นี้ก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เซ็นเซอร์ใหญ่ 1/1.3″ เพียงพอต่อการละลายฉากหลังสวย ๆ และรองรับการซูมแบบ In-Sensor ระดับ 2x สบาย พอบวกกับซอฟต์แวร์ที่มีการประมวลผลใหม่ ทำให้คุณภาพของภาพถ่ายดูลงตัวขึ้นด้วย การจัดการ Dynamic Range ที่ดี ตัว HDR ยังเก่งในเรื่องการจัดการแสง เรื่องโทนสีก็อย่างที่บอกว่ารอบนี้เน้นไปในทางสมจริง อาจจะไม่ได้สดโดดเด่นมากนัก แต่ก็ไม่ได้จืดชืดหรือติดเหลืองจนเกินไปแล้ว ภาพที่ได้ออกมาคล้ายกับตาเห็นครับ ทั้งแสงเงาและสีสัน มิติของภาพดี ไม่เร่งเงาจนภาพแบน เราว่าเป็นโทนที่ใช้งานได้ง่ายเลยนะแบบนี้

กล้อง Ultra Wide ตัวใหม่ เก็บภาพคมขึ้น

ต่อมาเป็นกล้อง Ultra Wide ที่เป็นตัวอัปเกรดใหม่ ความละเอียดให้มาถึง 50MP แล้วนะ มีมุมกว้าง 120º และได้ f/1.9 ด้วย ช่วยให้เราเก็บภาพมุมกว้างได้ดีขึ้นจริง ๆ ล่ะทีนี้ บวกกับ AI ProVisual Engine ใหม่ที่ประมวลผลได้ดีงาม ทำสีออกมาได้ตรงและใกล้เคียงกับกล้องหลักมาก ให้ทั้งมุมกว้างที่เก็บรายละเอียดได้ดีสุด ๆ แบบนี้ ก็สมการรอคอยในการอัปเกรดแล้วล่ะครับ

และตัวกล้อง Ultra Wide นี้ก็ยังรองรับ Autofocus ให้เราได้ใช้งานเป็นกล้อง Macro ได้เหมือนเดิม พอได้เซ็นเซอร์กล้องตัวใหม่ก็ช่วยให้ภาพ Macro นั้นคมชัดยิ่งขึ้นไปอีกด้วยครับ

ซูม 3x ยังอยู่ในมาตรฐานเดิม

ส่วนเรื่องการซูม Galaxy S25 Ultra ยังคงทำได้ดีเพราะได้กล้อง Tele มา 2 ตัว แบ่งเป็นกล้อง 3x ซึ่งอันนี้คุณภาพยังอยู่ในมาตรฐานเดิมของ Samsung ครับ อาจจะไม่ได้หวือหวาเรื่องมิติของภาพมากนักแล้ว เพราะเอาจริง ๆ กล้องตัวนี้เป็นตัวเดียวที่ยังไม่มีการอัปเกรดตั้งแต่สมัย S21 Ultra นู่นเลย การที่ใช้ AI ปรับแต่งภาพเพิ่มเติมก็พอช่วยได้เล็กน้อย แต่ที่เราชอบคงเป็นโทนสีที่พอมันเข้ากับกล้องหลักได้ก็ถือว่าพอรับได้ครับ

กล้อง Periscope 5x เฉิดฉายขึ้น ซูมระยะไกลดีเลย

ส่วนกล้อง 5x ที่เพิ่งเปลี่ยนมารอบที่แล้ว คราวนี้ก็ได้ซอฟต์แวร์ที่จัดการได้เก่งขึ้นไปอีก ช่วยลดพวก Noise ลงได้อย่างดี เรื่องมิติของภาพก็เคยทำได้ดีอยู่แล้ว ละลายฉากหลังสวย และพอระยะเป็น 5x ก็ใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่าย ไม่ไกลจนเกินไป หรือจะซูมไปไกลสัก 10x ก็ยังเอาอยู่ครับ Galaxy AI ปรับภาพเร็วและเก่งขึ้นพอสมควรเลย

Night mode กลางคืนแจ่มขึ้นเยอะ

โหมดถ่ายกลางคืน Galaxy S25 Ultra จัดการแสงได้ดีขึ้นแล้วเช่นกัน เพราะมีการประมวลผลต่าง ๆ ใหม่ด้วย AI ProVisual Engine อย่างที่บอกไป สีสันของแสงไฟจะออกมาสวยอิ่ม แต่ยังเน้นไปที่ความเป็นธรรมชาติ ไม่จัดจ้านจนเกินไป การจัดการ Noise ทำได้ดีขึ้นชัดเจน แถมใช้งานได้ครบทุกระยะตั้งแต่ Ultra Wide ไปถึงซูม 10x เลยด้วย

Portrait mode สกินโทนดีขึ้น เลือกระยะเองได้แล้วด้วย

ในโหมด Portrait หรือโหมดถ่ายคน รอบนี้ก็ปรับสกินโทนให้สวยขึ้นด้วยครับ ไม่ติดเหลืองและดึงรายละเอียดของใบหน้ามาเท่ารุ่นก่อน โทนจะออกมากลาง ๆ แทน อาจจะไม่ได้สวยสดเท่าตอน S22, S23 เพราะเน้นสมจริง แต่ก็ไม่ได้ออกมาเหลืองจนเกินไปแบบตอน S24 แล้ว ตรงนี้เราว่าน่าจะถูกใจสาว ๆ มากขึ้นนะ

กล้องหน้า 12MP มี AF เหมือนเดิม

กล้องหน้าของ Galaxy S25 Ultra ถ้าดูจากสเปคแล้ว ก็คือตัวเดิมกับของรุ่นก่อนเลย มีความละเอียด 12MP พร้อม Autofocus ให้ภาพคมชัดและแม่นยำ ส่วนคุณภาพที่เราลองใช้งานก็ยังคงตามมาตรฐาน Samsung ครับ สีสันเป็นธรรมชาติ รอบนี้ใบหน้าดู Beauty ขึ้นเล็กน้อย ไม่ถึงกับเนียนใสแบบเกินจริง แต่ก็ไม่ได้คชัดจัดจนเห็นทุกรอยบนใบหน้าอะนะ

อ๊ะ…พูดถึงเรื่องเซลฟี่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้พูดถึงอีกหนึ่งฟีเจอร์ Galaxy AI อย่าง Best Face เลย ตรงนี้เราว่าเจ๋งดี เคยเป็นไหมเวลาเซลฟี่กลุ่มแล้วใบหน้าของเพื่อนเราสักคน (หรือหลายคน) เกิดไม่ถูกใจ บางคนหลับตา บางคนไม่ยิ้ม ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปทันทีถ้าเราเปิด Montion Photo ก่อนถ่าย เพราะหลังจากที่เราถ่ายภาพมาแล้วมีใบหน้าของใครสักคนในภาพไม่ถูกใจ ก็เพียงมาใช้ฟีเจอร์ Best Face เลือกใบหน้าที่อยากได้ใหม่ได้เลย โดยใบหน้าที่เลือกก็จะมาจากวิดีโอที่ตัวกล้องบันทึกก่อนและหลังถ่ายนั่นแหละ ตรงนี้รองรับใบหน้าสูงสุด 4 ใบหน้านะ อ๊ะ…แล้วก็ใช้กับกล้องหลังได้ด้วย

วิดีโอ HDR ได้แบบ 10-Bit และมี Log ให้เปิดใช้งานแล้ว

สำหรับโหมดวิดีโอ Galaxy S25 Ultra ก็อัปเกรดเช่นกัน เพิ่มตัวเลือก HDR เข้ามาถ่ายได้แบบ 10-bit สูงสุด 4K/60fps เลยซึ่งใช้งานได้ในทุกกล้อง สลับกล้องระหว่างถ่ายได้ หรือถ้าถ่ายแบบ SDR ก็สามารถเลือกความละเอียดสูงสุดได้ที่ 8K/30fps เลยด้วย และรอบนี้พอกล้อง Ultra Wide อัปเกรดมาใหม่ก็ทำให้ถ่าย 8K ได้ 3 ระยะแล้วคือ 0.5x/1x/5x แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะในโหมด Pro Video ของ Galaxy S25 Ultra ยังมีตัวเลือก Log ให้เราเปิดใช้งาน ถ่ายแบบสีจืด ๆ มาเกรดสีใหม่ได้แล้วด้วยนา

ส่วนเรื่องการซูมรอบนี้ Samsung มีการปรับอัลกอริธึมมาใหม่ ใช้ Galaxy AI คำนวณการเปลี่ยนผ่านของกล้องและปรับให้สมูทขึ้น รวมถึงมีฟีเจอร์ Smooth Zoom ให้เราได้เลื่อนแถบซูมเข้าไปแบบเนียน ๆ ด้วย อะ…เราถ่ายตัวอย่างมาฝากจากคอนเสิร์ต Here AI am Music Fest ของ Samsung มาฝากที่ด้านล่างนี้เลย

@iphone_droid

ซูมมมมมม BowkyLion มาให้ดูด้วย Galaxy S25 Ultra 🔭 #iphonedroid #GalaxyS25Ultra #TeamGalaxy #GalaxyxBowkyLion #galaxys25series

♬ original sound – iphone-droid.net – iphone-droid.net

และยังไม่หมดแค่การซูมที่ดีขึ้น เพราะรอบนี้ Galaxy AI ยังเก่งถึงขั้นเข้ามาช่วยตัดเสียงรบกวนในวิดีโอได้แล้วด้วย ไม่ว่าจะเพิ่มเสียงพูด เสียงร้อง ตัดเสียงรบกวนอย่างเสียงลม หรือเอาเสียงดนตรีออกไปเลยเพื่อได้ยินเสียงนักร้องแบบชัด ๆ ก็ทำได้หมด มีประโยชน์สำหรับสายคอนเทนต์แน่นอนครับแบบนี้!

โดยรวมในเรื่องของกล้อง ต้องบอกเลยว่า Galaxy S25 Ultra มีการปรับจูนซอฟต์แวร์มาได้ดีจริง ๆ แม้ฮาร์ดแวร์ภายนอกจะไม่ต่างจากรุ่นก่อนมากนัก แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการถ่ายจริง ก็รู้สึกถึงความเสถียรที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่ภาพนิ่งที่เก็บสี เก็บแสงได้เป็นธรรมชาติในเกณฑ์ที่สวยถูกใจและใช้งานจริงได้ วิดีโอที่แก้ไขในเรื่องการซูม ลด Noise ได้ดีขึ้น รวมถึงยังมีฟีเจอร์ Galaxy AI ใหม่ ๆ ที่เข้ามาช่วยให้ใช้งานหลังถ่ายได้หลากหลายกว่าเดิมด้วย รวม ๆ แล้วคิดว่ากล้องรอบนี้ทำออกมาตอบโจทย์การใช้งานจริงมากขึ้น และน่าจะถูกใจแฟน ๆ Samsung ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ!

ประสิทธิภาพที่สูงขึ้นรอบด้านด้วยชิป Snapdragon 8 Elite For Galaxy!

ปิดท้ายที่เรื่องประสิทธิภาพ Galaxy S25 Ultra มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon Elite For Galaxy รุ่นพิเศษเหมือนเคย Samsung เคลมว่าประสิทธิภาพสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับรุ่น ทั้ง CPU เร็วขึ้น 37% GPU แรงขึ้น 30% และ NPU หรือ AI ที่ประมวลผลเร็วขึ้นอีก 40% เรียกว่าอัปเกรดมาเพื่อรองรับความสามารถใหม่ ๆ อย่างชัดเจน!

จัดการความร้อนดีขึ้นเพราะระบบระบายความร้อนใหญ่ขึ้น 1.4 เท่า

ด้านการจัดการความร้อน Galaxy S25 Ultra ก็ปรับปรุงมาใหม่ด้วย มีการขยายพื้นที่ของ Vapor Chamber ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 1.4 เท่า! ช่วยลดความร้อนสะสมเมื่อใช้งานต่อเนื่องได้ดีขึ้นมากไปอีกครับ

แต่นอกจากชิปเซ็ตกับระบบระบายความร้อนแล้วแล้วส่วนอื่น ๆ ก็ยังให้มาเท่าเดิม ตรงนี้ก็แอบน่าเสียดายนิดหน่อย เพราะทั้ง RAM และความจุยังให้มาเริ่มต้น 12GB+256GB เท่าเดิม ถ้าอัป RAM ให้เป็นสัก 16GB ก็น่าจะใช้งานได้สบายใจกว่านี้แหละ แต่เท่าที่ลองใช้งานมาก็ไม่ได้เจออาการติดขัดอะไร คงเพราะ One UI 7 เขาจูนมาดีจริง ๆ อะ…ส่วนผลการทดสอบเราลองทดสอบกับทั้ง Geekbench 6 และ AnTuTu Benchmark คะแนนก็ออกมาตามนี้เลยครับ

  • Geekbench 6 = Single-Core 2977 | Multi-Core 9540
  • AnTuTu Benchmark v10 = 2565048

เล่นเกมหน่อยไหมล่ะ !?

เห็นคะแนนสูงแบบนี้ บวกกับการอัปเกรดตัวระบายความร้อนมาใหม่ ก็อยากจะลองว่าถ้าต้องเล่นเกมจริง ๆ จะดีขึ้นไหม เกมที่เราใช้ทดสอบ Galaxy S25 Ultra รอบนี้มี 3 เกมกราฟิกอลังการประกอบด้วย Asphalt 9 , Call of Duty และ Genshin Impact เหมือนเคยครับ

เล่น Asphalt 9 บน Galaxy S25 Ultra

เริ่มที่ Asphalt 9 ก่อนเลย ในการตั้งค่าเราปรับ Base Profile ได้ที่ระดับ High Quality และเปิดทุกอย่างสูงสุดหมด พร้อมเปิดเฟรมเรตไปที่ 60fps ด้วย เรียกว่าสุดทุกการตั้งต่า ตัวเกมทำได้อย่างลื่นไหลเอามาก ๆ เฟรมเรตลื่น ๆ แบบ 60fps ตลอด แถมภาพก็ยังสวยบนหน้าจอใหม่ของ S25 Ultra อีกต่างหาก ความลื่นไหลก็ยอดเยี่ยม ไม่เจออาการภาพแตกหรือหยาบ ๆ เลยด้วยครับ

เล่น Call of Duty บน Galaxy S25 Ultra

ต่อกันที่เกมยิงสุดมันส์อย่าง Call of Duty ในการตั้งค่าเราจะสามารถปรับได้ 2 รูปแบบคือกราฟิกและเฟรมเรตแบบ Very High + Max (ภาพสวยสุด+เฟรมเรต 60) กับ Medium + Ultra (ภาพกลาง ๆ+เฟรมเรต 120) ในการทดสอบเราเลือกเปิดแบบเฟรมเรตสูงสุด ตัวเกมทำได้อย่างลื่นไหล สมกับเป็นเรือธงของ Samsung ครับ ลำโพงคู่ที่เสียงดีขึ้นก็ช่วยให้เราเล่นได้สะใจทั้งเสียงกระสุนหรือเสียงฝีเท้าของศัตรูก็ชัดเจนและแม่นยำครับ

เล่น Genshin Impact บน Galaxy S25 Ultra

ปิดท้ายที่เกมฟอร์มยักษ์อย่าง Genshin Impact อันนี้ก็ไม่ต้องห่วงเช่นกัน เราสามารถปรับระดับกราฟิกได้ที่ระดับสูงสุดพร้อมกับเปิด 60fps ได้สบาย ๆ ตัว S25 Ultra ให้เราเล่นได้อย่างลื่นไหล ภาพสวยเต็มตา การควบคุมก็ตอบสนองได้รวดเร็วทันนิ้ว แต่รอบนี้การเปลี่ยนมาใช้มุมเครื่องแบบโค้งมนก็ช่วยให้เราจับถือใช้งานนาน ๆ ได้ดีกว่าแบบเหลี่ยมของรุ่นก่อนด้วย อันนี้เป็นข้อดีมาก ๆ เลยล่ะ

แบตเตอรี่ 5000mAh เท่าเดิม แต่อึดขึ้นนิดหน่อย

ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ Galaxy S25 Ultra ก็ได้ความจุแบตฯมาที่ 5000mAh เท่ากับรุ่นก่อน มาในปี 2025 แบบนี้เราว่าแอบน้อยไปนิดแล้วกับความจุเท่านี้ แต่เท่าที่ลองใช้งานจริง ๆ ก็พบว่าใช้งานได้ดีกว่าที่คิดนะครับ เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปอยู่ คงเพราะหน้าจอที่คมชัดขึ้น ถ้าเปิดความละเอียดไว้ที่ FHD ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ไปได้อีกหน่อย แต่ถ้าเน้นถ่ายรูปแบบจัดหนัก อัดคลิปในคอนเสิร์ตต่อเนื่อง อันนี้ก็อาจจะต้องมีพาวเวอร์แบงค์เป็นตัวช่วยอีกสักหน่อยล่ะครับ

ระบบชาร์จก็ยัง 45W เท่าเดิมด้วย

เช่นเดียวกับแบตเตอรี่ ระบบชาร์จของ Galaxy S25 Ultra ก็ยังเป็น Super Fast Charging 2.0 ที่ความเร็ว 45W เท่าเดิม เราคิดว่าไม่ใช่ข้อเสียของรุ่นนี้สักเท่าไหร่ เพราะชาร์จเท่านี้ก็เร็วเพียงพอต่อการเติมแบตฯแล้ว และข้อดีก็คือใช้ร่วมกับอะแดปเตอร์ที่รองรับ PD ทั่วไปได้ หรือจะเป็นพาวเวอร์แบงค์ที่รองรับ PD ก็ชาร์จได้เต็ม 45W ด้วยนะ ไม่ต้องไปหารุ่นที่รองรับชาร์จไวแบบพิเศษให้วุ่นวาย

ราคาเริ่มต้น 46,900 บาท มีให้เลือก 3 ความจุ

ก่อนจะไปสรุปรีวิว เราขอมาสรุปราคาของ Galaxy S25 Ultra ปิดท้ายสักหน่อย ปีนี้ยังมีให้เลือก 3 ความจุเหมือนเดิม มีราคาแต่ละรุ่นดังนี้เลย

  • รุ่น 12GB+256GB ราคา 46,900 บาท
  • รุ่น 12GB+512GB ราคา 52,900 บาท
  • รุ่น 12GB+1TB ราคา 62,900 บาท

สรุปแล้ว “นี่คือเรือธงแห่งยุค AI อย่างแท้จริง”

สรุปแล้ว Galaxy S25 Ultra ก็ถือเป็นเรือธงแห่งยุค AI อย่างแท้จริง! เพราะด้วยการอัปเกรดฟีเจอร์และซอฟต์แวร์อย่างหนักของ Samsung โดยที่ไม่ได้เห็นการอัปเกรดฮาร์ดแวร์เป็นสำคัญ แต่ก็สร้างความน่าสนใจและคงมาตรฐานของ All Rounder Flagship ได้เป็นอย่างดี ทั้ง One UI 7 ใหม่ที่เปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานโดยรวมไปอย่างสิ้นเชิง ฟีเจอร์ Galaxy AI ที่เก่งและฉลาดขึ้นมาก โดยเฉพาะผู้ช่วยที่ช่วยเราได้แทบทุกอย่าง กล้องที่แทบจะเป็นชุดเดิม แต่ถ่ายออกมาแล้วกลมกล่อมขึ้น ส่วนฮาร์ดแวร์ที่มีเปลี่ยนชัด ๆ เลยก็คือ การปรับดีไซน์รูปลักษณ์ที่พอสัมผัสแล้วรู้สึกได้ชัดเจน ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite for Galaxy ที่แรงกว่าในแง่การทำงานหนัก ๆ และร้อนน้อยลง แต่ถึงจะบอกว่าทุกอย่างดูน่าสนใจและเข้าที่เข้าทางกว่าเดิม ก็ยังแอบเสียดายไม่ได้ว่า ถ้าได้อัปเกรดฮาร์ดแวร์ขึ้นมาแบบจัดเต็มด้วย จะยิ่งดีงามขึ้นอีกแค่ไหน!?

ส่วนคำถามที่ว่าถ้ามี Galaxy S24 Ultra อยู่แล้ว ควรจะอัปเกรดมาที่ Galaxy S25 Ultra ไหม ? เราคิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ที่ต้นทุนในการอัปเกรดซะมากกว่า เพราะหากยอมเสียส่วนต่างหลัก 10,000 บาทได้เพื่อฮาร์ดแวร์ใหม่บางส่วน (หน้าจอ, ชิปเซ็ต, กล้อง) กับซอฟต์แวร์ที่มีเฉพาะ S25 ก็ถือว่าคุ้มค่าในการอัปเกรด แต่…ถ้าคิดว่าต้นทุนสูงเกินไป ก็ใช้ S24 Ultra รออัปเดตเป็น One UI 7 อีกทีก็ได้เหมือนกัน เพราะในยุคที่มีซอฟต์แวร์เป็นหัวใจสำคัญแบบนี้ ถ้าฮาร์ดแวร์ไม่ได้หนีกันมาก แต่ซอฟต์แวร์ได้อัปเดตมาเท่า ๆ กัน ประสบการณ์ก็คงไม่ทิ้งห่างกันเท่าไหร่นัก ว่าไหมล่ะครับ!?

HarmonyOS5 นาที ago

HUAWEI FreeClip ใส่ยังไงก็ไม่หลุด! กระโดด วิ่ง เต้นสุดแรงก็เอาอยู่ กับคอนเซปต์ Never Feel, Never Fall

HUAWEI FreeClip หูฟั...

Android News11 นาที ago

รอเลย…ลือ Galaxy Z Fold7 จะมีรอยพับหน้าจอน้อยลงจน “แทบมองไม่เห็น” แล้ว!

ลือกันต่อเลยกับ Gala...

Smart Review2 ชั่วโมง ago

รีวิว Samsung Galaxy S25 Ultra เรือธงแห่งยุค AI อย่างแท้จริง!?

รีวิว Galaxy S25 Ult...

Android News3 ชั่วโมง ago

มาอีกคลิป ! JerryRigEverything ชำแหละไส้ใน Galaxy S25 Ultra ยังมีตัวชาร์จ S Pen แม้ตัวปากกาไม่มีแบต !?

ไม่กี่วันที่ผ่านมา Z...

Android News3 ชั่วโมง ago

Canalys เผย 10 อันดับสมาร์ทโฟนขายดีที่สุดในปี 2024 iPhone 15 ครองแชมป์ ฝั่ง Android เรือธง Galaxy S24 Ultra นอนมา!

Canalys เผยข้อมูล 10...

Android News4 ชั่วโมง ago

เช็คที่นี่ !! รวมรายชื่อสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ Samsung ที่ได้อัปเดตแพทช์รายเดือน รายไตรมาส และรายปีแบบครบๆ

เข้ามาสู่เดือนกุมภาพ...

Android News4 ชั่วโมง ago

ของมันดี ! Samsung Galaxy S25 Series ทำสถิติยอดพรีออเดอร์สูงสุดในเกาหลีใต้

หลังจากที่ Samsung เ...

Android News5 ชั่วโมง ago

เผยทีเซอร์ทางการ vivo V50 ยืนยันดีไซน์คล้ายเดิม มี 3 สีหลัก พร้อมกล้องคู่จาก ZEISS

ในที่สุด vivo ก็ได้เ...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก