ข่าวประชาสัมพันธ์
ดีแทคยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งห้ามติดตั้งหรือเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์โทรคมนาคมย่านความถี่ 2100 MHz
18 มิถุนายน 2558 – ดีแทคยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฯ ของศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อเดินหน้าขยายโครงข่ายและติดตั้งอุปกรณ์ 3G/4G (ย่านความถี่2100MHz) ต่อไปเพื่อประโยชน์ของลูกค้า จากกรณีแคทยื่นคำร้องดังกล่าว ศาลปกครองกลางมีคำสั้งห้ามดีแทคติดตั้งหรือเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์โทรคมนาคมตามสัญญาสัมปทานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G และ 4G ย่านความถี่ 2100 MHz รายอื่น การห้ามใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกันส่ง ผลเป็นการจำกัดสิทธิของผู้บริการโครงข่าย 2100 MHz ทุกคนในการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของดีแทค จึงเป็นการละเมิดสิทธิที่กฎหมายรับรอง คำสั่งห้ามนี้ยังส่งผลให้ค่าบริการเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่คุณภาพบริการลดลง การครอบคลุมพื้นที่การให้บริการแย่ลง และสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดยังนำไปสู่การจำกัดการแข่งขันในตลาดซึ่งจะทำให้สวัสดิการผู้บริโภคลดลงอีกด้วย
นายนฤพนธ์ รัตนสมาหาร ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน บริษัทฯ ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว จากกรณีที่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางให้ดีแทคยุติการติดตั้งหรือเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์โทรคมนาคมตามสัญญาสัมปทานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G และ 4G ย่านความถี่2100 MHz รายอื่น คำสั่งดังกล่าวทำให้เกิดอุปสรรคในการใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกัน ซึ่งกระทบต่อคุณภาพบริการและการขยายสัญญาณบนโครงข่ายข่าย 2100MHz เช่น ทำให้ค่าบริการเพิ่มสูงขึ้น ความครอบคลุมของบริการลดลง และทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ (กสทช.) ในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เลือกปฏิบัติ กล่าวคือ มีแต่ดีแทคเพียงรายเดียวที่ไม่อาจใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกันกับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G และ 4Gย่านความถี่ 2100 MHz รายอื่น ทำให้ผู้ใช้บริการไม่อาจเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวด้วยเช่นกัน”
นายนฤพนธ์ กล่าวต่อไปว่า “การดำเนินการเดินหน้าเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์โทรคมนาคม 3Gและ 4G บนย่านความถี่ 2100 MHz ยังจะช่วยให้รัฐและผู้ให้สัมปทานหรือแคทได้รับผลประโยชน์จากส่วนแบ่งรายตามสัญญาสัมปทานเพิ่มขึ้น ดังนั้นการที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุมครองชั่วคราวนี้จึงทำให้รัฐและแคทต้องสูญเสียรายได้ นอกจากนี้คำสั่งดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค เพราะถ้าไม่สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ย่อมทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้น จะกลายเป็นภาระค่าบริการแก่ประชาชน นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวย่อมกระทบกับการประมูล 4G ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ เพราะทำให้เกิดความไม่แน่นอนและกระทบกับการประเมินมูลค่าคลื่นความถี่ของผู้เข้าร่วมประมูล เนื่องจากมีต้นทุนในการบริการเพิ่มขึ้นจากการที่ไม่สามารถใช้โครงข่ายร่วมกับดีแทค”
คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฯ เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่แก่ผู้ได้รับสัมปทานว่าไม่อาจใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกับผู้อื่นและทำให้แคทสูญเสียรายได้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ได้รับประโยชน์จากคำสั่งห้ามดังกล่าวเลยแม้แต่แคทก็ตาม ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นนานไปก็ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ผ่านมาศาลปกครองได้ปฏิเสธคำร้องขอของแคทให้ศาลมีคำสั่งในลักษณะเดียวกันในคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมด ดังนั้น ดีแทคจึงหวังว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งกลับหรือยกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ