Smart Review
รีวิว Samsung Galaxy S24 Ultra ก้าวแรกที่ดีของยุค Galaxy AI แต่เชื่อว่ายังดีกว่านี้ได้อีก!
รีวิว Galaxy S24 Ultra เรือธงรุ่นล่าสุดจาก Samsung ที่สร้างความฮือฮาสุด ๆ เพราะรอบนี้มาพร้อม Galaxy AI ชวนทุกคนวาร์ปไปสู่ยุคใหม่กันเลย แต่ยุคใหม่ที่ว่านี้ใหม่จริงหรือแค่กิมมิคกันแน่ ? วันนี้เราจะมารีวิวหลังจากใช้งานแบบจริงจังกว่า 2 สัปดาห์ให้ชมกัน เผื่อใครที่กำลังลังเลว่าจะไปสู่ยุคใหม่เลยไหม หรือว่าจะถือรุ่นเก่าไปก่อนได้ พร้อมแล้วมาติดตามรีวิวฉบับเต็มของ Galaxy S24 Ultra ไปพร้อมกันเลยครับ!
สรุปสเปค Samsung Galaxy S24 Ultra
- หน้าจอ : Dynamic AMOLED 2x ขนาด 6.8”
- ความละเอียด : WQHD+ (3120 x 1440 พิกเซล)
- Refresh Rate : 1-120Hz แบบ LTPO
- ชิปเซ็ต : Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 For Galaxy Octa-core 3.4GHz (4nm)
- GPU : Adreno 750
- RAM : 12GB (LPDDR5X)
- Storage : 256GB/512GB/1TB (UFS 4.0)
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบชาร์จไว : 45W Super Fast Charging 2.0
- กล้องหน้า : 12MP f/2.2
- กล้องหลัง : 4 ตัว
- 200MP กล้องหลัก f/1.7 OIS
- 12MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 10MP กล้อง Tele 3X f/2.4 OIS
- 50MP กล้อง Periscope 5X f/3.4 OIS
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.3, NFC, 5G และใช้พอร์ต USB-C (USB 3.2)
- รองรับ S Pen
- ระบบปฏิบัติการ Android 14 (One UI 6.1)
- กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
- สีสัน : Titanium Gray, Titanium Black, Titanium Violet, Titanium Yellow
ดีไซน์เหมือนไม่ต่าง แต่จริง ๆ ต่างอยู่
เริ่มต้นที่เรื่องดีไซน์ก่อนเลยดีกว่า Galaxy S24 Ultra นั้นมาพร้อมดีไซน์ที่จะเรียกว่าทรงเดิมเลยก็คงไม่ผิดนัก ภายนอกถ้ามองผ่าน ๆ แยกไม่ออกแน่นอนครับ ยังคงมาพร้อมดีไซน์ทรงเหลี่ยม ๆ เหมือนเดิม กล้องหลังที่วางเรียงกันแบบคลีน ๆ ไม่มีกรอบอะไรมาคลุม
แต่จุดที่เปลี่ยนไปอย่างรู้สึกได้บนรุ่นนี้ก็คือความโค้งมนที่ถูกลดทอนลง อย่างเฟรมเครื่องก็โค้งน้อยลงเพิ่มพื้นที่ด้านข้างขึ้นมาเยอะขึ้น ฝาหลังที่เคยมีความโค้งเล็ก ๆ รับกับรูปมือก็ปรับเป็นแบบแบนราบไปเรียบร้อย รวมถึงหน้าจอที่รอบนี้ปรับมาเป็นแบบแบน 2D เรียบร้อย ไม่มีขอบโค้งอีกต่อไป
ทำให้โดยรวมเวลาเราจับถือจะยิ่งได้ความรู้สึกของความเหลี่ยมที่มากขึ้นอีกหน่อย แต่เรากลับรู้สึกว่าความเหลี่ยมแบบใหม่นี้ดูกระชับมือมากขึ้นเวลาจับถือ เต็มไม้เต็มคงเพราะความเว้าโค้งที่หายไปด้วยนี่แหละ
เฟรมวัสดุใหม่ “ไทเทเนียม” มาแล้ว
แต่ไม่ใช่แค่ปรับเพิ่มความเหลี่ยมอย่างเดียว เพราะวัสดุที่ใช้ก็เปลี่ยนไปด้วยครับ อย่างที่เฟรมเครื่อง Galaxy S24 Ultra ปรับมาใช้เป็น “ไทเทเนียม” (เฉพาะแค่เฟรมจริง ๆ นะ ปุ่มกดยังเป็นอลูมิเนียมปกติ) เรียบร้อย ก็เคลมว่าแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นจาก Armor Aluminum เดิมไปอีก และความดีงามก็ยังมีเรื่องผิวสัมผัสที่เป็นแบบด้าน จับแล้วสบายนิ้วกว่าแบบมันวาวเดิม ทำให้เราไม่ต้องคอยมาทำความสะอาดบ่อย ๆ แล้วล่ะ
ส่วนเรื่องน้ำหนัก อันนี้ไม่ได้เบาลงแบบรู้สึกได้ครับ เพราะจากตัวเลขสเปคแล้ว S24 Ultra จะเบากว่าเดิมแค่ 2 กรัมเท่านั้น (232 กรัม vs 234 กรัม) ซึ่งปกติแล้ววัสดุไทเทเนียมนั้นจะมีข้อดีในเรื่องความทนทานและน้ำหนักก็จริง ซึ่งบางแบรนด์อาจจะเลือกเอาความเบามาใช้เป็นจุดเด่น แต่ยังทนทานเท่าเดิม ส่วนของ Samsung เลือกน้ำหนักที่เท่าเดิม แต่เพิ่มความทนทานมากขึ้นแทนครับ ทำให้ S24 Ultra นั้นไม่ได้ขายเรื่องความเบากว่า แต่เน้นเรื่องความแกร่งแทนนั่นเองครับ
หน้าจอแบบแบนพร้อมสเปคใหม่ ไฉไลกว่าเดิม
กลับมาพูดเรื่องหน้าจอกันอีกหน่อยดีกว่า อย่างที่บอกว่า Galaxy S24 Ultra นั้นปรับมาใช้เป็นจอแบนเรียบร้อย หลายคนที่ไม่ชอบจอโค้งน่าจะถูกใจมาก ๆ แน่ แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะ Samsung ยังอัปเกรดสเปคใหม่ให้หน้าจอด้วย ประกอบด้วยกระจกกันรอยใหม่ Gorilla Glass Armor ที่เคลมว่าทนทานทั้งรอยขีดข่วนได้ดีขึ้น บวกกับความเป็นจอแบนก็น่าจะทนต่อการตกแตกเมื่อหน้าจอหล่นตรง ๆ ได้ด้วยครับ แต่ ๆ ไม่ใช่แค่ทนขึ้นอย่างเดียว ในเรื่องการแสดงผลกระจกใหม่นี้ก็ยังช่วยลดแสงสะท้อนได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าในรุ่นก่อน ๆ เวลาเราใช้งานในร่มหรือกลางแจ้งที่แดดจัด ๆ ถ้าจอที่ไม่ลดแสงสะท้อนก็อาจจะทำให้เห็นไม่ชัด ติดเงาเราเองบ้าง สะท้อนนั่นนี่บ้าง แต่พอเป็นกระจก Gorilla Glass Armor ใหม่นี้ ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็เอาอยู่ครับ
ส่วนเรื่องความสว่างสูงสุดที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 2600nits นั้นก็ช่วยให้เราใช้งานกลางแจ้งได้ดีขึ้นจริง ๆ จะเอาไปถ่ายรูปตอนกลางวันแสก ๆ ความสว่างระดับนี้ก็ไม่ต้องห่วงเลย ทำได้สว่างสุด ๆ บวกกับกระจกใหม่ที่ลดแสงสะท้อนชัดเจน ยิ่งทำให้เราสบายตาขึ้นมากเวลาเราใช้ในสถานการณ์ที่ว่านี้ครับ
Galaxy S24 Ultra ยังคงมาพร้อมขนาดหน้าจอ 6.8″ เหมือนเดิม แต่…การปรับรูปแบบจอให้แบนลงนี้ก็ช่วยให้เวลาเราดูอะไรจะได้ความรู้สึกเต็มตายิ่งขึ้นอีก เพราะเนื้อหาจะถูกส่งตรงมาที่เราได้มากกว่าเดิม ไม่มีส่วนที่โค้งหายไปเหมือนรุ่นก่อน
ในเรื่องการแสดงผลรอบนี้ยังได้ความละเอียดสูงสุดที่ QHD+ เหมือนเดิม เรียกว่าคมชัดขึ้นสุดของสมาร์ทโฟนยุคนี้อยู่แล้ว ส่วนโทนสีรอบนี้จูนมาได้เป็นธรรมชาติดีมาก ลดความสดจัดจ้านจากรุ่นก่อนลงพอสมควร ซึ่งจริง ๆ แล้วนี่ยังเป็นบั๊กจากซอฟต์แวร์ตัวแรกอยู่เพราะเท่าที่เราลองไม่ว่าจะตั้งค่ารูปแบบหน้าจอเป็น Vivid หรือ Natural ก็จะออกมาเหมือนกันทั้งหมด ใครที่ชอบจอสด ๆ จาก Samsung คงต้องรออัปเดตแก้ไขกันต่อไป ส่วนเราคิดว่าสีสันแบบนี้ก็กำลังดีแล้วได้ความสบายตาและสมจริงดีเสียอีก
ส่วนเรื่องขนาดก็ไม่ต้องกังวลไปว่าจอแบนไม่มีมุมโค้งแล้วจะทำให้เครื่องกว้างขึ้นเพราะอัตราส่วนได้ถูกปรับให้พอดีขึ้นจากเดิม 19.3:9 มาเป็น 19.5:9 แล้ว จอสูงขึ้นเล็กน้อย และ Samsung ยังลดขอบหน้าจอสีดำลงอีกมาก ทำให้สัดส่วนตัวเครื่องใกล้เคียงกับรุ่นก่อน แต่จอแบนลงเต็มตาขึ้นนั่นเอง!
ส่วนเรื่องการตอบสนองก็ได้ Refresh rate สูงสุด 120Hz เหมือนเดิม และยังเป็นจอ LTPO ที่สามารถสลับขึ้น-ลงได้ตั้งแต่ 1-120Hz ด้วยเพื่อความลื่นไหลและยังประหยัดพลังงานไปพร้อมกัน ความลื่นไหลทำได้ดีสมกับเป็น Samsung เลยครับ และพอจอเป็นแบบแบนราบไปเลยก็ลดอาการลั่นของจอลงได้อีกเยอะเลยด้วย
ความดีงามอีกอย่างรอบนี้ก็ยังมีเรื่อง AOD หรือ Always on Display ใหม่ที่เราสามารถใส่ Wallpaper เข้าไปได้แล้วด้วย ทำให้เวลาจอติดตลอดดูมีลูกเล่นมากขึ้น และเห็นว่าฟีเจอร์นี้จะ Exclusive เฉพาะบน S24 Series เท่านั้นด้วย ไม่มีอัปเดตให้รุ่นก่อน ๆ ครับ
ตำแหน่งที่กดได้ถนัดมือเหมือนเดิม
ด้วยความที่ของเดิมดีอยู่แล้ว ตำแหน่งปุ่มกดของ Galaxy S24 Ultra ก็ยังวางไว้ในมุมเดิมคือปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและปุ่ม Power อยู่ที่ฝั่งขวาของตัวเครื่องทั้งหมด ซึ่งพอกรอบเครื่องมีพื้นที่มากขึ้นทำให้เวลาเราแตะหรือกดปุ่มก็สะดวกขึ้นอีกนิดด้วย เพราะสามารถขยายขนาดปุ่มให้ใหญ่ขึ้นได้อีกล่ะ
ด้านบน-ล่างก็ยังตัดเหลี่ยมไปหมดเหมือนเดิม ด้านบนมีไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนมา 2 ตัวแล้วนะ ช่วยเรื่องการถ่ายวิดีโอและการรับเสียงที่แม่นยำมากขึ้น ส่วนด้านล่างก็มีพอร์ตการเชื่อมต่อ, ไมโครโฟน, ลำโพงหลักของตัวเครื่องที่เปลี่ยนดีไซน์จากรูเยอะ ๆ มาเป็นขีดเดียวแทน, ช่องใส่ซิม และช่องเก็บปากกา S Pen เหมือนเดิมครับ
ซึ่งตัวปลายด้ามของ S Pen ก็จะเปลี่ยนรูปทรงไปอีกหน่อยมีความเหลี่ยมมากขึ้น และนูนออกจากตัวเครื่องเล็กน้อยเพื่อให้เราได้กดดีดออกมาได้ง่ายขึ้น ตรงนี้ไม่ต้องตกใจว่าทำไมไม่เรียบเสมอกับตัวเครื่องไปเนาะ
S Pen สีคุมโทน
ถ้าไม่นับตรงปลายที่มีความเหลี่ยมขึ้นแล้ว ที่ตัวด้ามถึงหัวก็ยังมาในรูปทรงเหมือนกับของรุ่นก่อนครับ คือผิวสัมผัสเป็นแบบด้านให้เราได้จับถือได้แบบสบายมีปุ่มกด 1 ปุ่ม ส่วนสีสันรอบนี้จะแบ่งไปตามสีกรอบเครื่องเลย หลัก ๆ S Pen ในรอบนี้จะมี 3 สีคือ
- S Pen สีเทา (ด้ามเทาปลายเทา) สำหรับตัวเครื่องสี Titanium Gray, Titanium Violet, Titanium Orange
- S Pen สีดำ (ด้ามดำปลายดำ) สำหรับตัวเครื่องสี Titanium Black, Titanium Blue, Titanium Green
- S Pen สีเหลือง (ด้ามดำปลายเหลือง) สำหรับเครื่องสี Titanium Yellow
ส่วนฟีเจอร์ของตัว S Pen เองรอบนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษเพิ่มเข้ามา ทั้งความสามารถการรองรับแรงกด 4096 ระดับ ความหน่วงต่ำแค่ 2.8ms ความสามารถกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 หรือการสั่งงานด้วย S Pen Remote ยังอยู่ครบ แต่จุดที่เพิ่มเข้ามาจะเป็นเรื่องฟีเจอร์ของ Samsung Notes แทน ซึ่งเราขออธิบายเพิ่มเติมในหมวด Galaxy AI อีกทีละกันเนาะ
ลำโพงเสียงดังขึ้น แต่…
แม้ตำแหน่งของลำโพงยังอยู่ที่มุมเดิมไม่เปลี่ยนแต่การอัปเกรดในรอบนี้ Galaxy S24 Ultra จะมอบเสียงลำโพงได้ดังขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แต่เรากลับรู้สึกว่าเสียงแอบแบนลงนิดหน่อย เบสน้อยลง แต่ก็ยังเป็นเสียงที่มีคุณภาพระดับเรือธงอยู่ ฟังเพลงผ่านลำโพงตัวเครื่องหรือดูคลิปเพลิน ๆ ยังได้อยู่ครับ
มุมเครื่องที่ยังเหลี่ยมเหลือเกิน
ชมเรื่องที่ปรับแก้มาจากรุ่นก่อนหลายอย่างแล้ว แต่ก็ยังมีจุดที่เคยติจากรุ่นก่อนแล้วยังไม่แก้เหมือนกัน ก็คือความเหลี่ยมของตัวเครื่องที่ยังคงมีมุมทิ่มอุ้งมืออยู่เหมือนเดิม ถ้าใช้งานแบบไม่ใส่เคสก็แอบแหลมมาทิ่มมือเยอะอยู่เหมือนเดิมล่ะ
แต่ก็นะ…เชื่อว่าสุดท้ายซื้อรุ่นท็อปมาซะขนาดนี้ก็ตงต้องอยากปกป้องตัวเครื่องด้วยการใส่เคสกันอยู่แล้ว และพักหลัง Samsung เองก็มีเคสออกมารองรับกันเพียบ หรือจะเป็น 3rd Party ก็มีรองรับกันอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีการเพิ่มมุมโค้งให้ไม่ทิ่มมือกันหมดด้วย
โดยรวมในเรื่องดีไซน์อย่างที่บอกไปว่าแม้ภายนอกจะดูไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่ถ้าได้สัมผัสจริง ๆ จะรู้เลยว่ามีจุดที่ต่างออกไปอยู่ ที่บรรยายมานี่ก็หลายจุดเหมือนกันเนาะ ก็ถือว่าเป็นการค่อย ๆ ปรับให้ลงตัวมากขึ้น ซึ่งรอบนี้ก็น่าจะถูกใจหลายคนเพราะทั้งจอแบนแล้ว ขอบจอบางลงอัตราส่วนมาตรฐาน กรอบเครื่องไทเทเนียมชวนสัมผัส
ส่วนสีสัน Galaxy S24 Ultra ในรอบนี้ก็พรีเมียมขึ้นด้วย มีให้เลือกถึง 7 สีประกอบด้วย
- สีม่วง Titanium Violet
- สีเทา Titanium Gray
- สีดำ Titanium Black
- สีเหลือง Titanium Yellow
- สีส้ม Titanium Orange (Online Exclusive)
- สีเขียว Titanium Green (Online Exclusive)
- สีฟ้า Titanium Blue (Online Exclusive)
Galaxy AI ยุคใหม่ที่ Samsung พูดถึง!
มาเข้าสู่ไฮไลท์กับ Galaxy AI ที่ Samsung เน้นมาเป็นพิเศษในปีนี้ กับซอฟต์แวร์ที่จะเข้ามาช่วยในการใช้งานหลาย ๆ อย่างดูเหนือกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป โดยจะมีความสามารถหลัก ๆ ใหม่แบ่งเป็น 3 ด้านคือ การค้นหา, การสื่อสาร และการปรับแต่งภาพ ดังนี้!
Circle to Search อยากรู้อะไรก็วงเลย
ฟีเจอร์แรกคือความสามารถด้านการค้นหาใหม่ที่ Samsung ตั้งชื่อว่า Circle to Search นี้ช่วยให้เราหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้นมาก เพียงแค่เรากดปุ่มโฮมค้างไว้ และเลือกวงจุดที่อยากค้นหาไม่ว่าจะเป็นสินค้า, สัตว์, ดอกไม้, อาหาร ระบบก็จะค้นหามาให้เราอย่างรวดเร็วและแม่นยำเลยล่ะครับ
เอาจริง ๆ ฟีเจอร์นี้ก็ไม่ถึงกับใหม่เอี่ยมเพราะเป็นลูกเล่นของ Google lens อยู่แล้ว แต่ Samsung ทำให้เข้าถึงได้ง่ายแบบที่ไม่ต้องสลับแอปไป-มา และเท่าที่เราลองใช้จริงก็พบว่าฟีเจอร์นี้ฉลาดมาก ๆ นอกจากจะค้นอะไรก็เจอแล้ว เรายังสามารถมาประยุกต์ใช้กับพวกข้อความหรือข้อมูลบางอย่างได้ด้วย อาทิ เวลามีคนส่งเลขบัญชีมาแบบเป็นภาพเราก็กดปุ่มโฮมและวงตัวเลขในภาพกด Copy ได้เลย สะดวกมาก
Note Assist งานจดง่ายขึ้น
ฟีเจอร์สำหรับงานจดก็ง่ายขึ้นอีกเพราะ Galaxy AI นั้นมีความสามารถ Note Assist ที่ช่วยจัดเรียงเนื้อหาที่เราจดมาแบบด่วน ๆ ให้เป็นหัวข้อหลัก-หัวข้อย่อยได้ด้วย ทีนี้ก็ไม่ต้องกังวลหลังจดงานมาแบบเต็มหน้ากระดาษแล้วจะอ่านไม่รู้เรื่องอีกต่อไป หรือจะเป็นฟีเจอร์สรุปข้อมูลที่เราบันทึกมาเองหรือจากหน้าเอกสารที่มีข้อมูลเยอะ ๆ เราสามารถกดสรุปได้ง่าย ๆ ด้วยฟีเจอร์ Summarize ที่จะสรุปเนื้อหาแบบสั้น ๆ เป็นหัวข้อย่อย ให้เข้าใจง่ายขึ้นไปอีก
หรือจะเลือกแปลภาษาจากบทความตามหน้าเว็บก็ได้เช่นกัน บางครั้งเรามีเวลาไม่มากในการอ่านข่าวบนเว็บไซต์ แถมบางเว็บก็ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะ ตรงนี้ Note Assist ก็สามารถสรุปเนื้อหาพร้อมมีปุ่มแปลภาษาที่รองรับภาษาไทยให้เลือกใช้ จากบนความยาว ๆ กดสรุปแล้วแปลให้อ่านแป๊บเดียวก็เข้าใจได้เลย ตรงนี้เจ๋งมาก ๆ แต่…ฟีเจอร์นี้ยังจำกัดอยู่แค่บนแอป Samsung Internet กับ Samsung Notes เท่านั้นก่อนนะครับ
Live Translate แปลภาษาได้ทันที คุยกับต่างชาติง่ายขึ้น
เรื่องการสื่อสารก็ดูเป็นจุดที่ Samsung พยายามนำเสนอมาบน Galaxy AI พอสมควร รอบนี้เลยเพิ่มฟีเจอร์ Live Traslate ใหม่ให้เราได้แปลภาษาขณะคุยโทรศัพท์ได้แบบเรียลไทม์เลย ซึ่งเมื่อกดโทรออกจะมีตัวเลือก Call Assist ที่ช่วยแปลงภาษาที่เราพูดเป็นภาษาอื่นได้ พร้อมแปลงเป็นข้อความบนหน้าจอด้วยว่าที่พูดออกมาคืออะไรและแปลงเป็นยังไง
ซึ่งเท่าที่เราลองก็ถือว่าใช้งานได้ดีเลย แม้จะต้องรอเวลาในการแปลสักครู่ แต่ความดีงามคือถ้าเราดาวน์โหลดชุดภาษาที่จะใช้ไว้ในเครื่องแล้ว การทำงานทุกอย่างจะผ่านเครื่องหมดเลย ไม่จำเป็นต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต ส่วนข้อจำกัดก็มีอยู่บ้างคือ ณ ตอนนี้จะยังแปลภาษาได้เฉพาะแค่บนแอปโทรศัพท์อย่างเดียวเท่านั้น บน LINE Call หรือ Messenger Call ยังไม่รองรับด้วยครับ
Interpreter แปลภาษากันแบบต่อหน้าก็ได้ด้วย
หรือ…ถ้าอยู่กันต่อหน้าเลยก็มีแอป Interpreter ให้ใช้ด้วย เราสามารถคุยกับฝั่งตรงข้ามเป็นภาษาไทยและให้ AI แปลเป็นภาษาอื่นได้เลย ตัว UI จะออกแบบมาให้แต่ละฝั่งสามารถเห็นข้อความของตัวเองได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องคอยสลับมือถือยื่นไป-มาแล้ว และเช่นเดียวกับ Live Translate ความดีงามก็คือถ้าเราโหลดชุดภาษามาแล้ว ฟีเจอร์นี้ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตในการแปลภาษาเลยด้วย
Chat Assist ผู้ช่วยในการแชทก็มีด้วย
ไม่ใช่แค่คุยผ่านเสียงเท่านั้น การพิมพ์แล้วแปลภาษาก็ได้ด้วย Samsung Keyboard ใหม่ เราสามารถพิมพ์ภาษาไทยและให้แปลงเป็นภาษาอื่นได้ทันที และไม่ใช่แค่แปลตรง ๆ เพราะยังมี Writing Style ที่มีตัวเลือกเพิ่มเติม สร้างรูปแบบประโยคแบบ ทางการ, เล่น ๆ, หรือสร้างแคปชั่นไว้ใช้ในโซเชี่ยลพร้อม # ก็ได้อีก
Photo Assist ตกแต่งภาพได้มากกว่าเดิมด้วย Galaxy AI
มาสู่เรื่อง AI กับการแต่งภาพกันบ้าง ฟีเจอร์ใหม่นี้เราสามารถครอปภาพแล้วเพิ่มส่วนที่ขาดหายด้วย AI ได้แล้วนะ เคยไหมที่ถ่ายภาพมาแล้วเอียง แต่พอจะครอปให้ตรงบางส่วนในภาพก็ขาดอีก แต่ถ้าเราปรับภาพด้วย Galaxy AI ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพราะเสริมด้วย AI เข้าไปแบบเนียนสุด ๆ เลย
หรือถ้าแค่เจนภาพใหม่ยังไม่พอ Galaxy AI ก็ยังสามารถเลื่อน, ย้าย, หมุนวัตถุในภาพได้อีกนะ อย่างบางภาพเราถ่ายมาสวยทั้งสีสันระยะของภาพแล้ว แต่คอนโพสของแบบดันไม่ถูกใจ อยากให้ตัวใหญ่ขึ้นอีกนิด ย้ายจากซ้ายมาขวาแทน อะไรทำนองนี้ Galaxy AI ก็จัดการให้ได้หมดครับ
Generative Wallpaper ใช้ AI สร้าง Wallpaper สวย ๆ ให้ เปลี่ยนได้ไม่มีเบื่อ
ปิดท้ายที่ฟีเจอร์ Generative Wallpaper ที่เอาใจคนขี้เบื่อสุด ๆ เพราะฟีเจอร์นี้จะให้เราเลือกองค์ประกอบของสิ่งที่อยากให้มีรวมถึงโทนสี และ Gen ขึ้นมาเป็น Wallpaper แบบใหม่ หรือเข้ามาช่วยสร้าง Wallpaper แบบใหม่กว่า 9 หมวดหมู่หลักกันเลย แต่ข้อสังเกตของฟีเจอร์นี้ก็คือความละเอียดอาจไม่มากเท่าไหร่นัก ถ้าเราเปิดความละเอียดจอเป็น QHD+ ก็อาจจะเห็นว่าภาพไม่ค่อยคมได้ ถ้า Gen ภาพที่มีรายละเอียดเยอะ ๆ ขึ้นมาเนาะ
นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ Samsung เรียกว่า Galaxy AI เท่านั้นเนาะ บางอย่างก็ดูมีประโยชน์และใช้งานได้จริงบ่อย ๆ แต่บางฟีเจอร์ก็อาจจะต้องอาศัยจังหวะเวลาหรือบางสถานการณ์ในการใช้เท่านั้น แต่ก็ถือว่าให้มาได้ครบถ้วนสมกับที่เป็น Galaxy AI อยู่ไม่น้อยครับ จุดที่เราต้องชม Samsung เลยก็คือฟีเจอร์เกี่ยวกับภาษานั้นรองรับภาษาไทยมาครบตั้งแต่แกะกล่อง จึงทำให้รู้สึกว่าได้ใช้จริงแน่ ถ้ามีโอกาส
รันด้วย One UI 6.1 เวอร์ชั่นล่าสุดแล้ว
ซึ่งความสามารถของ Galaxy AI จริง ๆ แล้วจะผูกมากับระบบปฏิบัติการตัวล่าสุดของ Samsung อย่าง One UI 6.1 (พื้นฐาน Android 14) นั่นเอง ซึ่งรอบนี้ Samsung เอาจริงเอาจังในเรื่องของซอฟต์แวร์เป็นพิเศษนอกจากเรื่องฟีเจอร์ใหม่ ๆ แล้ว ก็ยังมีการอัปเดตที่ยืนยันว่าจะให้ Galaxy S24 Series นี้อัปเดตได้ยาวถึง 7 ปีอีกต่างหาก ใครคิดว่าจะใช้ยาว ๆ ก็สบายใจได้เลยครับ
กล้องหลัง 4 ตัว Periscope ตัวใหม่!
มาต่อที่เรื่องกล้อง Galaxy S24 Ultra ยังคงชูจุดเด่นเรื่องกล้องหลัง 4 ตัวครบระยะเหมือนเดิม แต่รอบนี้อัปเกรดกล้องใหม่ดังนี้เลย
- 200MP กล้องหลัก f/1.7 OIS
- 12MP กล้อง Ultra Wide มุมกว้าง 120º f/2.2
- 10MP กล้อง Tele 3x f/2.4 OIS
- 50MP กล้อง Periscope 5x f/3.4 OIS
- 12MP กล้องหน้า f/2.2
หลัก ๆ ยังใช้ทั้ง 4 ตัวคล้ายเดิม กล้องหลักโดดเด่นด้วย 200MP + กล้อง Ultra Wide 12MP + กล้อง Tele 3x 10MP แต่กล้องใหม่ที่อัปเกรดมาคือ Periscope 50MP ที่จัดเต็มความละเอียดเพิ่มขึ้น แต่ระยะ Optical Zoom จะเหลือ 5x แทนครับ ซึ่งในการถ่ายรูป Galaxy S24 Ultra จะมี Galaxy AI เข้ามาเติมเต็มในเรื่องของคุณภาพด้วยเช่นกัน
มี ProVisual engine ประมวลผลภาพแบบใหม่
ซึ่งในการประมวลผลรอบนี้ Samsung จะใช้เทคนิคใหม่เรียกว่า ProVisual engine ที่ทำงานร่วมกับ AI ในการคำนวณทั้งสีสันและความคมชัดเข้าไป ช่วยให้ในแต่ระยะของภาพมีความคมชัดมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ระยะ Optical ที่ระบบตั้งมาให้เท่านั้นแล้ว
ส่วนคุณภาพของกล้องหลังจากใช้งานจริง ต้องบอกเลยว่าทำได้ยอดเยี่ยมอย่างเคยครับ จัดการ Dynamic Range ที่ดี Super HDR ทำงานได้ครบ แต่ในเรื่องสีสันต้องบอกก่อนว่ารอบนี้ Samsung เปลี่ยนแนวคิดในการ Process ใหม่ ไม่ใช่เน้นไปที่ภาพที่สวยสดตั้งต้น แต่ภาพที่ออกมาส่วนใหญ่จะเป็นโทนสมจริงยิ่งขึ้น มีมิติที่ชัดเจนกว่าเดิม และพอบวกกับหน้าจอที่สีสันสมจริงไม่จัดจ้านเท่าเดิมก็รู้สึกได้เลยว่ามีความลงตัวขึ้น แต่…สำหรับใครที่ใช้รุ่นก่อน ๆ แล้วติดสีสดมา อาจจะไม่ถูกใจนักครับ
กล้อง Ultra Wide เก็บมุมกว้าง โทนสีใกล้กับกล้องหลัก
ต่อมาเป็นกล้อง Ultra Wide ที่ให้ความละเอียดมา 12MP เหมือนเดิมมุมกว้าง 120º เท่าเดิม จริง ๆ ก็คือฮาร์ดแวร์ตัวเดิมเลยนั่นแหละ แต่ด้วย Galaxy AI ที่เก่งขึ้นบวกกับการ Process ภาพแบบใหม่ ทำให้คุณภาพโดยรวมของภาพนั้นสวยคมเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ไฟล์ที่ได้ทำออกมาได้ดีเลยครับ สีสันใกล้เคียงกับกล้องหลักพอสมควร ให้ทั้งมุมกว้างที่เก็บรายละเอียดได้ดีสุด ๆ
ซูมระยะใกล้ถึงกลางดีขึ้น เพราะเก็บแสงได้มากกว่าเดิมถึง 60%
มาต่อกันที่ 2 กล้องสุดท้ายอย่างกล้องซูม อย่างที่บอกไปว่า Galaxy S24 Ultra นั้นเปลี่ยนกล้อง Periscope ตัวเก่ง 10x มาเป็น 5x แทน แต่ก็ไม่ใช่ลดทางยาวโฟกัสอย่างเดียว เพราะเขาเพิ่มความละเอียดและขยายเซ็นเซอร์ขึ้นใหม่เป็น 50MP เคลมว่ารับแสงได้มากขึ้น 60%
เท่ากับว่าทีนี้ในระยะซูมระดับใกล้ถึงกลาง 3x – 8x ก็จะได้ภาพที่คมชัดขึ้นเพราะมีกล้อง 5x เข้ามาเติมช่องว่างระหว่างกล้อง 3x – 10x ได้พอดี ซึ่งในระยะ 3x นั้น S24 Ultra ยังคงใช้กล้อง 10MP ตัวเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ S21 Ultra เลย ซึ่งเราว่าคุณภาพของกล้องทั้งขนาดเซ็นเซอร์และความละเอียดอาจจะน้อยไปนิดแล้วในปี 2024 แบบนี้ แม้เราจะเข้าใกล้ได้มากขึ้นแต่มิติของภาพก็ไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่ เนื่องจากเซ็นเซอร์เล็ก ละลายหลังได้ไม่สวยนัก แต่ก็ยังเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปอยู่ล่ะครับ
ส่วนกล้อง 5x ใหม่ที่เปลี่ยนมา ตรงนี้เราขอชมว่าทำได้ดีขึ้นจริง เพราะเป็นระยะที่เราน่าจะได้ใช้ในชีวิตประจำวัน แถมพอเปลี่ยนมาเป็นตัวใหม่ที่เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น (กว่าทั้งกล้อง 3x และ 10x เดิม) ก็ช่วยให้เราได้มิติของภาพที่ดีขึ้นอีก แถมได้ความละเอียด 50MP และ Galaxy AI มาคอยปรับภาพหลังถ่าย จะซูมเข้าไปในระยะ 5x – 9x ก็ยังคมชัดไม่ต่างจากระยะ Optical เลยด้วย
หรือถ้าจะเน้นซูมไปไกลกว่านั้น Galaxy S24 Ultra ก็ยังให้ซูมสูงสุดที่ 100x เหมือนเดิม คุณภาพก็ถือว่าทำได้ดีครับ แต่ถ้าถามว่าชัดขึ้นจากตอน S23 Ultra ไหม คงต้องบอกตรง ๆ ว่า “ไม่” ครับ ยิ่งในระยะที่เกิน 10x ไปจะเห็นว่าการประมวลผลจาก AI ที่เข้ามาช่วยก็ยังได้ไม่เท่าระยะ Optical จริง ๆ ซะทีเดียว เพราะอย่างที่บอกไปว่าระยะ Optical ของกล้อง Periscope ใหม่นั้นจะอยู่ที่ 5x แม้จะใช้เทคนิค In-Sensor Zoom ได้ก็จริง แต่ถ้ามากกว่านั้นก็กลายเป็น Hybrid Zoom แทน ทำให้ภาพที่ออกมานั้นไม่คมชัดเท่ากับภาพที่ได้จากกล้อง Optical 10x จริง ๆ เหมือนตอน S23 Ultra นั่นเองครับ
Portrait mode ได้เป็น 4 ระยะแล้วนะ
แต่ในการเปลี่ยนกล้อง Periscope มาเป็นระยะ 5x เองก็จะได้ประโยชน์จากโหมด Portrait แทน เพราะ Galaxy S24 Ultra สามารถถ่าย Portrait ได้มากถึง 4 ระยะคือ 1x > 2x > 3x > 5x แล้ว ช่วยให้เราถ่ายคนได้หลายมิติมากขึ้น จะเต็มตัว ครึ่งตัว ครอปเฉพาะใบหน้าก็ไหว
ซึ่งคุณภาพที่ได้ก็ถือว่าทำได้ดีเลยครับ พอเป็น 4 ระยะ ก็ช่วยให้เราเลือกมุมภาพได้หลากหลายจริง ส่วนการตัดขอบต่าง ๆ ก็ทำได้เนียนกำลังดี แถมเอฟเฟกต์ HDR ให้ฉากหลังเวลาย้อนแสงได้แบบครบถ้วน เอฟเฟกต์มีให้เลือกใช้และปรับทีหลังได้มากมาย ทำให้ถ่ายได้สนุกขึ้น แต่จุดสังเกตก็มีอยู่บ้างตรงที่สกินโทนและใบหน้ารอบนี้ที่เน้นสมจริงขึ้น ภาพอาจจะไม่ได้สวยวิ้งแบบจบหลังกล้องได้เลย แต่ถ้ามาปรับต่ออีกนิดก็ใช้งานได้เหมือนกันครับ
กล้องหน้า 12MP มี AF เหมือนเดิม
กล้องหน้าของ Galaxy S24 Ultra ถ้าดูจากสเปคแล้ว ก็คือตัวเดิมกับของรุ่นก่อนเลย มีความละเอียด 12MP พร้อม Autofocus ให้ภาพคมชัดและแม่นยำ ส่วนคุณภาพที่เราลองใช้งานก็ยังคงตามมาตรฐาน Samsung ครับ สีสันเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ Beauty จะเกินไป แต่แอบเสียดายที่เรื่องมุมมองภาพนั้นแคบไปนิดแล้วในปี 2024 ถ้าได้มุมกว้างไว้ Groupfie ได้ง่ายก็คงจะดี
วิดีโอสูงสุด 8K/30fps ทั้ง 1x และ 5x
สำหรับโหมดวิดีโอ Galaxy S24 Ultra ก็อัปเกรดความละเอียดสูงสุดมาที่ 8K/30fps แล้วด้วย แถมรอบนี้ยังใช้ได้ทั้งกล้องหลักระยะ 1x และกล้อง Periscope ระยะ 5x อีกด้วย ทำให้เราสามารถถ่ายวิดีโอได้แบบคมชัดสูงสุดที่หลากหลายไปอีก
แต่ถ้าอยากใช้ได้แบบความละเอียดสูงครบทุกกล้องก็สลับไปใช้เป็น 4K/60fps ได้ครับ รอบนี้เก่งขึ้นเพราะเราสามารถถ่ายวิดีโอแบบ 4K/60fps แล้วสลับกล้องขนาดถ่ายได้แล้ว จะมุมกว้างมาก ๆ ไปจนถึงระยะซูม 20x ก็ทำได้เลย แถมยังลื่นไหลสุด ๆ แบบ 60fps อีกนะ
หรือ…ถ้าแค่ 60fps ยังไม่พอในโหมด Pro Video ก็จะมีตัวเลือกให้เราได้ถ่ายแบบ 4K/120fps ด้วยนะ ใครทีชอบถ่ายแบบลื่นสุด เผื่อมาปรับเป็น Slow-mo ก็มาเลือกในโหมด Pro Video ได้เลยครับ
โดยรวมในเรื่องของกล้อง Galaxy S24 Ultra ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของเรือธง Samsung ครับ ใช้งานง่ายและไว้ใจได้ แต่รอบนี้มีการเปลี่ยนรูปแบบการ Process ใหม่หมด เน้นความสมจริงมากขึ้น ทำให้ความสดใสและจัดจ้านที่เป็นเอกลักษณ์ของโทนภาพจาก Samsung นั้นหายไปเล็กน้อย ชุดฮาร์ดแวร์ที่ดีมอบระยะของภาพได้หลากหลายยังติดมาอยู่ เพิ่มเติมคือการเปลี่ยนกล้อง Periscope จาก 10x มาเป็น 5x ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น แต่ก็แลกมากับระยะไกลเกิน 10x ที่ลดทอนกันลงมา อาจจะไม่ได้ถือว่าอัปเกรดไปจากรุ่นก่อนแบบเห็นชัดนัก แต่อย่าลืมว่านี่ยังเป็นเพียงซอฟต์แวร์ตัวแรกที่มาพร้อมเครื่องเท่านั้น เชื่อว่าในอนาคตอีกสัก 2 – 3 อัปเดตคงจะเข้าที่ ไม่ต่างจากตอน S23 Ultra ใหม่ ๆ นั่นแหละครับ
ประสิทธิภาพระดับสูงที่มาพร้อมการอัปเกรดทุกด้านโดยเฉพาะ AI
ปิดท้ายที่เรื่องประสิทธิภาพ Galaxy S24 Ultra มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 3 For Galaxy รุ่นพิเศษเหมือนเคย มีความเร็ว CPU Core แรงสุดพิเศษ 3.39GHz (รุ่นปกติ 3.3GHz) ที่รอบนี้อัปเกรดประสิทธิภาพขึ้นมาจากรุ่นก่อนอย่างมาก ทั้ง CPU เร็วขึ้น 20% GPU แรงขึ้น 30% และ NPU หรือ AI ที่ประมวลผลเร็วขึ้นอีก 41% เรียกว่าอัปเกรดมาเพื่อ Galaxy AI โดยแท้เลยล่ะ
พร้อมกับยังมีหน่วยความจำระดับสูงทั้ง RAM แบบ LPDDR5X ขนาด 12GB และ Storage แบบ UFS 4.0 ให้เลือก 3 ความจุคือ 256GB/512GB/1TB มอบความลื่นไหลระดับสูงสุดสมกับเป็นเรือธงจาก Samsung จริง ๆ ครับ
แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะแรงขึ้นการจัดการความร้อนก็ดีขึ้นด้วย Galaxy S24 Ultra มีการขยายพื้นที่ของ Vapor Chamber ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 1.9 เท่า! ช่วยลดความร้อนสะสมเมื่อใช้งานต่อเนื่องได้ดีขึ้นมาก
ซึ่งผลทดสอบของ Galaxy S24 Ultra จาก 2 Benchmark หลัก ก็ทำคะแนนออกมาเยอะสมกับที่คุยว่า CPU เร็วขึ้นถึง 20% จริง ๆ ได้คะแนนจาก Geekbench ไป Single-Core = 2259 คะแนน | Multi-Core = 2987 คะแนน
ส่วนฝั่ง AnTuTu ที่มีการทดสอบในหลาย ๆ ด้านก็ทำคะแนนสูงขึ้นมาเช่นเดียวกัน ได้ไป 1953558 คะแนน ด้าน GPU นั้นทำได้สูงขึ้นถึง 40% เลย เกินที่เคลมไว้ซะอีกนะเนี่ย
เล่นเกมเลยดีกว่า !
ที่ว่าแรง ๆ คะแนนสูง ๆ เราคงต้องมาทดสอบการเล่นเกมเพื่อลงสนามจริงสักหน่อย เพราะในการใช้งานทั่วไปด้วยสเปคนี้ก็ลื่นหัวแตกกันอยู่แล้ว เกมที่เราใช้ทดสอบ Galaxy S24 Ultra รอบนี้มี 2 เกมกราฟิกอลังการประกอบด้วย Asphalt 9 และ Call of Duty เหมือนเคยครับ
เล่น Asphalt 9 บน Galaxy S24 Ultra
เริ่มที่ Asphalt 9 ก่อนเลย ในการตั้งค่าเราปรับได้ที่ระดับ High Quality หรือสูงสุดอยู่แล้ว และยังปรับเฟรมเรตไปที่ 60fps ได้ด้วย เรียกว่าเต็มรูปแบบที่เกมจะเลือกตั้งค่าได้แล้วก็ว่าได้ ตัวเกมทำได้อย่างลื่นไหลเอามาก ๆ เฟรมเรตลื่น ๆ แบบ 60fps ตลอด แถมภาพก็ยังสวยบนหน้าจอแบบแบนใหม่ที่ให้ความรู้สึกเต็มตากว่าที่เคย ความลื่นไหลก็ยอดเยี่ยม ไม่เจออาการภาพแตกหรือหยาบ ๆ เลยครับ
เล่น Call of Duty บน Galaxy S24 Ultra
ส่วนเกมยิงสุดมันส์อย่าง Call of Duty ด้วยชิประดับท็อปสุดเราจึงเลือกปรับระดับกราฟิกได้ที่ Very High คู่กับเฟรมเรตแบบ Max เลยครับ หรือจะเลือกเป็นกราฟิก Medium แล้วไปเปิดเฟรมเรตเป็น Ultra เพื่อดันไปถึง 120fps ก็ได้เช่นกัน เท่าที่เล่นมาแบบจริงจัง S24 Ultra เล่นเกมแนวนี้ได้ดีมาก ๆ ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่สะใจและไม่ยาวจนเกินไป บวกกับสเปคที่แรงเหลือ ๆ เล่นได้อย่างลื่นไหลตลอดทั้งเกม ไม่เจออาการกระตุกให้เห็นเช่นกัน ลำโพงคู่ที่เสียงดีขึ้นก็ช่วยให้เราเล่นได้สะใจทั้งเสียงกระสุนหรือเสียงฝีเท้าของศัตรูก็ชัดเจนและแม่นยำครับ
แบตเตอรี่ใช้งานได้ดีสมกับเป็นรุ่น Ultra
ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ Galaxy S24 Ultra ก็ได้ความจุแบตฯมาที่ 5000mAh เหมือนเดิม ในเรื่องการใช้งานก็ถือว่าทำได้ดีใกล้เคียงกับรุ่นก่อน อาจจะไม่ถึงกับอึดแบบเว่อวัง แต่ก็ใช้งานได้แบบเต็มอิ่มตลอดทั้งวันแน่นอน
ชาร์จไว 45W เหมือนเดิม จริง ๆ ก็พอแล้วนะ
สำหรับระบบชาร์จ Galaxy S24 Ultra ให้ระบบชาร์จไว Super Fast Charging 2.0 ที่ความเร็ว 45W เท่าเดิม ใช้ร่วมกับอะแดปเตอร์ที่รองรับ PD ได้ ใครที่ย้ายมาจากรุ่นก่อนก็สบายครับ ใช้ชุดเดิมได้เลยไม่ต้องหาอุปกรณ์เสริมใหม่ให้วุ่นวาย ซึ่งความเร็วสูงสุดที่ 45W ในความรู้สึกเราก็คิดว่าเพียงพอแล้วล่ะ ไม่ได้ช้ามากและก็เร็วกำลังดี ใช้หนัก ๆ มาขอเวลาสักครู่ก็ชาร์จกลับมาใช้ต่อได้ยาว ๆ แล้ว
ในเรื่องประสิทธิภาพของ Galaxy S24 Ultra ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมครับ ทั้งชิปเซ็ตที่จัดการได้เป็นอย่างดี ไม่เจอปัญหาติดขัดในการใช้งาน ทั้งการเล่นเกมกราฟิกสูง ๆ หรือการใช้งานหนัก ๆ เลย และการเพิ่มขนาด Vapor Chamber ใหม่ให้ใหญ่ขึ้นเกือบ 2 เท่าก็ระบายความร้อนได้ดีขึ้นจริง แม้ถ้าใช้งานหนัก ๆ จะรู้สึกได้ว่าร้อนบริเวณกรอบเครื่องที่เป็นไทเทเนียมก็ตาม แต่ถ้าเราพักเครื่องไว้สักพักก็จะระบายออกได้อย่างรวดเร็วทีเดียว มีแบตเตอรี่ที่เยอะเพียงพอกับระบบชาร์จเร็วมาตรฐาน เรื่องประสิทธิภาพไม่มีอะไรต้องห่วงบน Galaxy S24 Ultra แล้วล่ะครับ
ราคาเริ่มต้น 46,900 บาท มีให้เลือก 3 ความจุ
ก่อนจะไปสรุปรีวิว เราขอมาสรุปราคาของ Galaxy S24 Ultra ปิดท้ายสักหน่อย ปีนี้ยังมีให้เลือก 3 ความจุเหมือนเดิม มีราคาแต่ละรุ่นดังนี้เลย
- รุ่น 12GB + 256GB ราคา 46,900 บาท
- รุ่น 12GB + 512GB ราคา 52,900 บาท
- รุ่น 12GB + 1TB ราคา 62,900 บาท
สรุปแล้ว “นี่คือก้าวแรกสู่ยุคใหม่ของ Galaxy AI ที่ดี แต่คิดว่ายังดีกว่านี้ได้อีก”
สรุปแล้ว Galaxy S24 Ultra ก็เป็นเรือธงประจำปี 2024 ของ Samsung ที่อัปเกรดมาในหลายจุด ทั้งฮาร์ดแวร์ที่ยอดเยี่ยมด้วยหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ครอบด้วยกระจก Gorilla Glass Armor สวย เต็มตากว่าที่เคย, กรอบเครื่องไทเทเนียมที่ไม่ใช่จุดขายหลักแต่ก็ชวนให้สัมผัสทุกครั้งเวลาเห็น, ชิปเซ็ตใหม่ที่อัปเกรดตามรอบก็แรงสมใจแหละ, กล้อง Periscope ใหม่ที่เข้ามาตอบโจทย์คนที่ซูมไม่ทะลุทะลวงมากจนเกินไป หรือจะเป็นซอฟต์แวร์ที่ดูตั้งใจดันมาอย่างเต็มที่ด้วย Galaxy AI ที่น่าจะตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการใช้งานจริง ๆ ทุกอย่างก็ดูเพียงพอต่อการเป็นรุ่นใหม่แล้วจริง ๆ แต่ถ้าถามว่าดีกว่านี้ได้ไหม เราว่า Samsung ยังทำได้ดีกว่านี้ ทั้งในเรื่องคุณภาพกล้อง โทนสีหน้าจอ หรือฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่พึ่งพา Galaxy AI ซึ่งทั้งหมดนี้น่าจะทยอยปรับแก้กันในซอฟต์แวร์อัปเดตเวอร์ชั่นถัด ๆ ไปได้ไม่ยากนัก เพราะประสบการณ์ตอน S23 Ultra บอกเราแล้วว่า แม้เริ่มต้นอาจไม่ดีนัก แต่สุดท้ายแล้วนี่จะเป็นเรือธงที่ดีควรค่าแก่การใช้งานตลอดทั้งปีแน่นอน!