IT News
Adobe Firefly รองรับการสั่งงานภาษาไทยได้แล้ว และมากกว่า 100 ภาษา
Adobe Firefly รองรับการสั่งงานภาษาไทยได้แล้ว และวันนี้รองรับได้มากกว่า 100 ภาษา ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเจนเนอเรทภาพที่มีคุณภาพสูงโดยใช้ภาษาที่ต้องการได้แล้ว
- วันนี้เว็บสแตนด์อโลนของ Firefly สามารถรองรับ text prompt ได้มากกว่า 100 ภาษา รวมทั้ง “ภาษาไทย” ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเจนเนอเรทภาพที่มีคุณภาพสูง สร้างเอฟเฟ็กต์ข้อความที่น่าทึ่ง ปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานโดยใช้ภาษาที่ต้องการได้แล้ว
- Adobe วางแผนปรับอินเทอร์เฟซผู้ใช้ Firefly ให้รองรับมากกว่า 20 ภาษา โดยขณะนี้มีเวอร์ชั่นภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น สเปน และโปรตุเกสแบบบราซิลที่เปิดให้บริการแล้ว
- Firefly เจนเนอเรทภาพไปแล้วมากกว่า 1,000 ล้านภาพตั้งแต่เปิดตัวเมื่อ 3 เดือนก่อน และตอนนี้ถูกรวมเข้ากับ Photoshop, Express และ Illustrator โดยตรง ด้วยเวิร์กโฟลว์ที่ผสานความเร็วและความสะดวกของ Generative AI เข้ากับพลังและความแม่นยำของ Creative Cloud
อะโดบี ประกาศการขยายบริการ Firefly ซึ่งเป็นโมเดล Generative AI เพื่อรองรับการสั่งงานด้วยข้อความมากกว่า 100 ภาษา ทำให้ผู้ใช้ทั่วโลกสามารถเจนเนอเรทภาพ และเอฟเฟ็กต์ข้อความโดยใช้ภาษาแม่ (Native Language) ของตนเองในบริการเว็บ Firefly แบบสแตนด์อโลน โดยเว็บยังรองรับ 20 ภาษา โดยเปิดให้บริการภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น สเปน และโปรตุเกสแล้ว
การขยายการให้บริการครั้งนี้นับเป็นการขยายการเข้าถึงของ Firefly ไปสู่ระดับโลก ช่วยให้ผู้ใช้หลายล้านคนในทุกระดับประสบการณ์มีความมั่นใจมากขึ้นในการสร้างคอนเทนต์ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ ผู้ใช้งานได้เจนเนอเรทภาพไปแล้วมากกว่า 1,000 ล้านภาพบนเว็บไซต์ Firefly และใน Photoshop ทำให้โปรแกรมทั้งสองนับเป็นโปรแกรมรุ่นเบต้าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอะโดบี
มากกว่าหนึ่งทศวรรษที่อะโดบีได้พัฒนานวัตกรรม AI อย่างจริงจัง เพื่อพลิกโฉมเครื่องมือด้านครีเอทีฟระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม โดยเพิ่มพลังให้กับทุก ๆ ขั้นตอน ตั้งแต่การสำรวจเบื้องต้นไปจนถึงแนวคิดและการผลิต อะโดบียังคงยึดถือแนวทางที่มุ่งเน้นครีเอเตอร์ โดยมี Firefly ทำหน้าที่เป็น Co-pilot สำหรับงานครีเอทีฟ นับตั้งแต่ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Firefly ได้ถูกผสานรวมเข้ากับ Photoshop, Express และ Illustrator ช่วยให้ผู้ใช้สร้างสรรค์ผลงานได้อย่างมั่นใจ โดยจัดการกับอุปสรรคระหว่างจินตนาการและ blank page และนำความแม่นยำ พลัง ความเร็ว และความสะดวกมาสู่แอปพลิเคชันและเวิร์กโฟลว์ Creative Cloud โดยตรง
อีไล กรีนฟิลด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีดิจิทัลมีเดียของอะโดบี กล่าวว่า “เรารู้สึกทึ่งกับวิธีการที่เหล่าครีเอเตอร์ใช้ Firefly เพื่อเจอเนอเรทภาพและเอฟเฟ็กต์ข้อความที่สวยงามหลายพันล้านรายการ ทำให้ Firefly เป็นหนึ่งในโปรแกรมรุ่นเบต้าของอะโดบีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดโดยใช้เวลาหลังเปิดตัวเพียงสามเดือนเท่านั้น และวันนี้เราได้พัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง Firefly ได้มากขึ้นโดยใช้ภาษาที่พวกเขาต้องการ ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากโมเดล AI ที่โดดเด่นของอะโดบีได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพสูงสุดตามจินตนาการ และสามารถนำไปใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้อย่างปลอดภัย”
นอกจากนี้ Firefly ยังนำเสนอ:
- Firefly for Enterprise: Firefly for Enterprise ได้รับการออกแบบมาให้มีความปลอดภัยในเชิงพาณิชย์ และอะโดบีวางแผนให้องค์กรธุรกิจต่าง ๆ สามารถปรับแต่งและเทรน Firefly โดยใช้แอสเซ็ทภายใต้แบรนด์ของตนเอง และสร้างคอนเทนต์ตามแนวทางและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Firefly for Enterprise ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับดิจิทัลคอนเทนต์ที่หลากหลาย และช่วยให้องค์กรปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มความรวดเร็วในการสร้างคอนเทนต์ ควบคู่ไปกับการประหยัดต้นทุนและค่าใช้จ่าย โซลูชั่นระดับองค์กรนี้จะช่วยให้พนักงานทุกคนในทุกหน่วยงาน ทุกระดับทักษะด้านครีเอทีฟ สามารถใช้ Firefly เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่สวยงาม สอดรับกับแบรนด์ พร้อมสำหรับการเผยแพร่ และสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้อย่างราบรื่นใน Express หรือ Creative Cloud นอกจากนี้ องค์กรต่าง ๆ จะได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจากอะโดบี สำหรับคอนเทนต์ที่สร้างด้วยเวิร์กโฟลว์ที่ขับเคลื่อนด้วย Firefly ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำไปใช้งานทั่วทั้งองค์กรได้อย่างมั่นใจ
- ความโปร่งใสสำหรับดิจิทัลคอนเทนต์: เนื่องจาก Generative AI ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรทราบว่าเนื้อหาคอนเทนต์นั้น ๆ ถูกสร้างหรือแก้ไขโดย AI หรือไม่ คอนเทนต์ Firefly ได้รับการเทรนโดยใช้ชุดข้อมูลที่แตกต่าง และจะถูกติดแท็ก Content Credentials แบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสให้กับดิจิทัลคอนเทนต์ Content Credentials เป็นเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สที่เปิดให้ใช้งานฟรี ทำหน้าที่เป็น “ฉลากโภชนาการ” (nutrition label) แบบดิจิทัล โดยสามารถแสดงข้อมูลต่าง ๆ เช่น ชื่อ วันที่ และเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างรูปภาพ ตลอดจนการแก้ไขใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับรูปภาพนั้น และยังคงเชื่อมโยงกับคอนเทนต์นั้น ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะถูกใช้งาน เผยแพร่ หรือจัดเก็บไว้ที่ใดก็ตาม จึงช่วยให้สามารถระบุแหล่งที่มาและใช้ตัดสินใจเกี่ยวกับการนำดิจิทัลคอนเทนต์ไปใช้ได้อย่างเหมาะสม Content Credentials ได้รับการออกแบบโดยอะโดบี โดยร่วมมือกับ Content Authenticity Initiative (CAI) และสมาชิกทั่วโลกกว่า 1,500 ราย รวมถึง AFP, Associated Press, BBC, Getty Images, Leica, Microsoft, Nikon, Omnicom, Reuters, Stability AI, Spawning.ai, The Wall Street Journal, Universal Music Group (UMG) และอื่น ๆ