Smart Review
รีวิว Apple AirTag อุปกรณ์ติดตามสิ่งของ ไกลแค่ไหนก็ไม่มีหาย ในราคาเริ่มต้น 990 บาท
ใครที่เป็นคนที่ขี้ลืมว่าวางสิ่งของไว้ตรงไหนบ้างหรืออาจจะชอบทำหล่นอยู่เป็นประจำ บอกเลยว่า AirTag อุปกรณ์ช่วยเหลือเรื่องการติดตามสิ่งของจาก Apple ที่เปิดตัวมาเป็นครั้งแรกนั้นทำออกมาได้เป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตเหมือน iPhone หรืออุปกรณ์อื่นวันนี้ทีมงาน iphone-droid.net จะมารีวิวให้ชมกันอย่างละเอียดครับว่าเจ้า AirTag ตัวจิ๋วนี้ใช้ใช้งานเป็นอย่างไรบ้าง
ชมคลิปรีวิว AirTag
แกะกล่อง
มาเราเริ่มแกะกล่องกันก่อนเลยครับ โดยกล่องที่เรามีจะเป็นแบบ 4 แพ็ค หรือมี 4 ชิ้นในกล่องเดียว โดยจะมีอุปกรณ์ในกล่องมาให้เป็น Airtag ตัวจิ๋ว และคู่มือการใช้งานต่างๆ เท่านี้ครับ
ดีไซน์ขนาดเล็ก พกพาได้สะดวกมาก
ก่อนจะไปดู รีวิว Apple AirTag มาดูดีไซน์กันก่อนเลย เจ้าตัวนี้มีขนาดเล็กมากประมาณเหรียญ 10 บาทเท่านั้น โดยเราสามารถพกใส่กระเป๋าสตางค์ได้เลยทีเดียว ส่วนวัสดุที่ใช้ก็จะเป็นพลาสติกรอบตัวและมีอลูมิเนียมที่เป็นฝาปิดแบตเตอรี่ครอบทับไว้ครับ ซึ่งเจ้าอลูมิเนียมเกิดรอยได้ค่อนข้างง่ายเลยทีเดียว
ที่สำคัญยังมีความสามารถในการป้องกันน้ำมาตรฐาน IP67 หรือที่ความลึกไม่เกิน 1 เมตร ในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที ไม่ว่าจะกระโดนน้ำกระเด็นหรือหยดใส่ก็สามารถใช้งานต่อได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรครับ
วิธีเริ่มต้นการใช้งาน
การใช้งานครั้งแรกเราต้องดึงตัวพลาสติกออกมาจากแถบที่อยู่ในตัวเครื่อง AirTag จนมีเสียงเตือนออกมาครับ จากนั้นทำตามขั้นตอนด้านล่างได้เลย !
- นำ AirTag ไปไว้ใกล้ๆ กับ iPhone ในระยะ 2 – 5 เซนติเมตร จนใน iPhone ขึ้นเตือนว่าพบ AirTag
- กด “เชื่อมต่อ” > เลือก “ชื่ออุปกรณ์” และกด ดำเนินการ
- รอสักครู่ จนหาตำแหน่งปัจจุบันพบ จากนั้นก็เป็นอันเรียบร้อย
วิธีการค้นหาในแต่ละแบบ
สำหรับการค้นหาสิ่งของในแต่ละแบบก็จะมีทั้งแบบใกล้ๆ ไม่เกิน 10 เมตร และระบุตำแหน่งได้อย่างชัดเจนในฟีเจอร์ “ตำแหน่งที่ตั้งจริง”, แบบเกินระยะ 10 เมตร หรืออยู่ละสถานที่จะ iPhone ที่เชื่อมต่อเอาไว้ และอย่างสุดท้ายจะเป็นการที่คนอื่นเจอ AirTag ของเราครับ
ค้นหาในระยะใกล้
แบบแรกในระยะใกล้ๆ หรือค้นหาภายในบ้านครับ เพียงแค่เราเข้าใช้งานแอป “ค้นหาของฉัน” หรือ Find My จากนั้นไปที่แถบสิ่งของ ระบบก็จะขึ้นตำแหน่งขึ้นมาให้ทันทีครับ ซึ่งถ้าเรายังหาไม่เจอก็สามารถกดค้นหาเพื่อระบุตำแหน่งได้แบบแม่นยำมากๆ ซึ่งระบบจะบอกทางซ้าย/ขวา/หน้า/หลังของเรา และมีระยะความห่างบอกชัดเจนมาก โดยถ้าระยะใกล้ต่ำว่า 1 เมตร iPhone ที่เชื่อมไว้ก็จะสั่นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ “ตำแหน่งที่ตั้งจริง” หรือที่ระบุระยะทางแม่นยำจะใช้งานได้แค่ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max, iPhone 12, iPhone 12 mini, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max เท่านั้นครับ เพราะต้องใช้เทคโนโลยี Ultra Wideband เข้ามาช่วย
หรือถ้ายังไม่เจออีกก็สามารถกดส่งเสียงดังเพื่อให้ AirTag ส่งเสียงออกมาได้ครับ ซึ่งเจ้าตัว AirTag ก็ปล่อยเสียงออกมาได้ดังพอตัวเลยครับ ถ้าไม่มีอะไรมาบดบังจะได้ยินชัดเจนมากๆ
ยังไม่หมดเท่านี้ครับ เรายังใช้งานผู้ช่วยอย่าง Siri ได้ เพียงแค่เราพูดว่า “หวัดดี Siri หา…(อุปกรณ์ที่ตั้งค่าไว้)…ให้หน่อย” เช่น เราตั้งค่าไว้เป็นกระเป๋าสตางค์ก็พูดว่า “หวัดดี Siri หากระเป๋าสตางค์ให้หน่อย” เป็นต้น จากนั้น AirTag ก็จะส่งเสียงดังขึ้นมาทันที โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย (ไม่ต้องเข้าแอปด้วย)
ค้นหาระยะเกิน 10 เมตร หรือการทำของหายจริงๆ
ใครที่ลืมสิ่งของนั้นไว้จริงๆ เวลาออกไปข้างนอก ก็อาจจะกังวลได้น้อยลงมาบ้างครับ เพราะระบบของ Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad และ Mac ทุกเครื่องบนโลกจะใช้ Find My Network ผ่าน Bluetooth เพื่อช่วยให้เราสามารถติดตามตำแหน่งปัจจุบันของ AirTag ได้ในแอป Find My ซึ่งบอกก่อนว่าอุปกรณ์ของคนอื่นที่กำลังใช้เทคโนโลยี Find My Network เพื่อค้นหา AirTag ของเราจะไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ทั้งสิ้นครับ โดยจะมีเพียงแค่เราเท่านั้นที่รู้ว่า AirTag อยู่ตรงไหน เรียกว่าความเป็นส่วนตัวนี่ Apple ทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ !
ทั้งนี้ Find My Network อาจไม่ได้ทำงานตลอดเวลา (เพราะอาจไม่มีคนใช้อุปกรณ์ Apple แถวนั้น) ดังนั้น ในแอป Find My ก็จะมีเวลาบอกว่ามีการอัปเดทตำแหน่งของ AirTag ในกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
ไม่ต้องกลัวว่า AirTag จะโดนขโมยของ
หากใครที่เจอ AirTag ของเราแล้วอยากได้มาเป็นเจ้าของเสียเอง ก็จะไม่สามารถเชื่อมต่อได้ แม้จะมีการรีเซ็ตเครื่องแล้วก็ตาม โดยจะมีการติด iCloud หรือ Apple ID เหมือนกับ iPhone เป๊ะๆ เลยครับ ทำให้คนอื่นไม่สามารถเชื่อมต่อ AirTag ของเราได้หากเรายังไม่ได้ลบ AirTag ออกจากเครื่องเรานั่นเอง
วิธีการรีเซ็ต AirTag (ไม่ติด iCloud)
เมื่อพูดถึงการรีเซ็ตแล้ว วิธีการบอกเลยว่าง่ายมากๆ หากใครไม่ต้องการใช้งานแล้วหรืออยากให้คนอื่นไปลองใช้ ก็ให้เข้าไปลงชื่อออกผ่านแอป Find My > ไปที่แท็บ สิ่งของ > เลือก AirTag ปัจจุบัน และกดเอาสิ่งของออก
ต่อไปก็ให้รีเซ็ทผ่านตัว AirTag เพียงแต่เรากดตัวฝาแถบฝั่งโลโก้ Apple และหมุนแบบทวนเข็มนาฬิกาก็จะเปิดฝาได้ จากนั้นให้เราถอดถ่านออกแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่และกดเล็กน้อยจนมีเสียงเตือนออกมา จากนั้นทำซ้ำกันอีก 4 รอบ (รวมทั้งหมด 5 รอบ) โดยรอบที่ 5 เสียงจะต่างจาก 4 รอบแรกครับ นั่นก็หมายถึงการรีเซ็ต AirTag เรียบร้อยแล้ว และสุดท้ายก็ให้ปิดฝาครอบแบตเตอรี่ด้วยการหมุนตามเข็มนาฬิกาจนกว่าจะหยุดหมุน
โหมดสูญหาย (Lost Mode) ของ AirTag อุปกรณ์ติดตามสิ่งของ
และเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อีก คือเราไม่เจอ AirTag จริงๆ เราก็สามารถกดเปิดโหมดสูญหายได้ ซึ่งเมื่อเปิดโหมดนี้ เราต้องใส่ข้อมูลอย่างเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้คนที่เจอสามารถติดต่อเรากลับมาได้ครับ โดยคนที่เจอสามารถนำ AirTag ไปแตะที่ด้านหลังสมาร์ทโฟนที่มี NFC ซึ่ง Android ก็ใช้ได้ครับ (Android ต้องเปิด NFC ก่อนถึงจะใช้ได้ ส่วน iPhone แตะได้เลย) ก็จะขึ้นข้อมูลหน้าเว็บไซต์ Apple เป็นโมเดลรุ่น AirTag และเบอร์โทรหรืออีเมลของเจ้าของให้ติดต่อกลับ
หรือถ้าไม่มีคนที่เจอ AirTag เลย จริงๆ ก็ยังมีฟีเจอร์ Find My Network ที่หัวข้อด้านบนทำงานอยู่เช่นกันครับ แต่เมื่อเราเปิดโหมดสูญหายก็จะมีการแจ้งเตือนให้เราเข้ามาทันที
ป้องกันการติดตามที่ไม่พึงประสงค์
ในเรื่องความเป็นส่วนตัวนั้น Apple ถือว่าเป็นที่ 1 เลยทีเดียว โดยเจ้า AirTag อาจถูกนำไปใช้ในการติดตามผู้อื่นได้ด้วย โดยหาก AirTag เรียนรู้ได้ว่าเจ้าของเครื่องไม่อยู่ใกล้ๆ และตำแหน่งเคลื่อนที่คล้ายกับการติดตามคนอื่นอยู่ (อาจใช้เวลาประมาณ 25 – 30 นาที) ก็จะมีการแจ้งเตือนไปยัง iPhone ของผู้อื่นว่ามี AirTag ติดตามอยู่และมีบอกว่าติดตามตั้งแต่เวลากี่โมงด้วย ซึ่งแม่นยำมากๆ ครับ
หากผู้ที่ถูกติดตามยังหา AirTag ที่กำลังติดตามไม่เจอ ก็สามารถกดส่งเสียงเพื่อระบุตำแหน่งได้ว่า AirTag นั้นถูกซ่อนไว้ตรงไหน หรือก็จะมีวิธีการถอดแบตเตอรี่ AirTag นั้นออกไปเลยเพื่อให้หยุดการทำงานและการติดตาม โดยความพิเศษอยู่ตรงที่เราจะรู้ได้ว่าตำแหน่ง AirTag ที่ติดตามเรามาตั้งแต่ต้นมีเส้นทางเริ่มจากตรงไหนและสิ้นสุดตรงไหน เป็นเวลากี่โมงด้วย
แบตเตอรี่ AirTag ใช้งานได้นานถึง 1 ปี
สำหรับแบตเตอรี่ของ AirTag นั้นสามารถใช้งานได้ยาวๆ ถึง 1 ปีเต็มเลยทีเดียว ไม่ต้องมาคอยเปลี่ยนบ่อยๆ ซึ่งในแอป Find My จะมีบอกความจุแบตเตอรี่ AirTag ไว้อยู่ครับ
ถ้าใกล้หมด เราก็ถอดถ่านออกมาเปลี่ยนเองได้ โดยจะใช้เป็นถ่านกระดุม Panasonic CR2032 ที่มีขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป
อุปกรณ์เสริม AirTag
สำหรับอุปกรณ์เสริมของ AirTag มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบและสีสัน ดังนี้
- AirTag Loop ห่วงคล้อง : ราคา 1,190 บาท
- AirTag Leather Key Ring พวงกุญแจหนัง : ราคา 1,390 บาท
- AirTag Leather Loop ห่วงคล้องแบบหนัง : ราคา 1,590 บาท
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ รีวิว Apple AirTag ตัวช่วยหาของหายได้ง่ายๆ โดยสามารถเลือกซื้อกันได้ที่ : apple.com
สลักชื่อบน AirTag ได้ฟรี!
หากใครที่อยากสลักข้อความและอิโมจิ 31 แบบฟรีๆ ไว้บน AirTag จะต้องซื้อจาก apple.com/th หรือแอป Apple Store เท่านั้น ถ้าซื้อผ่านหน้าร้าน Apple Store จะไม่สามารถทำได้ครับ
ราคาวางจำหน่าย
ราคาของ AirTag จะมี 2 แบบ ได้แก่ 1 แพ็ค ราคา 990 บาท และ 4 แพ็ค ราคา 3,390 บาท โดยสามารถหาซื้อได้แล้วผ่าน Apple Store, Apple Online Store หรือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ