Smart Review
รีวิว Apple Watch Ultra ขั้นสุดของความสมบุกสมบันและมากความสามารถบน Apple Watch เท่าที่เคยมีมา!
รีวิว Apple Watch Ultra สมาร์ทวอทช์รุ่นท็อปสุดของ Apple ในปีนี้ อัปเกรดขึ้นทุกด้านทั้งดีไซน์กับตัวเรือนขนาดใหญ่ 49 มม., วัสดุไทเทเนียม, GPS แบบสองคลื่นความถี่ที่แม่นยำ, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุด 36 ชม. พร้อมทั้งความสามารถอื่น ๆ อีกเพียบ ยกระดับจนถึงขีดสุดจนได้ชื่อตามท้ายว่า “Ultra” กันเลยล่ะ จะน่าสนใจแค่ไหน วันนี้เรารีวิวให้ชมเต็ม ๆ ติดตามกันเลยครับ!
สรุปสเปค Apple Watch Ultra
- ขนาดตัวเรือน : 49 x 44 x 14.4 มม.
- น้ำหนัก : 61.3 กรัม
- หน้าจอแสดงผล LTPO OLED Retina แบบติดตลอดขนาด 49 มม. ความละเอียด 410 x 502 พิกเซล ความสว่างสูงสุด 2,000 นิต
- หน่วยประมวลผล : Apple S8 Dual‑core 64 บิต พร้อมชิพระบบไร้สาย W3
- ความจุ : 32GB
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.3, WiFi 802.11b/g/n 2.4GHz และ 5GHz | LTE/UMTS6
(รุ่น GPS + Cellular) - เซ็นเซอร์
- เซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด
- เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคอล รุ่นที่ 3
- เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิน้ำ
- อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบแรง g สูง (ตรวจจับการล้มและการตรวจจับการชนกัน)
- มาตรวัดความสูงแบบทํางานตลอด
- ตัววัดความลึก
- GPS ย่าน L1 และ L5, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou
- เข็มทิศ
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบ
- ลำโพงคู่
- แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนใช้งานได้สูงสุด 36 ชั่วโมง
- มีมาตรฐานกันน้ำลึก 100 เมตร (พร้อมสำหรับการดำน้ำถึง 40 เมตร)
- ระบบปฏิบัติการ WatchOS 9
แกะกล่อง Apple Watch Ultra
ก่อนอื่นเรามาแกะกล่องดูอุปกรณ์กันก่อนดีกว่าเนาะ ด้วยความที่เป็นรุ่น “Ultra” ก็เลยจัดกล่องแบบใหญ่กว่ารุ่นปกติชัดเจนเลย ที่ด้านหน้ายังมีระบุว่า Apple Watch เหมือนเดิม
เปิดกล่องออกมาจะเจอกับกล่องตัวเรือนและสาย พร้อมแคตตาล็อกแนะนำของ Apple Watch ในสายรูปแบบต่าง ๆ เหมือนเป็นการแนะนำเพิ่มเติมในส่วนของกลุ่มเป้าหมายของรุ่น Ultra มากกว่าเดิมนั่นเองครับ
เปิดกล่องของตัวเรือนเราจะเจอกับ Apple Watch Ultra อยู่ในซองอย่างดีและอีกฝั่งจะเป็นสายชาร์จที่รอบนี้ให้เป็นสายถักมาเลย หรูหราสมกับเป็นรุ่น Ultra น่ะนะ
ส่วนกล่องที่เป็นสายก็มีสายอยู่ภายในพร้อมเอกสารคู่มือเล็กน้อย สาย Trail Loop จะเป็นไนลอนถักที่มีความอ่อนนุ่มใช้ได้เลย สีที่เราได้มาก็เป็นสีเหลือง-เบจครับ
นอกจากนี้เรายังมีสาย Alpine Loop ที่เป็นสีเอกลักษณ์ของ Apple Watch Ultra มาด้วย วัสดุจะทำมาจากผ้าสองชั้นที่นำมาถักทอเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเนื้อเดียวแบบไร้ตะเข็บ แปลกตาจากสายรุ่นก่อน ๆ พอสมควรเลยล่ะ
เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ในกล่องของ Apple Watch Ultra ก็จะคล้ายกับ Apple Watch Series 8 เพียงแต่เปลี่ยนที่ชาร์จเป็นสายถักและมีแคตตาล็อกเพิ่มเข้ามาในขนาดกล่องที่ใหญ่ขึ้นนั่นเองครับ
ดีไซน์ใหม่หมด สมบุกสมบันขึ้นอย่างชัดเจน
ได้เวลามาชมดีไซน์ตัวเรือนของ Apple Watch Ultra แบบชัด ๆ กันแล้วครับอย่างที่บอกว่ารุ่นนี้คือการอัปเกรดครั้งใหญ่ Apple เลือกใส่คำว่า Ultra เข้าไปเพื่อให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายที่เน้นในเรื่องการผจญภัยมากขึ้น ดีไซน์จึงออกไปทางสมบุกสมบันกว่าเดิม ไม่ได้เน้นเรียบง่ายเหมือน Apple Watch Series 8 แล้วครับ
ตัวเรือนก็อัปเกรดเป็นไทเทเนียมแล้ว มีความหนาที่เพิ่มขึ้นอยู่พอสมควร ให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งและบึกบึนขึ้นมาอย่างชัดเจน สีสันก็เป็นสีธรรมชาติของไทเทเนียมเลย ตัวเลือกของ Apple Watch Ultra จะไม่เยอะเท่ากับรุ่นปกติที่มีหลากหลายสี หลายวัสดุเนาะ
มุมขวานูนขึ้นมาอีกพร้อมวงแหวนสีส้มเฉพาะ Ultra
ที่ปุ่มกดด้านข้างก็มีการปรับดีไซน์เล็กน้อยด้านขวามือจะมีมุมที่ยื่นขึ้นมาจนเท่าปุ่มกดพร้อม Digital Crown ที่ใหญ่ขึ้นและปุ่มด้านข้างที่ยกสูงกว่าตัวเรือน ช่วยให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้นแม้ใส่ถุงมือ วงแหวนบน Digital Crown ที่สื่อว่ารุ่นนี้รองรับ Cellular ยังมีเหมือนเดิม แต่ความเป็น Ultra สีที่ใช้จะเป็นสีส้มแทนสีแดงที่เราเห็นบน Apple Watch Series 8 ครับ
นอกจากนี้ที่มุมขวานี้ยังมีการเพิ่มไมโครโฟนเข้ามาอีกหนึ่งตัวทำให้รวมแล้วเป็น 3 ตัวการรับเสียง เวลาใช้งานคุยโทรศัพท์โดยตรงจากข้อมือ คู่สนทนาก็จะได้ยินเสียงที่ชัดเจนมากขึ้นไปอีกครับ
ปุ่ม Action ใหม่ เข้าถึงการใช้งานได้แบบทันที
นอกจากปุ่มกดมาตรฐาน 2 ปุ่มทางฝั่งขวาแล้วรอบนี้ Apple เพิ่มปุ่มพิเศษ “ปุ่ม Action” เข้ามาด้วย ช่วยให้เราเข้าถึงการใช้งานได้แบบด่วน ๆ อย่างในค่าเริ่มต้นระบบจะตั้งมาเป็นปุ่มออกกกำลังกาย ใครที่ใช้งานบ่อย ๆ ก็ไม่ต้องเข้าไปหาในหน้ารวมแอปแล้ว กดปุ่มเดียวเจอเลย
หรือจะตั้งค่าเป็นทางลัดอื่น ๆ ก็ได้ เช่นตั้งเป็น นาฬิกาจับเวลา, สร้าง Waypoint, เริ่มการใช้งาน Backtrack, เปิดฟีเจอร์ดำน้ำ, เปิดไฟฉาย หรือใช้ทางลัดที่เราตั้งไว้ในแอป Shortcuts บน iPhone ก็ได้เช่นกันครับ
ตัวเรือนขนาด 49 มม. จอใหญ่เต็มตา
ที่หน้าจอจะปรับเป็นแบบแบนราบไปเลย ตัวเรือนก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 49 มม.เรียกว่าเต็มตาขึ้นมากทีเดียว พวก Watch Face ที่รายละเอียดเยอะ ๆ พอมาอยู่บนหน้าจอระดับนี้ก็มองเห็นได้ครบถ้วน
ฟีเจอร์พื้นฐานอย่างหน้าจอติดตลอดหรือ Always On Display มาด้วยก็มีมาให้ใช้งานเหมือนเดิม รายละเอียดครบถ้วนไม่ต้องปลุกจอให้ติดเต็ม ๆ ก็ดูรายละเอียดได้ครบ
แต่อีกจุดที่เราชอบบน Apple Watch Ultra มาก ๆ ก็คือความสว่างหน้าจอที่ทำได้เยอะกว่ารุ่นก่อน ๆ ถึงเท่าตัว สามารถดันความสว่างสูงสุดได้ที่ 2000 nits มากเทียบเท่า iPhone 14 Pro เลยทีเดียวครับ ใช้งานกลางแจ้งนี่ไม่ต้องห่วงเลย แม้จะเจอแดดแรงช่วงเที่ยงของบ้านเราก็ไม่หวั่นเลยครับ
ในเรื่องความทนทานหน้าจอของ Apple Watch Ultra ใช้กระจก Sapphire ที่ทนทานสูงที่สุด ให้เราใช้งานได้อย่างเต็มที่ ให้ความแกร่งที่มากกว่าไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรมาทำให้หน้าจอเป็นรอยได้ง่าย ๆ ครับ
ขนาดและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
อย่างที่เห็น Apple Watch Ultra มาพร้อมบอดี้ไทเทเนียมพร้อมตัวเรือนที่บึกบึนขึ้นอย่างชัดเจน แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือขนาดและน้ำหนักที่มากขึ้นด้วย ความหนาจะเพิ่มขึ้นเกือบ 4 มม.และน้ำหนักเพิ่มขึ้น 22.2 กรัมเมื่อเทียบกับ Apple Wacth Series 8 เยอะพอสมควรเลย หากใครที่ชินกับน้ำหนัก Apple Watch รุ่นมาตรฐาน มาเจอรุ่นนี้คงต้องปรับตัวกันหน่อยครับ
ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายที่ข้อมือเล็ก ๆ ช่วงแรกคงรู้สึกถึงความมหึมาที่ล้นข้อมือออกมาพอสมควรเลยล่ะครับ
เซ็นเซอร์ตรวจจับครบ
ในเรื่องเซ็นเซอร์การตรวจจับ Apple Watch Ultra ก็ให้มาครบที่ด้านหลัง ฝาหลังเป็นเซรามิกและคริสตัลที่มีเซ็นเซอร์ต่าง ๆ กลุ่มไฟ LED จํานวน 4 ดวง ทั้งสีเขียว สีแดงและอินฟราเรด รวมถึงโฟโต้ไดโอด 4 ตัว สำหรับตรวจวัดสัญญาณไฟฟ้าจากหัวใจเมื่อใช้กับแอปอัตราการเต้นของหัวใจหรือแอป ECG และต้องวางนิ้วบน Digital Crown เพื่อตรวจจับคลื่นไฟฟ้าด้วย
สาย Alpine Loop ใส่สบาย สมบุกสมบันขั้นสุด
อย่างที่บอกว่ารุ่นที่เราได้มารีวิวนั้นมาพร้อมสาย Trail Loop ก็เหมาะกับสายวิ่งที่มีสายสีเหลือง-เบจ แต่เราก็ยังมีสาย Alpine Loop สีส้มมาด้วย แอบเข้ากับบอดี้ตัวเรือนมากกว่าและยังเป็นรูปแบบสายใหม่ด้วย เลยใส่ติดมาตลอดรีวิวเลย ความพิเศษของสายนี้คือทำมาจากผ้าสองชั้นที่นำมาถักทอเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเนื้อเดียวแบบไร้ตะเข็บ ดูสวยและมอบสัมผัสที่ดีเวลาสวมใส่ไม่น้อยครับ
ตัวตะขอก็เป็นวัดสุไทเทเนียมรูปตัว G ที่ช่วยให้สายแน่นกระชับเมื่อคล้องเข้าหากันนี่แน่กระชับ เหมาะจะลุยได้อย่างสมบุกสมบันตามที่โปรโมทไว้จริง ๆ ครับ
สาย Trail Loop เบา บาง ยืดหยุ่นสำหรับสายวิ่ง
ส่วนสาย Trail Loop เท่าที่เราลองก็จะเป็นสายที่น้ำหนักเบา ยืดหยุ่นได้ดี เหมาะกับสายวิ่งที่ต้องใส่ติดข้อมือตลอดปรับระดับได้ง่ายครับเป็นตีนตุ๊กแกดึงมาแปะได้เลย
แกร่งจริงในทุกด้าน
ในเรื่องความทนทานนอกจากบอดี้ไทเทเนียม กระจกหน้าจอ Sapphire แล้ว ยังรองรับมาตรฐานการทนฝุ่นระดับ IP6X ซึ่งเป็นระดับการป้องกันฝุ่นสูงสุด ทนต่อฝุ่นและอนุภาคต่าง ๆ ได้อย่างดี และยังมีกันน้ำระดับ 100 เมตรมาตรฐาน ISO 22810 จะล้างด้วยน้ำสะอาด ใส่ลงสระว่ายนํ้า หรือทะเลก็หายห่วงครับ หรือถ้าจะใช้ในการดำน้ำเลย Apple ก็แนะนำว่าสามารถใช้ดำน้ำได้ที่ระดับ 40 เมตรสูงสุดเลยด้วย ใครที่เป็นสาย Extreme ชอบดำน้ำลึก ๆ ถูกใจไปอีก!
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ก็ต้องบอกว่า Apple Watch Ultra นั้นคือความใหม่หมดอย่างแท้จริง เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Apple Watch ตัวบาง เรียบหรูไปหมด รอบนี้มาในรูปแบบที่สมบุกสมบัน เน้นการใช้งานแบบลุยกว่าเดิม ไม่ใช่แค่การออกกำลังกายทั่วไปแล้ว วัสดุและงานประกอบเลยดุดันขึ้นตั้งแต่หน้าจอแบนราบ บอดี้หนาขึ้น รวมถึงสายใหม่ Alpine Loop ที่ช่วยในการผจญภัยได้มากขึ้นไปอีก
เชื่อมต่อกันง่ายตามสไตล์ Apple Ecosystem
Apple Watch Ultra รองรับกับ iPhone ที่รัน iOS 16 ขึ้นไป (iPhone 8 ขึ้นไป) เหมือนกับ Apple Watch Series 8 เพราะฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone รุ่นเก่ากว่านั้นอาจจะต้องพิจารณาในเรื่องนี้สักหน่อยเนาะ ในเรื่องการเชื่อมต่อก็สไตล์ Apple Ecosystem ครับคือแค่เปิดเครื่องมาแล้วนำมาใกล้ ๆ กับ iPhone ที่จะเชื่อมต่อก็จะมี Pop-Up ขึ้นมาทันที
มาพร้อม WatchOS 9 เวอร์ชั่นล่าสุด
ในเรื่องซอฟต์แวร์ Apple Watch Ultra มาพร้อมกับ WatchOS 9 ก็เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่ Apple ปล่อยออกมาแล้ว มีลูกเล่นและฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาหลายอย่างและปรับจูนมาให้ใช้งานได้เป็นอย่างดีบนรุ่นใหม่แบบนี้ด้วยครับ
ประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลแบบ Apple Watch
ในเรื่องการใช้งาน Apple Watch Ultra ก็ออกแบบมาคล้ายกับ Apple Watch Series 8 หรือรุ่นอื่น ๆ ทุกประการ ควบคุมด้วยการสัมผัสที่หน้าจอกับปุ่มกดที่ด้านข้าง แต่รอบนี้มีเพิ่มปุ่ม Action เข้ามาอย่างที่บอกไป ทำให้เข้าถึงการสั่งงานบางอย่างได้รวดเร็วขึ้น และตัว UI ก็มีความลื่นไหลในแบบ Apple มาก ๆ ไม่ว่าจะเลื่อนหน้าจอไป-มา ปรับการตั้งค่าต่าง ๆ
ปรับแต่งได้หลากหลายทั้งจาก Watch เองหรือจากบน iPhone ในเรื่องการปรับแต่ง Apple Watch ขึ้นชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว เราสามารถเลือกปรับแต่ง Watch Faces ได้จากบนข้อมือเองเลย มี Watch Face ให้เลือกเพียบหรือจะเปลี่ยนสีปรับ Font แบบเบื้องต้นก็ทำได้
เซ็นเซอร์ตรวจจับครบ ออกกำลังกาย เช็กสุขภาพ อุบัติเหตุ ได้หมด
Apple Watch Ultra มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ที่ครบครัน ทั้ง Heart Rate Sensor ที่ช่วยอัตราการเต้นของหัวใจได้อย่างแม่นยำ มีการแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วหรือช้าผิดปกติ, หรือจะเป็นการวัดออกซิเจนในเลือดแบบรุ่นก่อนก็ยังมีให้ใช้งานด้วยครับ
นอกจากนี้ในรอบนี้ Apple ยังเพิ่มเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิผิวหนังใหม่ซึ่งที่จะติดตามอุณหภูมิของเราในขณะนอนหลับรวมไปถึงการติดตามรอบเดือนของสาว ๆ ได้อย่างแม่นยำเพื่อใช้ข้อมูลนี้ในการคาดคะเนช่วงเวลาไข่ตกจากข้อมูลย้อนหลัง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับการวางแผนครอบครัว และเมื่อนำไปรวมกับอัตราการเต้นของหัวใจและข้อมูลรอบเดือนที่บันทึกไว้ เราก็จะเห็นข้อมูลเกี่ยวกับรอบเดือนของตัวเองในแบบที่ละเอียดยิ่งขึ้น
หรือจะเป็นฟีเจอร์ Crash Detection ตรวจจับการชนกันแบบเดียวกับที่เห็นบน iPhone 14 บน Apple Watch Ultra ก็มีฟีเจอร์นี้มาให้ด้วย หากเกิดอุบัติเหตุตัว Watch จะโทรหาเบอร์ฉุกเฉินที่ตั้งไว้พร้อมแชร์ตำแหน่งเพื่อที่จะได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
เข็มทิศที่แม่นยำมากขึ้นพร้อม GPS ย่าน L1 กับ L5
ประสิทธิภาพของ GPS มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักกีฬาที่ต้องการค่าวัดที่มีความแม่นยำสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมบนถนนในเมืองหรือในป่า และ Apple Watch Ultra ก็มาพร้อมระบบ GPS ใหม่แบบสองคลื่นความถี่ L1 และ L5 ที่แม่นยำ ซึ่งสามารถระบุตำแหน่งได้อย่างถูกต้องแม่นยำที่สุด
และด้วยความที่ตำแหน่งแม่นยำยิ่งขึ้น แอปเข็มทิศก็สามารถแสดงมุมมองมากขึ้นใน 3 มุมมองที่แตกต่างกัน แอปสามารถแสดงมุมมองแบบผสมที่แสดงทั้งหน้าปัดเข็มทิศแบบอนาล็อกพร้อม ๆ กับมุมมองแบบดิจิทัลได้ เมื่อหมุน Digital Crown เราจะเห็นมุมมองอื่น ๆ เพิ่มเติมที่แสดงละติจูด ลองจิจูด ระดับความสูง และความชัน รวมทั้งมุมมองสำหรับการใช้เข็มทิศนำทางที่แสดงจุดอ้างอิงเข็มทิศและการติดตามการเดิน นอกจากนี้เรายังรติดตามการเดินจะใช้ข้อมูล GPS เพื่อสร้างเส้นทางที่เราเดินผ่านมา ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่หลงทิศหรือหลงทาง และต้องการความช่วยเหลือในการเดินย้อนกลับเส้นทางเดิมได้ด้วย
การออกกำลังกายที่แม่นยำยิ่งขึ้น
ในฟีเจอร์การออกกำลังกาย Apple Watch Ultra สามารถตรวจจับข้อมูลเชิงลึกที่ถูกต้องแม่นยำด้วยแอปออกกำลังกายที่อัปเดตมาพร้อมค่าวัดและมุมมองใหม่ ๆ ที่จะแสดงข้อมูลทุกอย่างแบบละเอียด เพื่อให้เราทำได้ดีที่สุดและดียิ่งกว่าที่เคยทำได้ ส่วนจอภาพที่ใหญ่ขึ้นก็ช่วยให้คุณมองเห็นค่าต่างๆ สูงสุดถึง 6 ค่าพร้อมกันอีกด้วยครับ
ชิปเซ็ตใหม่พร้อมการเชื่อมต่อที่อัปเกรด
Apple Watch Ultra มาพร้อมชิป SiP รุ่นใหม่ S8 แบบ Dual–core 64 บิต พร้อมชิประบบไร้สาย W3 และชิป U1 (Ultra Wideband) ช่วยให้ทำงานต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้นไปอีก นอกจากนี้ในเรื่องการเชื่อมต่อรุ่นนี้ยังอัปเกรด Bluetooth เป็นเวอร์ชั่น 5.3 เรียบร้อย ถ้าเชื่อมต่อกับ iPhone 14 Series ที่ใช้ Bluetooth 5.3 เหมือนกันก็ทำให้การเชื่อมต่อสเถียรและประหยักพลังงานขึ้นไปอีก
แบตเตอรี่ที่อึดขึ้นอย่างน่าพอใจ ใช้งานได้นาน 36 ชม.
ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ Apple Watch Ultra รองรับการใช้งานสูงสุด 36 ชม.ในการใช้งานปกติ เยอะขึ้นกว่ารุ่นปกติอีกเท่าตัว เท่าที่เราลองใช้งานทั่วไปก็ถือว่าอึดขึ้นจริง ถ้าใส่ใช้งานทั่วไป ซิงค์กับ iPhone ตลอด มีรับแจ้งเตือนบ้าง ตรวจจับการเดินต่าง ๆ ก็ถือว่าใช้งานได้ 2 วันเต็มได้สบาย ๆ หรือถ้าใช้งานไม่นักมาก ใส่แค่ช่วงเวลาทำงานก็อาจจะลากได้ถึง 3 วันได้ด้วยซ้ำ ตรงนี้ถือว่าตอบโจทย์คนที่ต้องการใช้งานนานหน่อย ไม่อยากใช้แล้วชาร์จทุกวันขึ้นอีกครับ
ราคา 31,900 บาท มีสายให้เลือก 3 ประเภท
สำหรับราคาของ Apple Watch Ultra ก็เปิดมาที่ 31,900 บาท มีให้เลือกวัสดุเดียวตัวเรือนไทเทเนียม โมเดล Cellular อย่างเดียว แต่จะมีตัวเลือกให้เลือกเป็นสายที่ออกแบบมาเฉพาะกีฬาในแต่ละประเภทประกอบด้วย
- Alpine Loop (สายที่เรารีวิว) สำหรับนักผจญภัย Outdoor
- Trail Loop สำหรับนักวิ่งหรือนักกีฬาที่เน้นความทนทานของร่างกาย
- Ocean Loop สำหรับกีฬาเอ็กซ์ตรีมทางน้ำและการดำน้ำเชิงนันทนาการ
สรุปแล้ว “นี่คือ Apple Watch ตัวท็อปขั้นสุดของความสมบุกสมบันทั้งฟีเจอร์และความแข็งแกร่ง”
สรุปแล้ว Apple Watch Ultra ก็ถือเป็นรุ่นท็อปสุดใหม่ที่อัปเกรดมาให้สุดทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่มอบความแข็งแกร่งที่สุดด้วยตัวเรือนไทเทเนียม กระจก Sapphire หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นระดับ 49 มม.และความสว่างสูงสุดที่ 2000 nits เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปจนถึงการลุยในที่กลางแจ้งอย่างมาก แถมยังตอบโจทย์ใครที่ชอบกีฬา Extreme ขั้นสุดไม่ว่าจะเป็นการกันน้ำที่มากขึ้น มีโหมดดำน้ำโดยเฉพาะ หรือจะเป็นสายวิ่ง สายกีฬา Outdoor ต่าง ๆ ก็ลงตัว อีกทั้งยังใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิม 2 – 3 วันชาร์จหนึ่งครั้งก็เอาอยู่ เรียกว่าเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ของ Apple Watch ที่สมกับคำว่า Ultra จริง ๆ ครับ!