Smart Review
รีวิว Fitbit Sense อีกขั้นของการกำลังกาย และจัดการความเครียด
รีวิว Fitbit Sense นาฬิกาสำหรับคนรักสุขภาพ อัปเกรดฟีเจอร์ใหม่ไปอีกขั้นของการกำลังกาย ระบบแจ้งเตือนการเต้นหัวใจ และมาพร้อมการจัดการความเครียด
ดีไซน์และหน้าจอแสดงผล
Fitbit Sense มาในกล่องที่เห็นรูปนาฬิกาและรายละเอียดฟีเจอร์เด่นได้ครบ โดยอุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง ประกอบไปด้วย
- ตัวนาฬิกา Fitbit Sense
- สายชาร์จ
- สายนาฬิกาขนาดยาว 1 ข้าง
Fitbit Sense มาพร้อมดีไซน์ที่สวยหรูและเข้ากับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ได้เน้นความสปอร์ตเพื่อการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานของแฟชั่นและเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว
สายและตัวเรือนที่ใช้ในรีวิวครั้งนี้เป็นสีคาร์บอน/กราไฟท์สแตนเลส ซึ่งถ้าใครเคยใช้ Versa 2 มาก่อน อาจมองว่าหน้าตารูปทรงโดยรวมก็ยังคล้ายเดิม แต่สำหรับ Sense มีกรอบตัวเรือนเป็นสแตลเลสสตีลที่ให้ความหรูหรามากขึ้น
หน้าจอแสดงผลมีขนาด 1.58 นิ้ว AMOLED ความละเอียด 300 x 300 พิกเซล ซึ่งจากการใช้งานพบว่าหน้าจอสู้แสงกลางแจ้งได้ดีมาก มองเห็นหน้าจอได้ชัดเจน และรองรับฟีเจอร์ Always on display ด้วย
ด้านข้างมีปุ่มสำหรับใช้เป็นย้อนกลับมาหน้าจอหลัก หรือใช้เป็นปุ่มเรียกใช้งานเมนูด่วนตามที่ต้องค่าเอาไว้ได้
ด้านหลังมีเซ็นเซอร์ต่างๆ และจุดเชื่อมต่อสำหรับชาร์จแบตเตอรี่
สายนาฬิกาแบบใหม่ให้ความรู้สึกที่นิ่มและใส่สบายมากขึ้น เมื่อเทียบกับสายสปอร์ตแบบเดิมที่มีความแข็งมากกว่ารุ่นใหม่ สามารถถอดสายเพื่อเปลี่ยนเองได้โดยกดที่สลักด้านหลังตัวนาฬิกา
สายนาฬิกามาพร้อมตัวล็อกแบบใหม่ด้วย รู้สึกว่าใส่ง่ายและเก็บสายได้สะดวกมากขึ้น
นอกจากนี้แล้ว ตัวนาฬิกาสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 50 เมตร ใส่ว่ายน้ำได้
ฟีเจอร์และฟังก์ชั่นการใช้งาน
Fitbit Sense รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนโดยการตั้งค่าผ่านแอปพลิเคชั่น Fitbit ดาวน์โหลดได้ทั้งบน App Store และ Play Store หลังจากทำการเชื่อมต่อและตั้งค่าเรียบร้อยแล้วก็พร้อมใช้งานได้ทันที
หน้าปัดนาฬิกาเลือกเปลี่ยนเองได้ โดยเลือกดาวน์โหลดผ่านแอปพลิเคชั่น Fitbit และจัดเก็บหน้าปัดที่ชอบได้ถึง 5 แบบไว้บนตัวนาฬิกาได้
หน้าปัดที่เห็นนี้เป็นของ Fitbit เอง สามารถแสดงข้อมูล SpO2 ได้ ซึ่งข้อมูลนี้จำเป็นต้องเป็นสมาชิกแบบพรีเมี่ยม ซึ่งถ้าใครซื้อ Fitbit รุ่นใหม่มาก็จะได้สิทธิ์ทดลองใช้ฟรีอยู่แล้วตามกำหนดเวลาในแต่ละรุ่น อย่างรุ่น Sense ก็สามารถใช้งานพรีเมี่ยมได้ฟรี 6 เดือน
ฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป อย่างแรกเลยคือติดตามกิจกรรมตลอดทั้งวัน เช่น จำนวนก้าว ระยะทางปีนขึ้นชั้น นาทีที่ใช้งาน และแคลอรี่ที่เผาผลาญ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องตั้งค่าอะไรเลย ทำให้เรามีข้อมูลกิจกรรมและติดตามเป้าหมายของเราได้
ฟีเจอร์สำหรับการออกกำลังกายมมีให้เลือกกว่า 20 โหมดเพื่อติตดามข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ระหว่างการออกกำลังกาย ซึ่งจริงๆ แล้วโหมดการออกกำลังกายเหล่านี้สามารถให้ SmartTrack เลือกโหมดให้เราอัตโนมัติได้เมื่อเราออกกำลังกายไปสักระยะ
Fitbit Sense มาพร้อม GPS ในตัว ทำให้ติดตามตำแหน่งเส้นทางการออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องใช้ GPS จากสมาร์ทโฟน และคำนวนเส้นทาง ความเร็วในการเคลื่อนได้แบบเรียลไทม์ และมีความแม่นยำมากขึ้นด้วย
หลังจากการออกกำลังกายโดยใช้งาน GPS แล้ว เราสามารถซิงค์ข้อมูลเข้ากับแอปพลิเคชัน Fitbit เพื่อวัดค่าการใช้งานในระบบ GPS-powered heat map ได้ ซึ่งจะเห็นข้อมูลเส้นทางที่แสดงบนแผนที่ สามารถูความหนักเบาของการออกกำลังกายจากอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้เราเข้าใจการออกกำลังกายและนำไปพัฒนาตนเองได้
ฟีเจอร์ที่เรียกได้ว่าเจ๋งๆ สำหรับช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็คือ Active Zone Minutes ซึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับใครที่ออกกำลังกายที่ต้องการควบคุมโซนอัตราการเต้นของหัวใจระหว่างการออกกำลังกายได้ โดยเจ้าตัวนี้จะคอยเตือนตลอดว่าอยู่ในโซนไหน เพราะแต่ละโซนของอัตราการเต้นของหัวใจจะเป็นตัวบอกว่าตอนนี้ร่างกายกำลังทำอะไร หลายคนอาจเคยได้ยินว่าทำไมเราวิ่งทุกวันแต่น้ำหนักไม่ลด ซึ่งเจ้า Active Zone ตัวนี้จะช่วยให้เราเข้าใจว่าต้องควบคุมโซนยังไงนั่นเอง
ซึ่งโซนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วยนะ ความฉลาดของ Fitbit จะกำหนดมาให้อัตโนมัติตามอายุของเราตอนเราใส่วันเดือนปีเกิดข้อมูลส่วนตัวในโปรไฟล์นั่นเอง เช่นช่วงอายุ 30 ถ้าอออกกำลังกายให้หัวใจเต้นในช่วงประมาณ 115 – 140 bpm จะเป็น Fat Burn zone แต่ถ้าออกแรงมากขึ้นไปอีกก็จะเป็น Cardio และ Peak Zone ซึ่งทั้ง 2 โซนนี้รวมเป็นแถบสีเดียวกันในแอป Fitbit และจะได้คะแนน Active Zone Minutes เป็น 2 เท่าด้วย เช่นถ้าเราออกกำลังกายใน Cardio และ Peak Zone เป็นระยะเวลา 10 นาที จะเท่ากับเราได้ Active Zone 20 นาที
ตามคำแนะนำของ WHO แนะนำให้ออกกำลังกายทั่วไปอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ทำให้ Fitbit มีฟีเจอร์ Active Zone Minutes นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์ที่เป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ ที่จะคอยเตือนและพาเราทำให้ได้ครบเพื่อสุขภาพดีที่ดี
สำหรับใครที่ยังงง ไม่รู้ว่าจะเริ่มออกกำลังกายยังไง หรือยังไม่มีเป้าหมายว่าจะทำอะไรดี ตอนนี้ Fitbit เขาก็มีบริการ Fitbit Premium ซึ่งเป็นโปรแกรมออกกำลังกายจากหลายแบรนด์ดัง ให้เราได้ตั้งเป้าหมาย แล้วทำตามเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ ซึ่งบริการนี้ปกติจะมีค่าบริการ แต่สำหรับผู้ที่ซื้อ Fitbit Sense จะได้ทดลองใช้งานกันได้ฟรี 6 เดือน
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่นอกเหนือจากการติดตามการออกกำลังกายแล้ว คือการติดตามเวลาเรานอนหลับ ซึ่งเจ้า Fitbit ก็สามารถเก็บข้อมูลได้ละเอียดมากๆ ไม่ว่าจะเป็นนอนหลับไปตอนไหน หลับลึก หลับตื้น หรือตื่น มากน้อยอย่างไรบ้าง ดูได้หมดเลยบนแอปพลิเคชั่น Fitbit และมีการให้คะแนนนอนหลับด้วย
Fitbit Sense เป็นรุ่นแรกที่มีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิผิวหนังที่ข้อมือ สำหรับติดตามอุณหภูมิผิวในแต่ละคืนเพื่อแสดงความแตกต่างจากพื้นฐานของเราเพื่อให้แสดงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ โดยข้อมูลนี้จะแสดงหลังจากใส่นอนเป็นเวลา 3 คืน
ตัวนาฬิกาสามารถวัดและคำนวณ SpO2 ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด โดยจะแสดงข้อมูลเป็นเปอร์เซ็นต์ หากมีค่าต่ำกว่า 95% ก็อาจเป็นสัญญาณของออกซิเจนในเลือดไม่ดีหรือที่เรียกว่าการขาดออกซิเจน ทำให้เราทราบถึงสุขภาพของเราในทุกวันๆ และสามารถไปปรึกษาเพิ่มเติมกับคุณหมอได้
Fitbit Sense มีเทคโนโลยีที่เรียกว่า PurePluse 2.0 สามารถแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติทั้งสูงหรือต่ำได้ เช่น ถ้าหัวใจเต้นต่ำกว่า 50bpm หรือสูงกว่า 120bpm นานเกิน 10 นาที ก็จะมีการแจ้งเตือนขึ้นมาให้เราทราบทันที
สำหรับฟีเจอร์ EDA Scan เพียงวางฝ่ามือลงบนหน้าปัดของเครื่อง เพื่อวัดความเครียดด้วยคลื่นไฟฟ้าและบอกถึงการตอบสนองของร่าวรายต่อความเครียดและแสดงเป็นกราฟในแอป Fitbit และบันทึกอารมณ์เพื่อเป็นข้อมูลเอาไว้ได้ว่าตอนนั้นรู้สึกเป็นอย่างไร ตั้งแต่เครียดมากไปจนถึงมีความสุขมาก
คะแนนการจัดการความเครียดจะวัดผลเป็นตัวเลขจาก 1-100 โดยคะแนนสูงหมายถึงภาวะร่างกายที่มีสัญญาณความเครียดน้อย และการให้คำแนะนำในการจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกหัดหายใจ และเครื่องมือช่วยทำสมาธิในรูปแบบต่างๆ สมาชิกแบบพรีเมียมสามารถเลือกรูปแบบการทำสมาธิได้ถึงกว่า 100 รูปแบบจากแบรนด์ดัง
นอกจากฟีเจอร์การออกกำลังกายและการจัดการด้านสุขภาพแล้ว Fitbit Sense สามารถควบคุมเครื่องเล่นเพลงบนแอป Spotify ได้
Fitbit Pay สามารถใช้งานได้บน Fitbit Sense เพียงแค่เพิ่มบัตรเครดิตธนาคารที่ใช้งานได้ โดยในไทยตอนนี้ก็จะมี Kbank, SCB, KTC และ ธ.กรุงเทพ
สำหรับการแจ้งเตือนต่างๆ จากสมาร์ทโฟนมาบนตัวนาฬิกา ยังไม่รองรับการแสดงผลภาษาไทย
แบตเตอรี่ของ Fitbit Sense สำหรับการใช้งานทั่วไปอยู่ได้นาน 4-5 วัน แต่ถ้าเปิดใช้งาน Alway on display หรือใช้งาน GPS จะอยู่ได้ราว 2-3 วันต่อการชาร์จเต็ม และสายชาร์จจะเป็นแบบแม่เหล็กยึดติด ทำให้วางชาร์จได้ง่าย หากหันผิดด้านก็จะไม่สามารถยึดติดพอร์ตชาร์จได้
สรุปจุดเด่น Fitbit Sense
- Fitbit Sense ทำให้เข้าใจข้อมูลการออกกำลังกายและทราบถึงสุขภาพในทุกๆ วัน
- มีระบบแจ้งเตือนความผิดปกติของร่างกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ
- มีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิผิวหนัง
- มี GPS ในตัว
- วัดความเครียดและบันทึกอารมณ์ได้
- ติดตามข้อมูลการนอนหลับได้ละเอียด
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ECG ยังใช้งานในไทยไม่ได้
- ไม่รองรับการแสดงผลภาษาไทย
Fitbit Sense วางจำหน่ายในราคา 11,990 บาท หาซื้อได้แล้วที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศหรือช่องทางออนไลน์ Shopee และ Lazada