รีวิว Alldocube iPlay50 mini และ iPlay60 Pad Pro แท็บเล็ต 2 รุ่นใหม่จาก Alldocube ที่มาพร้อมกับความคุ้มค่าขั้นสุด ราคาที่จับต้องได้ง่ายๆ ได้สเปคที่คุ้มค่า ใช้งานทั่วไปได้ไหลลื่น เล่นเกมสบาย จอใหญ่ แสดงผลได้ดี และแบตเตอรี่ที่อึดพอตัวเลยครับ

ใครที่ยังไม่คุ้นกับแบรนด์ Alldocube ต้องบอกว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์เทคโนโลยีระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2005 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและจัดจำหน่ายอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยเฉพาะแท็บเล็ตและแล็ปท็อป ซึ่งในปี 2023 ที่ผ่านมา Alldocube สามารถขายแท็บเล็ตในประเทศจีนได้ติดตามอันดับ 7 เลยทีเดียว แถมยังได้ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของโลกอย่าง Intel, Microsoft, Qualcomm, Unisoc และ MediaTek เพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพให้ยอดเยี่ยมขึ้นด้วย

สรุปสเปค Alldocube iPlay50 mini
- ขนาดตัวเครื่อง : 202.7 x 126 x 7.5 มม.
- น้ำหนัก : 292 กรัม
- หน้าจอแสดงผล IPS ขนาด 8.4 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (1920 × 1200 พิกเซล), 270PPI, แสดงผล 16 ล้านสี, 1200:1 Contrast ratio และความสว่างสูงสุด 300 cd/m²
- CPU : Unisoc T606 Octa-core ความเร็วสูงสุด 1.6GHz
- GPU : ARM Mali G57
- RAM : 4GB
- ROM : 64GB/128GB UFS 2.1 รองรับการใส่ MicroSD Card สูงสุด 512GB
- กล้องหลัง 5MP
- กล้องหน้า 5MP
- ระบบปฏิบัติการ Android 13
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 5, 4G LTE, Bluetooth 5.0 และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4000mAh รองรับชาร์จ 10W
สรุปสเปค Alldocube iPlay60 Pad Pro
- ขนาดตัวเครื่อง : 256.8 x 168.3 x 8.4 มม.
- น้ำหนัก : 540 กรัม
- หน้าจอแสดงผล IPS ขนาด 12.1 นิ้ว ความละเอียด WQXGA+ (1920 × 1200 พิกเซล), 249PPI รองรับ Refresh Rate 90Hz แสดงผล 1.07 พันล้านสี, สัดส่วนพื้นการแสดงผลต่อหน้าจอ 87.7% และความสว่างสูงสุด 550 นิต
- CPU : MediaTek Helio G99 Octa-core ความเร็วสูงสุด 2.2GHz
- GPU : ARM Mali-G57 MC2
- RAM : 8GB
- ROM : 128GB UFS 2.1 รองรับการใส่ MicroSD Card สูงสุด 1TB
- กล้องหลัง 16MP
- กล้องหน้า 8MP
- ระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย Alldocube OS 3.0
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11a/b/g/n/ac/ax), 4G LTE, Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 10000mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W
iPlay50 mini ดีไซน์เล็กกะทัดรัดและจับถือได้สะดวก
เดี๋ยวเราพามาดูกันไปทีละรุ่นครับ บอกเลยว่าแต่ละรุ่นก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้างครับ โดยเฉพาะในเรื่องขนาดที่ต่างกันครับ เรามาดูกันที่รุ่นเล็กอย่าง iPlay50 mini ที่มีขนาดเล็กมากๆ ขนาดอยู่ที่ 202.7 x 126 x 7.5 มม. บอกเลยว่าถือมือเดียวได้ถนัดมือมากๆ ครับ ทำให้ใช้งานได้สะดวกกว่าแท็บเล็ตจอใหญ่ๆ ครับ

ส่วนน้ำหนักก็ไม่มากเท่าไหร่ อยู่แค่ 292 กรัมเท่านั้นเอง

ส่วนสีที่อยู่ในมือเราจะเป็นสีเทาเข้ม Deep Space Gray โดยวัสดุจะเป็นผิวด้านลื่นๆ ซึ่งงานประกอบทำได้ดูแน่นหนาเลยทีเดียวครับ

เคสของเสริมก็มีหลายตัวเลือก !
ในรุ่น iPlay50 mini ก็มีการแถมเคสเคสซิลิโคนใสแบบใสมาให้เลือกหลายรูปแบบเลยครับ ซึ่งมีตั้งแต่แบบเคสซิลิโคนที่ไม่มีฝาพับ หรือจะเป็นแบบเสริมฝาพับเข้ามาด้วย ซึ่งจะมี 2 สี คือสีดำและขาว



ส่วนใครที่ถามหาฟิล์มหน้าจอ บอกเลยว่ารุ่นนี้ติดจากโรงงานให้แล้วครับ

หน้าจอ IPS 8.4″ ขนาดกำลังพอดี ถือมือเดียวได้เลย
ในรุ่น iPlay50 mini จะมีหน้าจอแบบ IPS ขนาด 8.4 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่เพียงพอสำหรับคนที่ชอบขนาดประมาณหนังสือ เหมาะมากๆ กับคนที่ชอบอ่าน E-Book หรือ Webtoon รวมถึงการใช้งานแอปโซเชียลเบื้องต้น เช่น TikTok หรือ YouTube ครับ ทั้งนี้ ก็ยังเหมาะกับผู้สูงอายุที่อาจไม่ได้ต้องการหน้าจอใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนปกติ แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปครับ
ขณะที่ความละเอียดหน้าจอของ iPlay50 mini จะอยู่ที่ FHD+ (1920 × 1200 พิกเซล) ทำให้ใช้งานได้ตามมาตรฐาน และด้านขนาดจอที่ไม่ใหญ่ ก็ช่วยให้ได้ภาพที่คมกริบจริงๆ ครับ

ส่วนรอบเครื่อง เราขอมองในรูปแบบแนวตั้งตามการใช้งานที่ควรจะเป็นครับ โดยกล้องหน้าของ iPlay50 mini จะอยู่ทางด้านบน

ทางด้านล่างตัวเครื่องจะเป็นลำโพงตัวหลักเพียงอย่างเดียวครับ

ด้านบนจะมีพอร์ต USB Type-C เพียงอย่างเดียวครับ

ฝั่งขวาจะเป็นที่อยู่ของปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง

ส่วนทางซ้ายจะได้ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ช่อง และช่องที่ 2 เป็น Hybrid ให้เลือกระหว่างซิมที่ 2 หรือ MicroSD สูงสุด 1TB และไมโครโฟนตัวที่ 1 โดยที่มุมซ้ายสุดจะเป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.


และด้านหลังจะมีเพียงกล้อง 1 เลนส์

iPlay60 Pad Pro จอใหญ่จุใจ แต่ได้ดีไซน์ที่บางและเบา !
มาต่อกันที่ดีไซน์ของรุ่น iPlay60 Pad Pro กันบ้างครับ รุ่นนี้จะอัปเกรดเรื่องหน้าจอขึ้นให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ตัวเครื่องใหญ่ตามไปด้วยครับ แต่ความบางนั้นยังบางมากๆ อยู่ที่เพียง 8.4 มม. ครับ ขณะที่น้ำหนักก็อยู่ที่ 540 กรัม ไม่ได้หนักหรือเบาจนเกินไปกับแท็บเล็ตขนาดนี้ครับ

iPlay60 Pad Pro จะเป็นขอบเครื่องโลหะที่มีความแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม และขอบก็มีความแบนเรียบ ทำให้การใช้งานถนัดมือเหมือนกันครับ

เสริมคีย์บอร์ดไร้สายและใช้งานปากกาได้เสมือน PC อีกเครื่องในรุ่น iPlay60 Pad Pro
สำหรับ iPlay60 Pad Pro จะมีให้เราได้ใช้งานให้เหมือนกับการใช้ PC ในตัวเหมือนกันครับ โดยจะสามารถเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดไร้สายมาให้ ซึ่งการเชื่อมต่อจะเป็นแบบแม่เหล็ก (Magnetic Keyboard) ทำให้ง่ายต่อการเชื่อมต่อมากๆ ทั้งนี้ ก็ยังให้เราได้ใช้งานปากกา Stylus ที่สามารถเขียนได้ลื่นๆ และตอบสนองได้ดีบนหน้าจอครับ




เรียกว่าในราคาไม่ถึงหมื่นก็สามารถเป็นได้ทั้งแท็บเล็ตและแล็ปท็อปให้ใช้งานกันแบบคุ้มๆ เลยครับ


และที่ชอบในของเสริมอย่างคีย์บอร์ดแล้ว เคสที่มาด้วยกันยังเป็นขาตั้งหรือ Kickdtand เพื่อให้ตั้งได้ด้วยครับ


ทั้งนี้หากเวลาพกไปข้างนอกและมั่นใจว่าไม่ได้ใช้คีย์บอร์ดแน่ๆ ก็สามารถถอดเฉพาะคีย์บอร์ออกมาและใส่เคสตัวเพียงอย่างเดียวก็ได้เหมือนกันครับ

หน้าจอใหญ่ ใช้งานได้ตามความต้องการ !
สำหรับรุ่น iPlay60 Pad Pro จะได้ความเต็มตาสุดๆ ด้วยการเป็นขนาดของแท็บเล็ตที่ใช้งานได้หลากหลายที่ 12.1 นิ้วครับ ทั้งยังมีความคมชัดระดับ WQXGA+ (1920 × 1200 พิกเซล) มีการแสดงผลสีมากถึง 1.07 พันล้านสี โดยที่ขอบจอก็บางพอสมควร ทำให้มีพื้นการแสดงผลต่อหน้าจออยู่ที่ 87.7%

และที่เสริมเข้ามาเพิ่มเติมคือการรองรับ Refresh Rate 90Hz ทำให้การสัมผัสติดนิ้วมากขึ้น โดยเฉพาะการเล่นเกมที่จะได้ประโยชน์ในจุดนี้ด้วยครับ

พามาดูรอบเครื่องกันครับ iPlay60 Pad Pro จะขอมองเป็นแนวนอนตามการใช้งานหลักๆ ด้านบนจะมีกล้องหน้าที่อยู่ด้านบนพอดีครับ

ทางขวาจะเป็นลำโพง 2 ตัวในฝั่งซ้าย-ขวา โดยตรงกลางจะมีพอร์ต USB-C และที่มุมขวาสุดจะเป็นช่องใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ช่อง และช่องที่ 2 เป็น Hybrid ให้เลือกระหว่างซิมที่ 2 หรือ MicroSD สูงสุด 1TB


ด้านซ้ายจะเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง พร้อมด้วยปุ่ม Power และลำโพงอีก 2 ตัว ทำให้รุ่นนี้มีลำโพงทั้งหมด 4 ตัวครับ

ที่ด้านบนมีเพียงไมโครโฟนตัวที่ 1 เท่านั้น

ส่วนที่ด้านล่างรุ่นนี้จะเป็นแถบแม่เหล็กสำหรับการเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดไร้สายเพื่อแปลงเป็นเหมือนแล็ปท็อปในตัวได้เลย

ท้ายสุดที่ด้านหลังจะมีโมดูลกล้อง โดยมีกล้อง 1 เลนส์ และใส่ไฟแฟลช LED เข้ามาให้

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ซอฟต์แวร์ใช้งานได้ไหลลื่น และไม่มีแอปแปลกตากวนใจ !
บอกเลยว่าทั้ง iPlay50 mini และ iPlay60 Pad Pro ต่างเป็นแท็บเล็ตที่ให้แอปเริ่มต้นมาแบบให้ใช้งานกันคลีนๆ ไม่มี Bloatware หรือแอปพลิเคชั่นที่แปลกตากวนใจเลยครับ โดยในรุ่น iPlay50 mini แกะกล่องมาพร้อม Android 13 ส่วน iPlay60 Pad Pro ให้มาเป็น Android 14 และมีการครอบทับด้วย Alldocube OS 3.0


ใสได้ 2 ซิม รองรับ 4G LTE
แท็บเล็ตทั้ง 2 รุ่นนี้รองรับการใช้งานเครือข่าย 4G LTE ได้เหมือนกันครับ ทำให้เราใช้งานข้างนอกได้เลย ไม่ต้องง้อ Wi-Fi ครับ

มาตรฐาน Widevine L1 ปลอดภัย และดูวิดีโอได้ระดับ Full HD ได้
ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมมาตรฐาน Widevine L1 ซึ่งเป็นระดับของการปกป้องเนื้อหาที่ถูกสตรีมที่เล่นบนอุปกรณ์ของเราครับ ซึ่งในระดับ L1 ทำให้เล่นวิดีโอในความคมชัด Full HD ได้ตามมาตรฐานครบทุกแอป ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Hulu, Amazon Prime Video และ Disney+

หน้าจอใหญ่ก็ใช้งาน 2 แอปได้พร้อมกันด้วย Split Screen
ด้วยหน้าจอแสดงผลที่ให้มาค่อนข้างใหญ่ ทำให้ทั้งคู่ใช้งานหน้าจอแยกได้เหมือนกัน โดยเราสามารถใช้แอปพลิเคชั่น 2 แอปได้พร้อมกัน เช่น หน้าจอฝั่งหนึ่งดูวิดีโอ ส่วนอีกฝั่งก็เล่น Facebook ได้เลยครับ

เสริมความปลอดภัยด้วยการสแกนใบหน้า (เฉพาะ iPlay60 Pad Pro)
ในรุ่น iPlay60 Pad Pro จะมีการเพิ่มระบบการสแกนใบหน้าเข้ามาด้วยครับ ทำให้มีความปลอดภัยที่สูงขึ้นกว่าการใส่รหัสผ่านทั่วไป และการสแกนก็ทำได้เสถียรและรวดเร็วด้วยครับ

จัดเต็มความบันเทิงด้วยลำโพงสเตอริโอถึง 4 ตัว (เฉพาะ iPlay60 Pad Pro)
จากการที่ให้หน้าจอใหญ่ 12.1 นิ้ว ทำให้ iPlay60 Pad Pro ใส่ลำโพงมาให้ถึง 4 ตัวแบบสเตอริโอ ใครที่ชอบดูวิดีโอหรือภาพยนตร์ต่างๆ ทำได้แบบจัดเต็มมากๆ แถมระบบเสียงก็ทำได้ดีเกินคาดเพราะกระหึ่ม เสียงดัง และมีมิติ

ใช้งาน PC Mode ได้ (เฉพาะ iPlay60 Pad Pro)
ด้วยการที่หน้าจอใหญ่ขึ้นมาของ iPlay60 Pad Pro ทำให้มีโหมดที่เสริมเข้ามาคือ PC Mode ที่เปลี่ยนแท็บเล็ตเป็นโน้ตบุ๊คได้เลย เพราะ UI จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นไอคอนย้ายไปที่ฝั่งซ้ายทั้งหมด และก็มีแถบ Taskbar ด้านล่างเสมือน PC จริงๆ เลยด้วย





ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
ชิปเซ็ตรุ่นประหยัด แต่ใช้งานทั่วไปได้ไหลลื่นแน่นอน !!
หน่วยประมวลผลที่ใช้งานในแท็บเล็ตทั้ง iPlay50 mini และ iPlay60 Pad Pro จริงๆ จะเป็นรุ่นประหยัดจากของ Unisoc และ MediaTek ครับ แต่การใช้งานทั่วไป ไม่ได้จริงจังมาก บอกเลยว่าทำได้ไหลลื่น ไม่เจออาการหน่วงจากการใช้งานแอปทั่วไปเลยครับ

ในรุ่น iPlay50 mini ขับเคลื่อนด้วยชิป Unisoc T606 แบบ Octa-core ความเร็ว Clock สูงสุด 1.6GHz โดยมี RAM 4GB ซึ่งการทำงานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการดู YouTube หรือดูสตรีมมิ่งต่างๆ รวมถึงการเช่นแอปโซเชียลต่างๆ ก็ทำได้อย่างเพียงพอแล้วครับ

สำหรับรุ่น iPlay60 Pad Pro เป็นการใช้ชิปตัวประหยัดค่อนกลางอย่าง MediaTek Helio G99 แบบ Octa-core ความเร็วสูงสุด 2.2GHz ซึ่งชิปตัวนี้เป็นชิปเล่นเกมในระดับเริ่มต้นที่ทำได้ดีมากๆ แล้วครับ ทั้งยังมี GPU ARM Mali-G57 MC2 ที่ประมวลผลด้านกราฟิกที่ดีเลยทีเดียวครับ

เพิ่ม Virtua RAM ได้สูงสุดอีก 12GB
ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมฟีเจอร์ Virtua RAM ที่ให้เราได้เพิ่ม RAM เสมือนขึ้นมาได้ด้วยเหมือนกัน โดยในรุ่น iPlay50 mini เพิ่มได้สูงสุดอีก 8GB ทำให้รวมจาก RAM จริงที่มีอยู่ 4GB ทำให้ได้ทั้งหมด 12GB ขณะที่ตัวรุ่นพี่ iPlay60 Pad Pro สามารถเพิ่มได้สูงสุด 12GB ทำให้รวมเป็น 20GB เลยทีเดียวครับ บอกเลยว่าการใช้งานแบบ Multi-Tasking ทำได้เยอะมากขึ้นด้วยครับ


ทดสอบการเล่นเกม
มาลองการทดสอบการเล่นเกมกันหน่อยครับ เล่นบนหน้าจอใหญ่ๆ ถือว่าจุใจมากๆ และการเล่นแต่ละเกมที่เราทดสอบไม่ว่าจะเป็น ROV, PUBG Mobile หรือเกมแข่งรถ Asphalt Legends Unite เราก็เล่นได้ไหลลื่นในทั้ง 2 รุ่นเลยครับ แต่จะแตกต่างกันที่การปรับกราฟิกภายใน ซึ่งในรุ่น iPlay50 mini แนะนำให้ปรับแบบเริ่มต้นทั้งหมด (เว้นเพียง ROV ที่ปรับได้ในระดับสูงและเล่นได้ลื่นๆ)



แบตเตอรี่ใช้งานได้นานครบวัน !
ในการเป็นแท็บเล็ตก็ต้องมีแบตเตอรี่ที่อึดๆ เพื่อให้เราได้ใช้งานกันตลอดวันครับ โดยในรุ่น iPlay50 mini ให้แบตมาที่ 4000mAh ซึ่งถ้าใครใช้งานทั่วไป ก็จะอยู่ได้นานเช้าถึงเย็นๆ เลยครับ
ขณะที่ iPlay60 Pad Pro ได้แบตเตอรี่มาถึง 10000mAh ซึ่งอยู่ได้นานเต็มวันเลยครับ ชาร์จครั้งเดียวตอนเช้า และหากไม่ได้เล่นเกมต่อเนื่องหลายชั่วโมงก็อยู่ได้แน่ๆ ครับ ขณะที่การชาร์จก็รองรับชาร์จเร็ว 33W ทำให้เราสามารถชาร์จได้เต็ม 100% ในเวลาชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้นครับ

สรุปการใช้งาน iPlay50 mini และ iPlay60 Pad Pro
สรุปแล้วแท็บเล็ตทั้ง 2 รุ่นนี้จาก Alldocube ได้ราคาที่ประหยัดและความคุ้มค่าที่เกินราคาเลยครับ ตั้งแต่รุ่น iPlay50 mini ที่มาในราคาไม่ถึง 5,000 บาทด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครที่อยากได้แท็บเล็ตจอใหญ่ขึ้นมาจากสมาร์ทโฟนก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการใช้เป็นเครื่องรองได้เลย โดยเฉพาะนักเรียนหรือคนที่ชอบอ่าน e-book ต่างๆ หรือจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าหรือผู้สูงอายุที่ชอบดูวิดีโอทั่วไป อย่าง YouTube หรือ TikTok ก็ทำได้เหมาะสมมากๆ เลยครับ
ขณะที่รุ่นใหญ่ขึ้นมาหน่อยอย่าง iPlay60 Pad Pro ก็จะเจาะกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น ด้วยหน้าจอขนาด 12.1 นิ้ว ให้ความรู้สึกเต็มตามากขึ้นเวลาใช้งาน จะดูวิดีโอหรือเล่นเกมแบบทั่วไปก็ทำได้แบบไหลลื่นผ่านชิปประมวลผล MediaTek Helio G99 ครับ

ราคาและการวางจำหน่าย
ใครที่สนใจแท็บเล็ตจาก Alldocube ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็มาในราคาที่สบายกระเป๋ามากๆ โดย Alldocube iPlay50 mini มี 2 ความจุ ดังนี้
- RAM 4GB + ROM 64GB : 3,990 บาท
- RAM 4GB + ROM 128GB : 4,490 บาท
มีการรับประกัน 1 ปี พร้อมรับฟรี ! อะแดปเตอร์ชาร์จ 12W ผู้สนใจสามารถสสั่งซื้อได้แล้วผ่านตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศ หรือร้านค้าออนไลน์ Alldocube_Official Store : https://url.in.th/kfjje
iPlay60 Pad Pro มีเพียงความจุเดียว คือ RAM 8GB + ROM 128GB ในราคาเพียง 8,990 บาท มีการรับประกัน 1 ปี พร้อมรับฟรี ! เคสแท็บเล็ตปกป้องเครื่อง, คีย์บอร์ดบลูทูธ และปากกาสำหรับแท็บเล็ต ผู้สนใจสามารถสสั่งซื้อได้แล้วผ่านตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศ หรือร้านค้าออนไลน์ Alldocube_Official Store
