Connect with us

ข่าวประชาสัมพันธ์

ถึงเวลาเร่งอัพเกรด เลี่ยงความเสี่ยง ก่อนสิ้นยุค Windows Server 2003

Published

on

บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจระดับโลก  แนะ ถึงเวลาเร่งอัพเกรด เลี่ยงความเสี่ยง ก่อนสิ้นยุควินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 โดย แอนโธนี สตีเวนส์ ประธานบริหารฝ่ายสารสนเทศ บริษัท เคพีเอ็มจี ออสเตรเลีย

แอนโธนี สตีเวนส์

แอนโธนี สตีเวนส์

กรุงเทพฯ  20 มีนาคม 2558 – เมื่อปีที่แล้ว คนทำงานในแวดวงไอทีคงได้ยินประกาศจากไมโครซอฟท์ถึงการที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 จะสิ้นสุดระยะเวลาการสนับสนุนลงในวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 หรือในอีกร้อยกว่าวันเท่านั้นนับจากนี้

windows server 2003แต่ในทางกลับกัน  องค์กรต่างๆ ทั่วโลกกลับยังใช้งานโอเอสเก่าแก่ตัวนี้กับเซิร์ฟเวอร์ถึง 11.9 ล้านเครื่อง และถ้านับรวมระบบเซิร์ฟเวอร์เสมือนที่ทำงานอยู่ด้วยกันบนคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ยอดการใช้งานวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 อาจจะสูงถึง 23.8 ล้านเครื่อง[1]  ส่วนข้อมูลจากสไปซ์เวิร์คส์ เครือข่ายผู้ชำนาญการด้านไอทีจากทั่วโลกที่มีสมาชิกกว่า 5 ล้านคน ระบุว่าในเดือนมิถุนายน2557 ราว 64.5% ของบริษัทสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงใช้งานวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 อยู่[2]

ทำไมวงการไอทีที่ขึ้นชื่อว่าเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาถึงยังยึดติดกับโอเอสที่มีอายุเกือบจะ 12 ปี ?

หลายคนคงมองว่า ถ้าของยังไม่เสีย ก็ไม่ควรจะเปลี่ยน เพราะหลายๆ องค์กรยังคงใช้งานวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 เป็นระบบปฏิบัติการหลักในโครงสร้างระบบไอที รองรับทั้งอีเมลและบริการต่างๆ มากมายที่พนักงานต้องใช้อยู่ทุกวัน

แต่วินโดวส์รุ่นนี้ เป็นโอเอสที่มาจากยุคที่โทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ยังไม่มีกล้องถ่ายรูปใช้กันด้วยซ้ำ ลองนึกย้อนกลับไปดูว่า 12 ปีที่แล้ว คุณใช้โทรศัพท์รุ่นอะไรอยู่ แล้วถ้าตอนนี้ คุณต้องกลับไปใช้โทรศัพท์รุ่นนั้นเป็นเครื่องหลักในชีวิตประจำวัน จะลำบากขนาดไหน

เช่นเดียวกัน วินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 พัฒนาขึ้นในสภาพแวดล้อมด้านไอทีที่แตกต่างจากโลกของเราในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง โอเอสตัวนี้จึงไม่สามารถรองรับการใช้งานในสภาวะปัจจุบันได้อีกแล้ว

นอกจากเรื่องของความล้าสมัยแล้ว การใช้งานซอฟต์แวร์ที่พ้นระยะการสนับสนุนแล้วยังสร้างความเสี่ยงให้กับองค์กรอีกด้วย เพราะว่าหลังจากวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ จะไม่มีการอัพเดทวินโดวส์รุ่นนี้ให้รองรับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ ส่วนช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจตกค้างอยู่ก็จะไม่ได้รับการแก้ไขอีกแล้ว นั่นหมายความว่าระบบเซิร์ฟเวอร์ที่ยังใช้วินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 อยู่ อาจจะต้องเจอกับปัญหาด้านเสถียรภาพของระบบ หรือตกเป็นเป้าให้อาชญากรไซเบอร์จู่โจมได้

ในเมื่อมีปัญหามากขนาดนี้ บรรดากฎข้อบังคับหรือมาตรฐานทางอุตสาหกรรมต่างๆ เช่นมาตรฐาน PCI Data Security สำหรับการใช้งานบัตรเครดิต หรือมาตรฐาน HIPAA ในวงการสาธารณสุข ย่อมไม่รับรองระบบเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งานโอเอสตกรุ่นแบบนี้ และองค์กรที่ยังยืนยันจะใช้งานซอฟต์แวร์เก่าต่อไปอาจจะต้องสูญเสียความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้าหรือเครือข่ายพันธมิตร เพราะคงไม่มีองค์กรไหนที่อยากแบกรับความเสี่ยงทั้งหมดนี้ไว้โดยไม่จำเป็น

ยิ่งไม่ขยับ ยิ่งล้าสมัย

จริงอยู่ที่การใช้งานวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 ต่อไป จะช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการอัพเกรด แต่การประหยัดงบแบบนี้ไม่คุ้มค่าเลยเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ตามมา ในทางกลับกัน ผมเชื่อว่าผู้บริหารระดับ CIO ทุกท่านควรจะใช้โอกาสนี้ในการลงทุนอัพเกรดระบบไอทีขององค์กรให้ทันสมัย พร้อมรับมือกับความต้องการของผู้ใช้ในโลกยุค “mobile-first, cloud-first”

แต่จากการพูดคุยเพื่อนร่วมสาขาอาชีพในหลายๆ ประเทศ พบว่าผู้บริหารหลายท่านยังประเมินความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมา ภายหลังจากการสิ้นสุดการสนับสนุนระบบวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 ไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก

โดยปกติแล้ว การประเมินความเสี่ยงด้านไอทีจะใช้ต้องพิจารณาทั้งภัยอันตราย จุดอ่อนของระบบ และผลกระทบที่อาจเกิดต่อสินทรัพย์ขององค์กร

ซึ่งเรื่องหลังสุดนี้สำคัญมาก เพราะวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ ปัญหาที่เกิดจากโอเอสตัวนี้จึงมีผลกระทบที่กว้างขวางกว่าในกรณีของวินโดวส์ เอ็กซ์พี ซึ่งใช้งานกับคอมพิวเตอร์ทั่วไปเท่านั้น และแน่นอนว่าจุดอ่อนของระบบจะเพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อไมโครซอฟท์ยุติการสนับสนุนลง

นอกจากเรื่องของการประเมินความเสี่ยงแล้ว บางองค์กรยังประเมินระยะเวลาที่ใช้ในการอัพเกรดระบบไว้สั้นเกินไป โดยส่วนใหญ่แล้ว การถ่ายโอนระบบทั้งองค์กรไปใช้โอเอสตัวใหม่จะใช้เวลาราว 200-300 วัน ซึ่งหมายความว่าองค์กรที่ยังไม่เริ่มเดินหน้าอัพเกรดระบบในวันนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเปลี่ยนโอเอสไม่ทันวันยุติการสนับสนุน

เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว ผมแนะนำให้ทุกองค์กรเร่งเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างระบบไอทีด้วยกลยุทธ์ระยะยาว โดยเริ่มต้นก้าวแรกด้วยการอัพเกรดไปใช้งานโอเอสที่ทันสมัยกว่าวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2003 นอกจากการอัพเกรดจะสามารถกำจัดสารพัดปัจจัยเสี่ยงให้หมดไปแล้ว องค์กรของคุณยังจะได้เสริมศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมต่อไป และเปิดรับเทคโนโลยีระดับ “เมกะเทรนด์” อย่างคลาวด์ โมบาย บิ๊ก ดาต้า หรือโซเชียล มีเดีย ได้อย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย

Advertisement
Best Smartphone 16000 for 2025 Best Smartphone 16000 for 2025
Buying Guides8 ชั่วโมง ago

10 มือถือราคาไม่เกิน 16,000 บาท ฟีเจอร์ระดับแฟล็กชิป ใช้ยาว ปี 2025

มือถือราคาไม่เกิน 16...

Android News15 ชั่วโมง ago

เปิดตัว HONOR Magic 7 RSR | PORSCHE DESIGN รุ่นท็อปสุดพิเศษ ดีไซน์พรีเมี่ยมพร้อมกล้อง Periscope 200MP ที่ดีที่สุด!

HONOR เปิดตัว HONOR ...

Android News15 ชั่วโมง ago

ไทยรอลุ้น !! OPPO อินเดียเผยตัวเลือกสี Reno13 Series มีให้เลือกรุ่นละ 2 สี แบบสวยทั้งคู่

ไม่นานนี้ OPPO ประเท...

Apple News16 ชั่วโมง ago

Mark Gurman เผย Apple กำลังพัฒนา Doorbell ของตัวเองและรองรับ Face ID

เราได้ยินข่าวลือของ ...

Android News17 ชั่วโมง ago

Apple โดนอีก…EU ต้องการให้ Apple เปิดให้ AirDrop และ AirPlay ใช้งานร่วมกับ Android และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้!?

เรามักจะได้เห็นข่าวค...

Wearable17 ชั่วโมง ago

หลุดข้อมูล Galaxy Ring ขนาดใหญ่ 2 ไซส์ใหม่ 14 และ 15 คาดเปิดตัวต้นปีหน้า

Samsung Galaxy Ring ...

Android News18 ชั่วโมง ago

โอ้โหแจ่ม! ลือสเปค Galaxy S25 Slim เพิ่มเติม ได้ชิป Snapdragon 8 Elite | กล้อง Tele 50MP | แบตฯ 5000mAh!?

Galaxy S25 Slim เป็น...

Apple News19 ชั่วโมง ago

ของใหม่ !! HomePod พร้อมหน้าจอ 7″ ชิป A18 และรันบน homeOS ลุ้นเปิดตัวปีหน้า

DigiTimes ได้เผยข้อม...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก