Apple News
เปิดตัว iPhone 15 Series เข้าสู่ยุคใหม่ด้วยพอร์ต USB-C l ปุ่ม Action l กล้อง Telephoto 5x รุ่นแรกของ Apple l ชิป A17 Pro และอื่นๆ
Apple เปิดตัว iPhone 15 Series ที่มาด้วยกัน 4 รุ่นเช่นเคย ได้แก่ iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max โดยครั้งนี้ทุกรุ่นได้รับการอัปเกรดขึ้นมาจากเดิมทั้งหมด โดยเฉพาะรุ่น 15 Pro Max ที่จัดเต็มอีกด้วยครับ
ดีไซน์ปรับใหม่แข็งแกร่งขึ้นด้วยไทเทเนียม !
ดีไซน์ของ iPhone 15 Series มีการปรับใหม่ โดยเฉพาะใน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ที่มีการใช้วัสดุไทเทเนียมเกรด 5 ที่ขอบตัวเครื่องที่ได้ทั้งความแข็งแรงและแข็งแกร่งทนทานมากว่าเดิมแต่ให้น้ำหนักที่เบาลงพอสมควรเลยครับ รวมไปถึงการมีขอบด้านข้างที่โค้งมนมากขึ้น ไม่ได้แบนเรียบ 100% เหมือนรุ่นเดิมแล้วด้วย
ขณะที่ iPhone 15, iPhone 15 Plus จะยังเป็นกรอบเครื่องอะลูมิเนียมแบบเดิม แต่ก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเรื่องวัสดุฝาหลังที่ใช้เป็นผิวด้านเหมือนรุ่นพี่ในตัว Pro แล้วเรียบร้อย
ทั้งนี้ หน้าจอแสดงผลทั้ง 4 รุ่นจะครอบทับด้วยกระจก Ceramic Shield ที่ยังคงเคลมว่าเป็นกระจกที่ให้ความแข็งแกร่งมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนสมาร์ทโฟนครับ ขณธที่มาตรฐานกันน้ำและฝุ่นก็อยู่ที่ IP68 ตามปกติครับ
ปุ่ม Action แบบใหม่ไฉไลกว่าเดิม
iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มีการตัดปุ่มปิดเสียง (Mute) ออกไปเรียบร้อย โดยแทนที่ด้วยปุ่ม Action กับที่ใช้มาใน Apple Watch Ultra ครับ ซึ่งจะใช้เป็นการกดเพื่อใช้คำสั่งตามตัวเลือกที่เราตั้งค่าไว้ เช่น การเปิด VoiceOver, Zoom, AssistiveTouch, เปิด-ปิดไฟฉาย, เปิด-ปิดโหมดปิดเสียง, เป็นชัตเตอร์กล้องได้ และอื่นๆ เพียบ ขณะที่ฝั่งของรุ่นธรรมดาจะยังเป็นปุ่ม Mute เลื่อนปิดหรือเปิดเสียงตามเดิม
หน้าจอแสดงผลขอบบางเฉียบในรุ่น Pro
แค่เห็นก็รู้แล้วว่านี่คือ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max แน่นอนเลยคือขอบหน้าจอแสดงผลที่บางลงอย่างชัดเจน อยู่ที่ 1.55 มม. เท่านั้น ทำให้ iPhone 15 รุ่น Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่ขอบหน้าจอบางที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ โดยทั้ง 2 รุ่น Pro จะยังคงมีขนาดหน้าจอเท่าเดิมที่ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้วตามลำดับ ขณะที่พาเนลหน้าจอจะใช้เป็นแบบ Dynamic Island ชนิด Super Retina XDR แบบ OLED รองรับ ProMotion 1-120Hz รวมถึง Always-on Display เหมือนเดิม
ขณะที่ฝั่งของ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus มีการปรับโฉมมาเป็นแบบ Dynamic Island เป็นครั้งแรกในรุ่นธรรมดา โดยส่วนอื่นๆ ก็ยังคล้ายเดิมด้วยการใช้พาเนล Super Retina XDR แบบ OLED ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต มากกว่า iPhone 14 ถึง 2 เท่า และมีขนาดอยู่ที่ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้วตามลำดับ
ขุมพลัง A17 Pro ขนาด 3nm ตัวแรกของโลก !
ในปีนี้มีการเปิดตัว A17 Bionic ที่เป็นหน่วยประมวลผลรุ่นแรกของโลกในฝั่งสมาร์ทโฟนที่ใช้ขนาด 3nm ซึ่งชิปตัวนี้จะถูกใช้งานบน iPhone 15 รุ่น Pro ทั้งคู่ โดยชิป A17 มี 6 คอร์ 1.9 หมื่นล้านทรานซิสเตอร์ มี Neural Engine ถึง 16 คอร์ เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับชิปเดิม
ตัวชิป A17 Pro ยังมี GPU 6 คอร์ เร็วขึ้นกว่าเดิม ประมวลผลกราฟิกแรงขึ้น 20% ทั้งยังรองรับการใช้งาน Ray Tracing เพื่อให้ได้แสงและเงาของการเล่นเกมสมจริงมากที่สุด และประมวลผลเร็วกราฟิกกว่าชิป A16 ถึง 4 เท่า ทั้งยังเล่นเกม Resident Evil 4 Village ได้สะด้วย !!
รองรับการใช้งาน 5G และ WiFi 6E พร้อมใช้โมเด็ม Snapdragon X70 ที่รองรับความเร็ว 5G สูงสุด 10Gbps
ส่วนของ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะขยับขึ้นมาใช้ชิป A16 Bionic ที่มี CPU 6 คอร์ พร้อม GPU 5 คอร์ และ Neural Engine 16 คอร์ ทั้งยังประหยัดพลังงานกว่า A15 Bionic ถึง 20% ทั้งนี้ Apple ระบุว่า iPhone 15 และ iPhone 15 Plus สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ครบวันแน่นอน !
ทั้ง 4 รุ่นยังได้ใช้ชิป UltraWide Band รุ่นที่ 2 เพื่อตรวจจับตำแหน่งตัวเครื่องหรือค้นหากสิ่งของได้แม่นยำมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนตัวเลือกความจุของทั้ง 4 รุ่นจะเริ่มต้นตั้งแต่ 128GB/256GB/512GB โดยที่รุ่น Pro จะมีรุ่น 1TB มาเป็นตัวเลือกสูงสุดให้ครับ
ยุคใหม่ด้วยพอร์ต USB-C
iPhone 15 Series ทั้ง 4 รุ่นจะมีการเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB Type-C เหมือนกันทั้ง 4 รุ่น แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องความเร็วของพอร์ตการใช้งาน โดยที่รุ่น iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะรองรับมาตรฐาน USB 2.0 ถ่ายโอนข้อมูลความเร็ว 480Mbps ขณะที่รุ่น Pro ใช้ความเร็วแบบมาตรฐาน USB 3 ถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วสูงสุด 10Gbps
พอร์ต USB-C ของ iPhone 15 Series ยังสามารถชาร์จอุปกรณ์เสริทอื่นๆ ได้ด้วย เช่น AirPods เป็นต้น
กล้องอัปเกรดพร้อมการเข้ามาของเลนส์ Periscope
มาถึงพระเอกของ iPhone 15 Series อย่างเรื่องกล้องกันแล้วครับ มาดูกันที่รุ่น Pro กันเลย โดยใน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max จะให้กล้องหลัง 3 เลนส์เหมือนเดิม ความละเอียด 48MP รูรับแสง f/1.78 รองรับกันสั่นแบบ Sensor-Shift OIS รุ่นที่ 2 โดยที่สามารถใช้ความละเอียด 48MP ถ่ายภาพ Portrait ได้หลายระยะมากขึ้นด้วย
+ เลนส์ Ultra-Wide มุมกว้าง 120 องศา ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/2.2 รองรับโหมด Macro เหมือนเดิม แต่ช่วยให้ถ่ายภาพกลางคืนได้ดีขึ้น และเลนส์สุดท้ายที่เป็นเลนส์ Telephoto 3x ในรุ่น iPhone 15 Pro จะได้ความละเอียด 12MP
แต่ใน iPhone 15 Pro Max จะเป็นเพียงรุ่นเดียวในตระกุลที่ได้ Telephoto 5x ความละเอียด 12MP เพื่อซูมออปติคอลระยะไกลที่ 5x 120mm Focal Length ทั้งยังได้รูรับแสง f/2.8 ที่กว้างที่สุดในสมาร์ทโฟนที่ใช้เลนส์ซุมระยะนี้ครับ
กล้องของ iPhone 15 รุ่น Pro ยังใช้เลนส์หลัก + เลนส์ Ultra-Wide ในการถ่ายวิดีโอ Spatoal Video เพื่อใช้งานบน Vision Pro ได้ด้วย
ส่วนรุ่นน้องทั้ง iPhone 15 และ iPhone 15 Plus มี 2 เลนส์เหมือนเดิม แต่มีการอัปเกรดในเลนส์หลักขึ้นมาเป็นความละเอียด 48MP รูรับแสง f/1.6 รองรับ OIS ควบคู่กันสั่นแบบ Sensor-Shift + เลนส์ Ultra-Wide มุมกว้าง 120 องศา ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/2.4 ทั้งนี้ที่เลนส์หลักรุ่นนี้ยังรองรับการใช้ Telephoto 2x เพื่อให้ได้ความละเอียดที่มากขึ้น โดยความละเอียดจะอยู่ที่ 12MP ครับ ขณะที่กล้องหน้าความละเอียด 12MP รูรับแสง f/1.9
ตัวเลือกสีรุ่นต่างๆ
iPhone 15 และ iPhone 15 Plus มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ดำ (Midnight), ฟ้า, เขียว, เหลือง และชมพู
iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ เงิน (Silver), ดำ (Space Black), น้ำเงินเข้ม (Dark Blue) และเทาไทเทเนียม (Titan Gray)
ราคาและวันวางจำหน่าย iPhone 15 Series
- iPhone 15 ราคาเริ่มต้น 799 ดอลลาร์ หรือประมาณ 28,400 บาท (ตัวเลือกความจุ 128/256/512GB)
- iPhone 15 Plus ราคาเริ่มต้น 899 ดอลลาร์ หรือประมาณ 32,000 บาท (ตัวเลือกความจุ 128/256/512GB)
- iPhone 15 Pro ราคาเริ่มต้น 999 ดอลลาร์ หรือประมาณ 35,000 บาท (ตัวเลือกความจุ 128/256/512GB และ 1TB)
- iPhone 15 Pro Max ราคาเริ่มต้น 1,199 ดอลลาร์ หรือประมาณ 42,600 บาท (ตัวเลือกความจุ 256/512GB และ 1TB)
iPhone 15 Series จะเริ่มพรีออเดอร์ในกลุ่ม Tier 1 (รวมไทย) ในวันที่ 15 กันยายนนี้ พร้อมจำหน่ายทางการวันที่ 22 กันยายนนี้