Smart Review
รีวิว Apple Watch Series 8 ฟีเจอร์เพิ่มขึ้นในดีไซน์เหมือนเดิม
รีวิว Apple Watch Series 8 สมาร์ทวอทช์รุ่นล่าสุดจากทาง Apple เดินทางมาถึงรุ่นที่ 8 เรียบร้อย! รอบนี้มีการอัปเกรดในเรื่องของฟีเจอร์ใหม่หลายอย่าง อาทิ วัดระดับออกซิเจนในเลือด, ตรวจจับการชนกัน, หรือตรวจวัดอุณหภูมิซึ่งสามารถคาดคะเนช่วงไข่ตกจากข้อมูลย้อนหลังและฟีเจอร์การติดตามรอบเดือนของสาว ๆ ได้ด้วย
ส่วนดีไซน์และการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ติดตามได้จากรีวิว Apple Watch Series 8 นี้เลยครับ
สรุปสเปค Apple Watch Series 8 (ขนาด 45 มม.)
- ขนาดตัวเรือน : 45 x 38 x 10.7 มม.
- น้ำหนัก : 39.1 กรัม
- หน้าจอแสดงผล LTPO OLED Retina แบบติดตลอดขนาด 45 มม. ความละเอียด 396 x 484 พิกเซล ความสว่างสูงสุด 1,000 นิต
- หน่วยประมวลผล : Apple S8 Dual‑core 64 บิต พร้อมชิพระบบไร้สาย W3
- ความจุ : 32GB
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.3, WiFi 802.11b/g/n 2.4GHz และ 5GHz | LTE/UMTS6
(รุ่น GPS + Cellular) - เซ็นเซอร์
- เซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด
- เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคอล รุ่นที่ 3
- อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบแรง g สูง (ตรวจจับการล้มและการตรวจจับการชนกัน)
- มาตรวัดความสูงแบบทํางานตลอด
- GPS ย่าน L1, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou
- เข็มทิศ
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบ
- แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนใช้งานได้สูงสุด 18 ชั่วโมง
- มีมาตรฐานกันน้ำลึก 50 เมตร
- ระบบปฏิบัติการ WatchOS 9
ดีไซน์ที่คุ้นเคย กระจกจอโค้ง หน้าจอเต็ม!
มาเริ่มที่เรื่องดีไซน์กันเลย Apple Watch Series 8 ยังคงมีให้เลือก 2 ขนาดเหมือนเดิมคือ 41 มม.และ 45 มม.ซึ่งรุ่นที่เราได้มาเป็น 45 มม. เหมาะสำหรับผู้ชายหรือคนที่มีข้อมือใหญ่หน่อย ตัวกระจกหน้าจอยังเป็นกระจกโค้งที่ให้ความหรูหราและน่าสัมผัสใช้งานเหมือนเดิม
ตัวหน้าจอต้องบอกเลยว่าเต็มตามาก ๆ ยิ่งถ้าเราเลือก Watch Face ที่เป็นแบบสีสันหน่อยจะเห็นเลยว่าแสดงผลได้ไปถึงขอบจอทีเดียวครับ ในเรื่องการแสดงผลก็ทำได้ดีเป็นจอ OLED อยู่แล้วใช้งานกลางแจ้งก็สบายตามองเห็นได้ชัดเจนครับ
นอกจากนี้ Apple Watch Series 8 ยังมีฟีเจอร์ติดตลอดหรือ Always On Display มาด้วย ทำให้เราสามารถดูเวลาได้ตลอดแม้เราจะไม่ยกข้อมือขึ้นมาก็ตาม
บอดี้อลูมิเนียมน้ำหนักเบา พร้อม Digital Crown ที่เป็นเอกลักษณ์
Apple Watch Series 8 รุ่นที่เราได้มาเป็นบอดี้อลูมิเนียมให้น้ำหนักที่เบาและผิวสัมผัสเป็นแบบด้าน ให้ความเรียบง่ายแต่หรูหรา น้ำหนักของตัวเรือนก็เบาและสวมใส่ได้สบายครับ จุดเด่นของ Apple Watch ก็คือมี Digital Crown ที่ให้เราได้หมุน-เลื่อนใช้งานได้ ซึ่งรุ่นที่เราได้มารีวิวก็เป็นรุ่น GPS + Celluar จึงเป็นปุ่มสีแดงด้วยนั่นเองครับ
ส่วนฝั่งซ้ายมือของตัวเรือนจะเป็นช่องลำโพงที่เป็นแถบยาวไปเลย ใช้งานส่งเสียงเวลามีแจ้งเตือนหรือใช้คุยโทรศัพท์ได้ผ่านตัวเรือนได้โดยตรงครับ
เซ็นเซอร์ตรวจจับครบ
ในเรื่องเซ็นเซอร์การตรวจจับ Apple Watch Series 8 ก็ให้มาครบที่ด้านหลัง ฝาหลังเป็นคริสตัลมาพร้อมเซ็นเซอร์ต่าง ๆ กลุ่มไฟ LED จํานวน 4 ดวง ทั้งสีเขียว สีแดงและอินฟราเรด รวมถึงโฟโต้ไดโอด 4 ตัว สำหรับตรวจวัดสัญญาณไฟฟ้าจากหัวใจเมื่อใช้กับแอปอัตราการเต้นของหัวใจหรือแอป ECG และต้องวางนิ้วบน Digital Crown เพื่อตรวจจับคลื่นไฟฟ้าด้วย
สาย Sport Band สวมใส่สบาย คล่องตัวเมื่อออกกำลังกาย
Apple Watch Series 8 รุ่นที่เราได้มาเป็นสาย Sport Band หรือสายยางฟลูโอโรอีลาสโตเมอร์คุณภาพสูง ให้ความรู้สึกที่สบายเวลาสวมใส่ และก็ทำความสะอาดได้ง่ายเวลาเลอะหรือเปียกเหงื่อ ทำให้คล่องตัวไม่ว่าจะเป็นการใส่ใช้งานทั่วไปหรือจะใช้งานหนักถึงขั้นออกกำลังกายครับผม
Apple Watch Series 8 ยังคงรองรับมาตรฐานการทนฝุ่นระดับ IP6X ซึ่งเป็นระดับการป้องกันฝุ่นสูงสุด ทนต่อฝุ่นและอนุภาคต่าง ๆ ได้อย่างดี แถมยังมีกันน้ำระดับ 50 เมตรจาก WR50 จะล้างด้วยน้ำสะอสด ใส่ลงสระว่ายนํ้า หรือทะเลก็หายห่วงครับ
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ Apple Watch Series 8 ภายนอกคือไม่ได้ต่างจาก Series 7 เลยครับ ทั้งหน้าจอที่ยังเป็นทรงเหลี่ยมมีความโค้งมนของบอดี้ กระจกจอแบบโค้ง มีลำโพงเป็นแถบยาว ๆ หรือจะเป็น Digital Crown ที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นดีไซน์ที่ลงตัวของ Apple Watch อยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าพวกสายก็ใช้งานกับรุ่นนี้ได้เหมือนเดิมครับ
เชื่อมต่อกันง่ายตามสไตล์ Apple Ecosystem
Apple Watch Series 8 รองรับกับ iPhone ที่รัน iOS 16 ขึ้นไปหรือก็คือ iPhone 8 ขึ้นไปนั่นเองครับ เพราะฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone รุ่นเก่ากว่านั้นอาจจะต้องพิจารณาในเรื่องนี้สักหน่อยเนาะ ในเรื่องการเชื่อมต่อก็สไตล์ Apple Ecosystem ครับคือแค่เปิดเครื่องมาแล้วนำมาใกล้ ๆ กับ iPhone ที่จะเชื่อมต่อก็จะมี Pop-Up ขึ้นมาทันที
ซอฟต์แวร์ล่าสุดตั้งแต่แกะกล่อง
ในเรื่องซอฟต์แวร์ Apple Watch Series 8 มาพร้อมกับ WatchOS 9 ตั้งแต่แกะกล่องเลย มีลูกเล่นและฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาหลายอย่างและปรับจูนมาให้ใช้งานได้เป็นอย่างดี
ใช้งานง่าย ทุกอย่างลื่นไหล
ในเรื่องการใช้งาน Apple Watch Series 8 ยังใช้งานได้ง่าย ควบคุมด้วยการสัมผัสที่หน้าจอกับปุ่มกดที่ด้านข้าง อย่างที่บอกว่าพอกระจกหน้าจอเป็นแบบโค้งก็ช่วยให้เราอยากสัมผัสไปหมด และตัว UI ก็มีความลื่นไหลในแบบ Apple มาก ๆ ไม่ว่าจะเลื่อนหน้าจอไป-มา ปรับการตั้งค่าต่าง ๆ
ปรับแต่งได้หลากหลายทั้งจาก Watch เองหรือจากบน iPhone ในเรื่องการปรับแต่ง Apple Watch ขึ้นชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว เราสามารถเลือกปรับแต่ง Watch Faces ได้จากบนข้อมือเองเลย มี Watch Face ให้เลือกเพียบหรือจะเปลี่ยนสีปรับ Font แบบเบื้องต้นก็ทำได้
หรือถ้าอยากได้เพิ่มเติมก็ไปเปิดที่แอป Watch บน iPhone ได้เลย ในนี้จะเลือกปรับได้หลากหลายขึ้น ทั้งรูปแบบสี Font ดาวน์โหลดรูปแบบใหม่ ๆ หรือจะเป็นการใช้รูปถ่ายมาเป็น Watch Face ก็ได้เช่นกัน ช่วยให้เราเลือกรูปแบบหน้าปัดได้ไม่ซ้ำการใช้งานในแต่ละวันได้เลยล่ะ
เซ็นเซอร์ตรวจจับครบ ออกกำลังกาย เช็กสุขภาพ อุบัติเหตุ ได้หมด
Apple Watch Series 8 มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ที่ครบครัน ทั้ง Heart Rate Sensor ที่ช่วยอัตราการเต้นของหัวใจได้อย่างแม่นยำ มีการแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วหรือช้าผิดปกติ, หรือจะเป็นการวัดออกซิเจนในเลือดแบบรุ่นก่อนก็ยังมีให้ใช้งานด้วยครับ
นอกจากนี้ในรอบนี้ Apple ยังเพิ่มเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิผิวหนังใหม่ซึ่งที่จะติดตามอุณหภูมิของเราในขณะนอนหลับรวมไปถึงการติดตามรอบเดือนของสาว ๆ ได้อย่างแม่นยำเพื่อใช้ข้อมูลนี้ในการคาดคะเนช่วงเวลาไข่ตกจากข้อมูลย้อนหลัง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับการวางแผนครอบครัว และเมื่อนำไปรวมกับอัตราการเต้นของหัวใจและข้อมูลรอบเดือนที่บันทึกไว้ เราก็จะเห็นข้อมูลเกี่ยวกับรอบเดือนของตัวเองในแบบที่ละเอียดยิ่งขึ้น
หรือจะเป็นฟีเจอร์ Crash Detection ตรวจจับการชนกันแบบเดียวกับที่เห็นบน iPhone 14 บน Apple Watch Series 8 ก็มีฟีเจอร์นี้มาให้ด้วย หากเกิดอุบัติเหตุตัว Watch จะโทรหาเบอร์ฉุกเฉินที่ตั้งไว้พร้อมแชร์ตำแหน่งเพื่อที่จะได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
มีแอปเข็มทิศที่แม่นยำมากขึ้น บน WatchOS 9 ความสามารถของเข็มทิศจะดึงข้อมูลเชิงลึกขึ้นมาแสดงมากขึ้นใน 3 มุมมองที่แตกต่างกัน แอปสามารถแสดงมุมมองแบบผสมที่แสดงทั้งหน้าปัดเข็มทิศแบบอนาล็อกพร้อม ๆ กับมุมมองแบบดิจิทัลได้ เมื่อหมุน Digital Crown เราจะเห็นมุมมองอื่น ๆ เพิ่มเติมที่แสดงละติจูด ลองจิจูด ระดับความสูง และความชัน รวมทั้งมุมมองสำหรับการใช้เข็มทิศนำทางที่แสดงจุดอ้างอิงเข็มทิศและการติดตามการเดิน นอกจากนี้เรายังรติดตามการเดินจะใช้ข้อมูล GPS เพื่อสร้างเส้นทางที่เราเดินผ่านมา ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่หลงทิศหรือหลงทาง และต้องการความช่วยเหลือในการเดินย้อนกลับเส้นทางเดิมได้ด้วย
ในเรื่องการออกกำลังกาย Apple Watch Series 8 ที่มาพร้อม WatchOS 9 จะมีแอปออกกำลังกายมุมมองใหม่ ในระหว่างเซสชั่น เช่น เซ็กเมนต์ สปลิทส์ และระดับความสูง ซึ่งช่วยมอบข้อมูลการออกกำลังกายที่แม่นยำยิ่งขึ้น เราสามารถยกระดับการฝึกซ้อมไปอีกขั้นด้วยประสบการณ์การออกกำลังกายขั้นสูงที่มีทั้งโซนอัตราการเต้นของหัวใจ การออกกำลังกายแบบกำหนดเอง ตัววัดเวลาเฉลี่ย และภายในปีนี้ก็จะได้พบกับเส้นทางแข่งขันด้วย ส่วนใครที่เป็นนักไตรกีฬา หรือทำกิจกรรมที่ต้องว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือวิ่งต่อเนื่อง ก็มีการออกกำลังกายแบบมัลติสปอร์ตที่จะตรวจจับโดยอัตโนมัติแล้วสลับระหว่างการออกกำลังกายแต่ละประเภทได้ง่าย ๆ
ชิปเซ็ตใหม่พร้อมการเชื่อมต่อที่อัปเกรด
Apple Watch Series 8 มาพร้อมชิป SiP รุ่นใหม่ S8 แบบ Dual–core 64 บิต พร้อมชิประบบไร้สาย W3 และชิป U1 (Ultra Wideband) ช่วยให้ทำงานต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้นไปอีก นอกจากนี้ในเรื่องการเชื่อมต่อรุ่นนี้ยังอัปเกรด Bluetooth เป็นเวอร์ชั่น 5.3 เรียบร้อย ทำให้การเชื่อมต่อสเถียรขึ้นไปอีก
แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 36 ชม.
ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ Apple Watch Series 8 รองรับการใช้งานได้ถึง 18 ชม. ในการใช้งานทั่วไป เท่าที่เราลองใช้งานจริงก็อยู่ได้ประมาณ 1 วันครึ่งตามที่เคลมจริง ๆ ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของ Apple Watch ที่ใครที่ใส่ใช้งานตลอดก็คงต้องชาร์จกันทุกคืนอยู่ดี ใครที่คาดหวังว่ารุ่นนี้จะใช้ได้หลายวันต่อการชาร์จคงต้องผิดหวังเหมือนเดิม แต่ Apple ก็มีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Low Power mode มาให้ด้วย
เผื่อใครที่ใช้งานยาวหน่อยหรือไปทริปแล้วลืมเอาที่ชาร์จไป Apple ก็เพิ่มทางเลือก Low Power mode เข้ามาช่วยยืดอายุของแบตเตอรี่ให้ได้สูงสุดถึง 36 ชม.เลยทีเดียว แต่เมื่อเปิดฟีเจอร์นี้การทำงานบางอย่างจะถูกลดทอนลงไปเช่น เซ็นเซอร์ไม่วัดค่าตลอดเวลา การแจ้งเตือนที่ล่าช้ากว่าปกติ เป็นต้นครับ
ราคา Apple Watch Series 8
Apple Watch Series 8 เปิดราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท มีตัวเลือกให้เลือกมีตัวเรือนให้เลือก 2 แบบคืออะลูมิเนียมและสแตนเลสสตีลใน 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 41 มม. และ 45 มม. และสามารถใช้ได้กับสายทั้งหมด ตัวเรือนอะลูมิเนียมสำหรับ Apple Watch Series 8 มาในสีสตาร์ไลท์ สีมิดไนท์ สีเงิน และรุ่น (PRODUCT)RED ในขณะที่ตัวเรือนสแตนเลสสตีลมาในสีเงิน สีกราไฟต์ และสีทองครับผม
สรุปแล้ว “นี่คือ Apple Watch ที่ฟีเจอร์มากในแต่ดีไซน์เหมือนเดิม”
สรุปแล้ว Apple Watch Series 8 ก็ถือว่าเป็นรุ่นอัปเกรดที่เพิ่มฟีเจอร์น่าสนใจเข้ามาหลายอย่าง แต่ยังคงมาในรูปลักษณ์เดิมที่คุ้นเคย ซึ่งจุดนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียคือทรงที่เรียบหรูในแบบที่ Apple Watch เคยเป็นรอบนี้ได้ทั้งหน้าจอใหญ่เต็มตากระจกโค้งชวนสัมผัส แถมยังใช้งานคู่กับสายเดิมได้หมด แต่ข้อเสียคงเป็นเรื่องความเหมือนเดิมที่แฟน ๆ ที่อยากเห็นความแปลกใหม่จะไม่ได้เห็นในรุ่นนี้ ส่วนฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาก็น่าจะตอบโจทย์คนที่ออกกำลังกายหรือสาว ๆ ที่อยากได้การตรวจจับในเรื่องรอบเดือนที่มากขึ้นหรือการออกกำลังกายที่แม่นยำกว่าเดิม แต่ซึ่งฟีเจอร์ใหม่ ๆ นี้อาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน เรายังมองว่าการมาของรุ่นนี้อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์คนใช้ Watch Series 7 เดิมอยู่แล้วนัก แต่ถ้าใช้ Series ต่ำกว่า 7 ลงไปจะเป็น 5, 6 หรือ SE การเขยิบขึ้นมาเป็น Series 8 ก็น่าจะถูกใจขึ้น เพราะได้ทั้งหน้าจอใหญ่และฟีเจอร์ใหม่อีกด้วยครับ