รีวิว Apple Watch Series 9 สมาร์ทวอทช์รุ่นล่าสุดจาก Apple รอบนี้มีการอัปเกรดเพิ่มเติมจาก Series 8 อยู่หลายจุดให้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งหน้าจอที่สว่างขึ้น, ชิปที่ทรงพลังกว่าเดิม หรือฟีเจอร์ที่ฉลาดตอบโจทย์การใช้งานขึ้นอีก ในรูปลักษณ์เดิมที่เป็นเอกลักษณ์

การใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ใครที่ควรเปลี่ยนมาใช้ รีวิว Apple Watch Series 9 นี้บอกหมด ติดตามครับ!
สรุปสเปค Apple Watch Series 9 (45 มม.)
- ขนาดตัวเรือน : 45 x 38 x 10.7 มม.
- น้ำหนัก : 39 กรัม
- วัสดุตัวเรือน : อะลูมิเนียมรีไซเคิล 100%
- หน้าจอแสดงผล LTPO OLED Retina แบบติดตลอดขนาด 45 มม. ความละเอียด 396 x 484 พิกเซล ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต
- หน่วยประมวลผล : Apple S9 Dual‑core 64 บิต พร้อมชิพระบบไร้สาย W3 | ชิป Ultra Wide Band รุ่นที่ 2 | Neural Engine แบบ 4-Core
- ความจุ : 64GB
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.3, WiFi 802.11b/g/n 2.4GHz และ 5GHz | LTE/UMTS6
(รุ่น GPS + Cellular) - เซ็นเซอร์
- เซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด
- เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคอล รุ่นที่ 3
- อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบแรง g สูง (ตรวจจับการล้มและการตรวจจับการชนกัน)
- มาตรวัดความสูงแบบทํางานตลอด
- GPS ย่าน L1, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou
- เข็มทิศ
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบ
- แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนใช้งานได้สูงสุด 18 ชั่วโมง
- มีมาตรฐานกันน้ำลึก 50 เมตร
- ระบบปฏิบัติการ WatchOS 10

แกะกล่อง Apple Watch Series 9
แพ็กเกจของ Apple Watch Series 9 นั้นมาพร้อมกล่องกระดาษที่มีความรักษ์โลกเหมือนเดิมและรอบนี้ตัวกล่องก็ลดขนาดลงอีกหน่อยด้วย และด้วยความที่รอบนี้ Apple Watch Series 9 เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนเลยมีโลโก้ที่ติดอยู่ที่กล่องด้วยเลยครับ


เปิดกล่องออกมาจะเจอกับกล่องตัวเรือนและสายที่ระบุสีสันภายในไว้ชัดเจน รุ่นที่เราได้มาก็เป็นสีมิดไนท์พร้อมสายผ้าแบบ Sport Loop ในสีฟ้าวินเทอร์นั่นเองครับ

เปิดกล่องของตัวเรือนเราจะเจอกับ Apple Watch Series 9 อยู่ในซองอย่างดีและอีกฝั่งจะเป็นสายชาร์จพอร์ต USB-C นั่นเองครับ


ส่วนกล่องที่เป็นสายก็มีสายอยู่ภายในพร้อมเอกสารคู่มือเล็กน้อย สาย Sport Loop แบบผ้าก็จะเป็นไนลอนถักที่มีนุ่มกำลังดีและสีฟ้าวินเทอร์นี้ก็ดูเข้ากับตัวเรือนไม่น้อยเลยล่ะครับ

เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ภายในกล่องของ Apple Watch Series 9 ก็ยังให้มาเท่าเดิม คือตัวเรือน, สายและที่ชาร์จ แต่แพ็กเก็จก็มีการปรับให้รักษ์โลกมากขึ้น กล่องเล็กลงกว่าเดิมอีกนั่นเองครับ

ดีไซน์ที่คุ้นเคย
อย่างที่บอกไปว่า Apple Watch Series 9 นั้นยังคงมาพร้อมดีไซน์เดิมคือหน้าจอทรงเหลี่ยมที่มีขอบโค้งมนและกระจกหน้าจอโค้งสวยลงตัว มีให้เลือก 2 ขนาดเท่าเดิมคือ 41มม.และ 45 มม. ซึ่งรุ่นที่เราได้มาเป็นขนาด 45 มม.สำหรับข้อมือผู้ชายนั่นเองครับ

ตัวหน้าจอยังเป็น OLED ที่แสดงผลได้สวยงามคมชัดและสีสันสวยงามเหมือนเดิมแหละ ขอบหน้าจอก็ชิดในแบบ Apple Watch รุ่นใหม่ ๆ แล้วด้วย

หน้าจอสว่างขึ้น 2 เท่า!
หน้าจอของ Apple Watch Series 9 แม้มองภายนอกจะเหมือนเดิมมาก ๆ แต่ถ้าได้เอามาสู้แดดจะรู้เลยว่ามีการอัปเกรด เพราะรอบนี้ Apple เพิ่มความสว่างขึ้น 2 เท่า จากเดิม 1000nits เป็นสูงสุด 2000nits แล้ว ใส่ใช้งานกลางแจ้งได้สบายตามากขึ้น ยิ่งแดดกลางวันบ้านเราที่ว่าจัด ๆ ได้จอที่เร่งได้ถึง 2000nits แบบนี้ก็เห็นรายละเอียดได้ชัดเจน หายห่วงเลย

หรือถ้าใช้งานในที่มืด Apple Watch Series 9 ก็ยังลดแสงได้น้อยสุดถึง 1 nits เรียกว่าหายห่วงทั้งกลางวันหรือกลางคืนเลย ถือเป็นการอัปเกรดจอที่ใช้งานได้จริงและเห็นผลทันทีเมื่อใช้งานครับ

นอกจากนี้ตัวจอของ Apple Watch Series 9 ยังเป็นแบบ LTPO ที่รองรับฟีเจอร์ติดตลอดหรือ Always On Display มาด้วย ทำให้เราสามารถดูเวลาได้ตลอดแม้เราจะไม่ยกข้อมือขึ้นมาก็ตาม

บอดี้อลูมิเนียมรักษ์โลก รีไซเคิล 100%
ตัวเรือนของ Apple Watch Series 9 มีการใช้วัสดุที่รักษ์โลกมากขึ้น รุ่นที่เราได้มาเป็นวัสดุอลูมิเนียมที่ผลิตด้วยวัสดุอลูมิเนียมรีไซเคิล 100%, ใช้แร่โลหะหายากรีไซเคิล 100% ในแม่เหล็กทุกชิ้น, ใช้ทองคำรีไซเคิล 100% ในการเคลือบแผงวงจรพิมพ์หลายชิ้น และอีกหลายวัสดุรีไซเคิลแบบ 100% ทำให้ Apple Watch Series 9 นั้นถือเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนของ Apple เลยล่ะครับ

แต่ถึงแม้วัสดุจะเป็นแบบรีไซเคิลทั้งหมด แต่ในเรื่องความแข็งแรงและทดทานก็ไม่ได้ลดหย่อนลงเลย ตัวเรือนยังให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งและหรูหราเหมือนเดิมนั่นแหละครับ

สายก็รักษ์โลกมากขึ้นด้วย
ไม่ใช่แค่ตัวเรือนที่รักษ์โลกมากขึ้นนะ เพราะสายของ Apple Watch Series 9 ก็มีการใช้วัสดุใหม่ ๆ ด้วย อย่างสายที่เราได้มาเป็นสาย Sport Loop แบบผ้าใหม่ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล 82% แต่แน่นอนว่าคุณภาพก็ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม

ตัวสายเป็นผ้าที่มีความอ่อนนุ่มและเป็นมิตรกับข้อมือแม้จะสวมใส่เป็นเวลานาน ๆ ก็ไม่ระคายเคือง สวมใส่ได้ง่ายเพราะเป็นแบบตีนตุ๊กแกแปะเข้าหากันได้เลย


นอกจากนี้เราก็ยังได้สาย Nike Sport Band ใหม่ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลเช่นกัน สีที่เราได้มาเป็นสี Desert Stone ก็มีความลุย ๆ ในแบบ Nike อยู่ไม่น้อยครับ

มีปุ่มกดและ Digital Crown เหมือนเดิม
ปุ่มกดบนตัวเรือนก็มีมาให้ 2 ปุ่มเหมือนเดิม แบ่งเป็นปุ่ม Digital Crown ที่สามารถกดลงไปหรือหมุนเพื่อสั่งงานได้ ด้วยความที่เป็นรุ่น Cellular บริเวณรอบ ๆ ปุ่มจะมีวงแหวนสีแดงด้วยนั่นเอง ส่วนอีกปุ่มก็จะเป็นปุ่ม Control Center ครับผม

ที่ฝั่งซ้ายมือของตัวเรือนจะเป็นช่องลำโพงที่เป็นแถบยาวไปเลย ใช้งานส่งเสียงเวลามีแจ้งเตือนหรือใช้คุยโทรศัพท์ได้ผ่านตัวเรือนได้โดยตรงครับ

เซ็นเซอร์ก็ครบเหมือนเดิม รองรับทุกรูปแบบ
ในเรื่องเซ็นเซอร์การตรวจจับ Apple Watch Series 9 ก็ให้มาครบที่ด้านหลัง ฝาหลังเป็นคริสตัลมาพร้อมเซ็นเซอร์ต่าง ๆ กลุ่มไฟ LED จํานวน 4 ดวง ทั้งสีเขียว สีแดงและอินฟราเรด รวมถึงโฟโต้ไดโอด 4 ตัว สำหรับตรวจวัดสัญญาณไฟฟ้าจากหัวใจเมื่อใช้กับแอปอัตราการเต้นของหัวใจหรือแอป ECG และต้องวางนิ้วบน Digital Crown เพื่อตรวจจับคลื่นไฟฟ้าด้วย

รวมถึงมาตรฐานกันน้ำ Apple Watch Series 9 ยังคงรองรับครบทั้งทนฝุ่นระดับ IP6X ซึ่งเป็นระดับการป้องกันฝุ่นสูงสุดและยังมีมาตรฐานกันน้ำระดับ 50 เมตรจาก WR50 จะล้างด้วยน้ำสะอาด ใส่ลงสระว่ายนํ้า หรือทะเลก็หายห่วงครับแบบนี้

โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ Apple Watch Series 9 ก็แทบจะเหมือนเดิมทั้งหมด ซึ่งรองรับกับอุปกรณ์เสริมหรือสายที่เคยมีอยู่แล้วได้ครบถ้วน วัสดุยังเรียบหรูดูดี หน้าจอกระจกโค้งมอบสัมผัสที่ยอดเยี่ยม แต่ความพิเศษคือการอัปเกรดมาด้วยความสว่างสูงสุดถึง 2000nits ร่วมกับวัสดุรีไซเคิลแบบ 100% นี่แหละครับ

เชื่อมต่อกับ iPhone ที่รัน iOS 17 ขึ้นไป
Apple Watch Series 9 รองรับกับ iPhone ที่รัน iOS 17 ขึ้นไปหรือก็คือ iPhone Xs ขึ้นไปนั่นเองครับ เพราะฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone รุ่นเก่ากว่านั้นอาจจะต้องพิจารณาในเรื่องนี้สักหน่อยเนาะ ในเรื่องการเชื่อมต่อก็สไตล์ Apple Ecosystem ครับคือแค่เปิดเครื่องมาแล้วนำมาใกล้ ๆ กับ iPhone ที่จะเชื่อมต่อก็จะมี Pop-Up ขึ้นมาทันที

สำหรับซอฟต์แวร์ภายใน Apple Watch Series 9 ก็มาพร้อม WatchOS 10 ตั้งแต่แกะกล่องเลย รองรับฟีเจอร์การใช้งานใหม่ ๆ มากมาย อาทิ วิดเจ็ตซ้อนอัจฉริยะ, ตัวแอปของระบบที่มีการปรับหน้า UI มาใหม่ หรือจะเป็นการควบคุมต่าง ๆ


ชิปใหม่ S9 ทรงพลังยิ่งขึ้น
สเปคภายในของ Apple Watch Series 9 มีการอัปเกรดใหม่ด้วยชิป S9 ที่เป็น CPU แบบ Dual-Core ที่เคลมว่าเร็วขึ้นกว่า S8 (ของ Series 8) ถึง 60% แถมยังมี Neural Engine 4-Core ใหม่ที่สามารถประมวลผล Machine Learning ของระบบได้เร็วขึ้นสูงสุดถึง 2 เท่าเลยด้วย

Double Tap สั่งงานได้ด้วยการจีบนิ้ว
และการประมวลผล Machine Learning ที่เร็วขึ้น 2 เท่านั้น Apple ก็เคลมว่าสามารถทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ใหม่และใช้งานฟีเจอร์ใหม่ Double Tap ได้เลยด้วย ซึ่งฟีเจอร์ใหม่นี้จะช่วยให้เราสามารถสั่งงานด้วยการจีบนิ้ว 2 ครั้งโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอเลยด้วย อย่างในหน้าหลักเราก็สามารถแตะ 2 ครั้งเพื่อเลื่อนดู Widget ได้

หรือเวลามีสายเรียกเข้ามา แต่พอดีอีกมือเรายังไม่ว่างหรือไม่สะดวกในการแตะรับสาย ฟีเจอร์ Double Tap ใหม่นี้จะช่วยให้เรารับสายได้ เพียงแตะนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเข้าด้วยกัน 2 ครั้งเท่านั้น

เวลามีนาฬิกาปลุกเข้ามาก็ยังสามารถแตะ 2 ครั้งเพื่อเลื่อนปลุก ก็ทำได้เหมือนกัน แต่ตรงนี้ต้องบอกว่าการแตะ 2 ครั้งจะเป็นการสั่งงานปุ่มหลักที่แสดงขึ้นมาบนหน้าจอเท่านั้น เช่นเวลามีนาฬิกาปลุกก็จะมีปุ่มเลื่อนปลุกให้เลือก ถ้าเราแตะ 2 ครั้งก็จะเป็นสั่งงานเลื่อนปลุกนั่นเอง

หรือเราจะเลือกประยุกต์ใช้กับการเลื่อนเพลงในแอป Apple Music, Spotify แอปกล้องที่สั่งงานผ่าน Apple Watch ใช้การแตะ 2 ครั้งเพื่อลั่นชัตเตอร์ก็ได้ด้วย เป็นฟีเจอร์ที่เสริมให้เราใช้งานได้สะดวกขึ้นเวลาอีกมือไม่ว่างนั่นเองเนาะ

ทั้งนี้ต้องบอกก่อนว่าฟีเจอร์ Double Tap หรือแตะ 2 ครั้งนี้ยังมีให้ใช้งานบนแอปของ Apple Watch ไม่เยอะนัก อาทิ เครื่องเล่นเพลง, โทรศัพท์, นาฬิกาปลุก, ตอบข้อความ, หรือเลื่อนดู Widget เท่านั้น และ ณ ตอนที่เรารีวิวฟีเจอร์นี้ยังจำกัดอยู่ที่ซอฟต์แวร์ WatchOS 10.1 เวอร์ชั่น Beta ก่อน เวอร์ชั่นเต็มจะตามมาในเร็ว ๆ นี้ครับ

ติดตาม iPhone ได้แม่นขึ้นด้วยชิป UWB รุ่นที่ 2
นอกจากนี้สเปคภายในของ Apple Watch Series 9 จะมีการอัปเกรดชิป UWB ใหม่เป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งเพิ่มความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ทำให้เวลาเราใช้ฟีเจอร์ตามหา iPhone นั้นบน Watch จะระบุตำแหน่งที่ตั้งจริงของ iPhone ได้เลย แถมยังสามารถบอกทิศทางและระยะห่างคร่าว ๆ เมื่ออยู่ใกล้ ๆ จะตอบสนองทั้งการสั่นและแจ้งเตือนได้ด้วย

ฟีเจอร์หลัก ๆ ของ Apple Watch ยังอยู่ครบ
ส่วนเรื่องการปรับแต่งพื้นฐานของ Apple Watch บน Series 9 ก็ยังมีมาให้ครบเหมือนเดิมทั้ง การปรับแต่ง Watch Faces ซึ่งมีให้เลือกเพียบหรือจะเปลี่ยนสีปรับรูปแบบ Font แบบเบื้องต้นก็ทำได้ผ่านข้อมือเลย หรือจะเลือกเพิ่มเติมบน iPhone ก็ได้เช่นกัน

ฟีเจอร์สุขภาพ ออกกำลังกายมีหมด
เช่นเดียวกับฟีเจอร์ด้านสุขภาพ Apple Watch Series 9 ยังคงรองรับการตรวจจับสุขภาพของเราอย่างครบถ้วนทั้ง วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดออกซิเจนในเลือด, ตรวจจับการนอนหลับ, บันทึกสภาวะจิตใจ หรือสำหรับสาว ๆ ก็มีฟีเจอร์ติดตามรอบเดือนมาให้ด้วย

หรือจะเป็นฟีเจอร์ Crash Detection ตรวจจับการชนกันตรวจจับการล้มหากเกิดอุบัติเหตุตัว Watch จะโทรหาเบอร์ฉุกเฉินที่ตั้งไว้พร้อมแชร์ตำแหน่งเพื่อที่จะได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีเหมือนเดิม

ในเรื่องการออกกำลังกาย Apple Watch Series 9 ก็รองรับครบ ตั้งแต่พื้นฐานอย่างการเดิน, วิ่ง ไปจนถึงการออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและ HIIT ไปจนถึงการว่ายน้ำเลย เพราะตัว Apple Watch Series 9 เองก็มีมาตรฐานกันน้ำระดับ 50 เมตรมาเลยด้วย

หรือจะเป็นฟีเจอร์ Live Activities (กิจกรรมสด) ที่รอบนี้จะมีฟีเจอร์ปั่นจักรยานที่แสดงผลได้เพิ่มเติมบน iPhone โดยอัตโนมัติ เพียงแค่แตะก็จะแสดงผลขึ้นมาแบบเต็มหน้าจอเพื่อให้ดูค่าวัดต่าง ๆ ได้ง่าย ๆในระหว่างที่ปั่นนั่นเอง

แบตเตอรี่เท่าเดิม ใช้งานได้ 18 ชม.ต่อการชาร์จ
ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ Apple Watch Series 9 ยังรองรับการใช้งานได้ถึง 18 ชม. เท่าเดิม หมายความว่าเราสามารถใช้งานทั่วไปได้ประมาณวันครึ่งเหมือนเดิม ใครที่ใช้งานแบบต่อเนื่องก็เท่ากับว่าต้องชาร์จกันทุกคืนอยู่ดี แอบน่าเสียดายนิดหน่อยที่เรื่องแบตเตอรี่ยังไม่อัปเกรดให้ใช้งานได้นานขึ้นเท่าไหร่ แต่ Apple ก็มีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Low Power mode มาให้ด้วย ช่วยยืดอายุแบตฯได้สูงสุด 36 ชม.เลยครับ

Apple Watch Series 9 ราคาเริ่มต้น 15,900 บาท
Apple Watch Series 9 เปิดราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาทเท่าเดิม มีตัวเลือกให้เลือกมีตัวเรือนให้เลือก 2 แบบคืออะลูมิเนียมและสแตนเลสสตีลใน 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 41 มม. และ 45 มม. และสามารถใช้ได้กับสายทั้งหมด ตัวเรือนอะลูมิเนียมสำหรับ Apple Watch Series 9 มาใน 4 ตัวเลือกสีคือ สีมิดไนท์ (สีที่รีวิว), สีสตาร์ไลท์, สีเงิน, สีแดง (PRODUCT)RED และสีใหม่สีชมพูในขณะที่ตัวเรือนสแตนเลสสตีลมาในสีเงิน สีกราไฟต์ และสีทองเหมือนเดิมครับผม

สรุปแล้ว “นี่คือ Apple Watch ที่เพิ่มความสามารถใหม่ แต่หน้าตาเก่า”
สรุปแล้ว Apple Watch Series 9 ก็ถือเป็นการอัปเกรดบางจุดขึ้นมาจากรุ่นก่อนอีกปี โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนภายนอกอย่างเห็นได้ชัดเลย เพราะยังมาในดีไซน์ทรงเดิม ปุ่มกดตำแหน่งเดิม ฟิลลิ่งตอนสวมใส่คล้ายเดิม จุดที่อัปเกรดขึ้นมาจะมีหน้าจอที่สว่างขึ้น 2 เท่า, ชิปเซ็ตใหม่ที่แรงขึ้นถึง 60% ทำให้ใช้งานฟีเจอร์ใหม่อย่าง Double Tap ช่วยให้เราใช้งานบางอย่างได้สะดวกขึ้นในมือเดียว และก็ความรักษ์โลกมากขึ้นด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิล 100% เท่านั้น ซึ่งเรามองว่าการอัปเกรดในปีนี้ไม่ได้ดึงดูดผู้ใช้รุ่นก่อนอย่าง Series 8 หรือ Series 7 มากเท่าที่ควร ไม่ได้มีแบตฯที่อึดขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด หรือรูปลักษณ์ใหม่ให้ชวนตื่นเต้น แต่เรากลับมองว่าการอัปเกรดเล็ก ๆ นี้อาจดึงดูดผู้ที่ใช้ Apple Watch รุ่นเก่ากว่านั้นได้หรือใครที่ไม่เคยมี Apple Watch มาก่อนแต่ก็มีเล็ง ๆ อยู่บ้าง เพราะถ้ามาเริ่มที่รุ่นนี้เลย ก็คงได้ประสบการณ์จาก Apple Watch อย่างครบถ้วนอยู่ไม่น้อยล่ะครับ!
