รีวิว Galaxy Tab S10 FE+ แท็บเล็ตสายคุ้มรุ่นล่าสุดจาก Samsung ที่รอบนี้ ใช้คำโปรโมทว่า “จอใหญ่ม้ากกมัลติทาสก์สบายย” เพราะอัปเกรดขนาดหน้าจอมาได้ถึงใจเป็น 13.1″ ใช้ One UI 7 ที่ลื่นไหล รองรับการทำงานแบบ Multi-Tasking ได้เต็มรูปแบบ แบ่งได้ถึง 3 จอ ช่วยให้ทำงาน เรียน ได้อย่างไม่ติดขัด พร้อม S Pen มาในกล่อง ฟีเจอร์ครบ ไม่ต้องชาร์จ นอกจากนี้ยังมีสเปคภายในที่อัปเกรดมาจนน่าใช้งานกว่าเดิม บอกเลยว่ารอบนี้ใครที่มองหาแท็บเล็ตจอใหญ่ในราคาจับต้องได้ ฟีเจอร์ครบ ไม่ควรพลาด!

และหลังจากเราลองใช้งานจริงราว 2 สัปดาห์ วันนี้ขอมา รีวิว Galaxy Tab S10 FE+ แชร์ประสบการณ์การใช้งานจริงให้ทราบกันหน่อย ว่าตอบโจทย์ใครบ้าง เอ้า! เริ่มกันเลยเถอะ
ราคาและโปรโมชั่น
ขอเบรคกันที่ราคาเปิดตัวก่อนเลยละกันเนาะ Galaxy Tab S10 FE+ เปิดตัวมาด้วยกัน 2 รุ่นคือ รุ่น WiFi และรุ่น 5G มีความจุเดียวเลยคือ 12GB+256GB ราคาต่างกันดังนี้ครับ
- Galaxy Tab S10 FE+ รุ่น WiFi = 26,900 บาท
- Galaxy Tab S10 FE+ รุ่น 5G = 29,900 บาท

มีโปรโมชั่นเมื่อซื้อเครื่องภายในวันที่ 10 – 23 เมษายน 68 รับฟรี AI Keyboard Cover หรือ Book cover มูลค่า 2,990 บาท และอะแดปเตอร์ชาร์จไว 45W มูลค่า 1,090 บาทไปเลยด้วยเลย (เฉพาะ Samsung Experience Store และ Samsung.com และสาขาที่ร่วมรายการ)

สรุปสเปค Samsung Galaxy Tab S10 FE+
- ขนาดตัวเครื่อง : 194.7 x 300.6 x 6.0 มม.
- น้ำหนัก : 664 กรัม (WiFi) 668 กรัม (5G)
- หน้าจอ : LCD ขนาด 13.1” อัตราส่วน 16:10
- ความละเอียด WQXGA+ (2880 x 1800 พิกเซล) ความสว่างสูงสุด 800nits
- Refresh rate : 90Hz
- ชิปเซ็ต : Exynos 1580 Octa-Core 2.9GHz (4nm)
- RAM : 12GB
- storage : 256GB (รองรับ MicroSD สูงสุด 2TB)
- แบตเตอรี่ : 10,090 mAh
- ระบบชาร์จ : รองรับสูงสุด 45W Super Fast Charge 2.0
- กล้องหน้า : 12MP (Ultra Wide)
- กล้องหลัง : 13MP f/2.0
- รองรับการเชื่อมต่อ : 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3 และพอร์ต USB-C
- รองรับปากกา : S Pen (ให้มาในกล่อง)
- ระบบปฎิบัติการ : Android 15 (One UI 7.0)
- สีสัน : Gray

หน้าจอใหญ่ 13.1″ ครั้งแรกของ Galaxy Tab
ได้เวลายลโฉม Galaxy Tab S10 FE+ แล้วครับ! อย่างแรกที่เราอยากพูดถึงเลยก็คือ “ขนาดหน้าจอ” เพราะรอบนี้ Samsung ขยายหน้าจอให้ใหญ่ขึ้นสะใจจาก 12.4″ มาเป็น 13.1″ ซึ่งใหญ่กว่าเดิมถึง 12% อลังการมาก ๆ เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกของ Galaxy Tab เลยที่มีขนาดหน้าจอนี้ครับ

แต่ไม่ใช่จอใหญ่ขึ้นอย่างเดียว แต่ขนาดตัวเครื่องยังบางลงเพียง 6 มม. อีกด้วย ทำให้มองภาพรวมของหน้าจอดูสวยงามและเต็มตาขึ้นไปอีกเนาะ

ในเรื่องคุณภาพของจอแสดงผล Galaxy Tab S10 FE+ ได้หน้าจอ LCD ความละเอียดอยู่ที่ WQXGA+ (2880 x 1800 พิกเซล) แถมยังได้อัปเกรดความสว่างสูงสุดขึ้นมาเป็น 800nits (จากเดิม 720nits) ช่วยให้เราใช้งานในที่แสงจ้า ๆ ได้ดีขึ้น

ด้านการแสดงผลจากสเปคที่บอกไว้ก็คงพอเห็นภาพว่า สีสันและความสวยงามทำได้ดีแน่นอน ตอบโจทย์ทุกสาย ไม่ว่าจะเป็นด้านความบันเทิงที่เน้นการดูหนัง ดูซีรีส์ก็ได้ความสวยสดแบบลงตัว, เล่นเกมที่ต้องการความเต็มอิ่มถึงใจ, สายทำงานที่ต้องการทำงานหลาย ๆ แอปพร้อมกัน, สายวาด สายจดที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น ตรงนี้ Galaxy Tab S10 FE+ ให้คุณได้หมด และดีด้วยเพราะจอใหญ่ตั้ง 13.1″ นี่เนอะ



ลื่นไหลระดับ 90Hz ไม่ติดขัด
นอกจากนี้ตัวหน้าจอก็ยังมี Refresh rate สูง 90Hz ช่วยให้เราได้ประสบการณ์การทำงานที่ลื่นไหล ทั้งในการทำงานทั่วไปเวลาเลื่อนหน้าจอก็ไม่รู้สึกช้าหรือกระตุก หรือจะไปต่อในการจด การเขียนบนหน้าจอร่วมกับ S Pen ก็ตอบสนองได้ทันใจมาก ๆ

งานประกอบดี แข็งแกร่ง และบางเฉียบ
ด้านงานประกอบ Galaxy Tab S10 FE+ ก็ยังได้วัสดุแบบ Metal Unibody หรือโลหะที่แข็งแกร่งทั้งชิ้นเหมือนเดิม มอบความพรีเมี่ยมเวลาจับถือเป็นอย่างมาก และความแน่นหนาที่ได้จากตัวเครื่องก็หายห่วง ไม่ต้องกังวลว่าจะงอหรือเสียหายเอาง่าย ๆ เลยจริง ๆ

และถึงแม้จะบอกว่าแข็งแกร่ง แต่ในเรื่องความบางรุ่นนี้ก็ยังทำได้ดี เพราะลดลงมาเหลือแค่ 6 มม.เท่านั้น บางลงกว่ารุ่นก่อนถึง 0.5 มม. ส่วนน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 668 กรัม (จาก 628 กรัม) แต่ก็แลกมากับขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นอีกพอสมควรเลยล่ะนะ

ตำแหน่งปุ่มกดวางมาดี เน้นใช้งานแนวนอน
ปุ่มกดของ Galaxy Tab S10 FE+ นั้นวางไว้ให้เราได้กดอย่างถนัดในแนวนอน เพราะปุ่มทุกอย่างจะอยู่ที่มุมบนทั้งหมด ถ้าเราวางเครื่องในแนวนอน มีปุ่ม Power พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่คู่กับปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และไมโครโฟนต่าง ๆ ไล่ไปจนถึงช่องใส่ถาดซิม (สำหรับรุ่น 5G) ที่มีช่องสำหรับใส่ microSD ได้ดีด้วย


พอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C ก็จะอยู่ที่มุมขวาเวลาวางเครื่องแนวนอน ใช้งานได้สะดวกในการเสียบชาร์จไปด้วยทำงานไปก็ไม่มีปัญหา

มีลำโพงคู่ เสียงแน่น
ส่วนลำโพงของตัวเครื่องให้มา 2 ตัววางตำแหน่งไว้ซ้าย-ขวาเหมือนเดิม หรือถ้าใช้งานในแนวตั้งก็เป็นบน-ล่างเนาะ ตำแหน่งดีครับ เวลาเราถือเครื่องแนวนอนก็จะไม่เอามือไปบังได้ง่าย ๆ ทำให้เสียงที่ได้ออกมาชัดเจน และพอเป็นลำโพงคู่ก็ให้เสียงกระจายออกมาเป็น Stereo เลย เสียงแน่นตามสไตล์แท็บเล็ต Samsung ครับ


กล้องหลังเหลือเพียงตัวเดียว ส่วนกล้องหน้าได้มุมกว้าง
เรื่องกล้อง Galaxy Tab S10 FE+ จะลดกล้องหลังมาเหลือตัวเดียว (จาก 2 ตัวในรุ่นก่อน) แต่ความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 13MP f/2.0 (จากเดิม 8MP) ทำให้เราได้คุณภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น ถ้าต้องการใช้งานตัวกล้องหลังจริง ๆ น่ะเนอะ

ส่วนกล้องหน้าก็ยังคงเป็นกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12MP เหมือนเดิม ซึ่งเราว่าตรงนี้ได้ใช้งานบ่อยกว่ากล้องหลังล่ะเนอะ เพราะถ้าเราจะใช้ Video Call คุยงานหรือเรียนออนไลน์แบบเปิดกล้อง ซึ่งตัวกล้องที่ได้มุมกว้างนี้ก็ถือว่าเพียงพอมาก ๆ แล้วล่ะครับ


ทนทานด้วยมาตรฐานกันน้ำ IP68
เรื่องความทนทาน Galaxy Tab S10 FE+ ก็ยังได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 มาเหมือนเดิม เป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่เราชอบมาก ๆ ในรุ่นที่แล้ว เพราะช่วยให้เรามั่นใจมากขึ้น แม้จะใช้งานในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือมีอุบัติเหตุอย่างน้ำหกใส่ เราก็จะมั่นใจได้ว่าแท็บเล็ตรุ่นนี้จะปลอดภัย

สรุปแล้วในเรื่องดีไซน์ Galaxy Tab S10 FE+ ก็ถือว่าทำได้ลงตัวยิ่งขึ้น ด้วยการขยายหน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 13.1″ ครั้งแรกของซีรีส์ ให้เราได้ใช้งานกันอย่างเต็มตา มีพื้นที่มากขึ้นทุกการใช้งาน ความเรียบหรูของวัสดุที่ใช้ และยังได้ความบางเฉียบที่ชวนให้พกพาติดตัวไปมากกว่าเดิม และที่ขาดไม่ได้เลยคือจุดเด่นเรื่องการกันน้ำที่ยังไม่ทิ้งไป ให้เราพร้อมลุยในทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเล่นหรือจริงจัง!

มี S Pen แถมมาให้ พร้อมฟีเจอร์ใช้งานเยอะ
เห็นตัวเครื่องอย่างเดียวก็ว่าน่าใช้งานแล้วเนาะ แต่เป็น Galaxy Tab S ทั้งที ความดีงามอีกอย่างก็คือต้องมีปากกา S Pen มาให้ใช้งานคู่กันด้วยแหละเนอะ ซึ่ง Galaxy Tab S10 FE+ ก็ยังคงมีแถมมาให้ในกล่อง ไม่ต้องซื้อแยกให้เปลืองสตางค์เหมือนเดิม และแน่นอนว่าใช้งานได้ทันทีด้วยฟีเจอร์ที่มากมาย แต่ไม่ต้องคอยมาชาร์จ หรือซิงค์ให้ยุ่งยากด้วย

ด้านดีไซน์ S Pen ของ Galaxy Tab S10 FE+ รอบนี้จะใช้สีขาวเรียบ ๆ เลย ไม่ใช่สีเทาแบบรุ่นก่อนแล้ว ก็ให้ความเด่นชัดดี มีแถบแม่เหล็กอยู่ที่ตัวด้ามด้วย ให้เราสามารถแปะติดกับที่กรอบเครื่องหรือด้านหลังได้เหมือนเดิม เพื่อพกติดไปใช้งานได้ ซึ่งแม่เหล็กก็ยึดได้แน่นพอสมควรเลยนะ


อย่างที่บอกว่าตัวปากกา S Pen นั้นไม่ต้องคอยมาชาร์จเมื่อต้องใช้งาน เพราะไม่มีแบตเตอรี่ในตัว ทำให้มีน้ำหนักที่เบา ถือใช้งานได้อย่างคล่องตัว และเขียนได้ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง ไม่ต้องยุ่งยากเชื่อมต่อ แกะกล่องออกมาก็ขีด เขียนบนหน้าจอได้เลยครับ มีฟีเจอร์ Air Action ให้เราได้กดเรียกเมนูลัดของการทำงานต่าง ๆ ได้ทันที

Screen Write แคปหน้าจอพร้อมจดได้ทันที
อย่างฟีเจอร์ Screen Write ให้เราได้ขีดเขียนลงบนหน้าจอได้ทันทีหลังแคปหน้าจอ ไม่ว่าจะเขียนคอมเมนต์ จดข้อมูลสำคัญลงไปบนหน้าจอ ก็ใช้ฟีเจอร์นี้ได้เลย หลังจากเราแคปหน้าจอแล้วจะมีเครื่องมือออกมาให้เราได้เขียนด้วยปากกาหลายรูปแบบ ให้เราได้จดบันทึกลงบนหน้าจอได้อย่างอิสระเลย สะดวกเหมือนกันนา

S Pen Translate แปลข้อความได้เรียลไทม์
หรือจะเป็นการแปลข้อความแบบด่วน ๆ อันนี้ใช้งานร่วมกับ S Pen แล้วสะดวกดีนักแหละ ไม่ต้องมานั่ง copy ประโยคแล้วสลับแอปไปมา เพราะเราสามารถใช้ S Pen ชี้แล้วแปลได้เลย ไม่ว่าจะเป็น Text, PDF, รูปภาพ หรือแม้แต่ดูหนังใน Netflix โดยสามารถเลือกแปลเป็นคำ หรือประโยคได้เลย หากกำลังดูซีรีส์เกาหลีที่มี Subtitle เป็นภาษาอังกฤษ ก็สามารถใช้ S Pen Translate แปลเป็นภาษาไทยได้อย่างเรียลไทม์เช่นกัน ตรงนี้มีประโยชน์มาก ๆ เลยล่ะ

AI Select เวอร์ชั่นล่าสุดของ Smart Select
ฟีเจอร์ Smart Select เดิมของ S Pen รอบนี้ก็อัปเกรดใหม่เป็นชื่อ AI Select แล้ว ได้ความสามารถ AI ที่ช่วยจัดการได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูล เลือกข้อความในส่วนที่เราครอป หรือจะเลือกครอปเฉพาะจุดไปใช้งานได้ทันที สร้างไฟล์ GIF แบบด่วน ๆ เรียกว่าเป็นฟีเจอร์ที่ดีงามมาก และพออัปเกรดความสามารถ AI เข้ามาอีก ก็ช่วยให้ทำงานได้หลากหลายขึ้นไปอีก

ใช้งานร่วมกับแอป Samsung Notes
ด้านแอปที่ใช้งานจริงจัง แน่นอนว่า Galaxy Tab S10 FE+ ก็มี Samsung Notes แอปช่วยจด ช่วยจัดการไฟล์เอกสารสำคัญติดมาในเครื่องเหมือนเดิม มีเครื่องมือให้เราได้ขีดเขียนจัดเต็ม ปากกาหลากหลายรูปแบบ รวมถึงรูปแบบการจดบันทึกไปพร้อมกับบันทึกเสียงก็ทำได้ด้วยนะ เหมาะมากสำหรับสายจด ที่สำคัญแอปนี้ “ฟรี” ด้วยนะจ๊ะ



โดยรวมแค่ฟีเจอร์หลัก ๆ ของ Samsung ที่ให้มาในเรื่องการจด การเขียน ก็ถือว่าดีงามมาก ๆ แล้ว เพราะให้มาตอบโจทย์แบบสุด ๆ ตั้งแต่จะจด จะเขียน จะคอมเมนต์ หรือจะสร้างแพลนก็ครบจบด้วย Samsung Notes เลย แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือตัวปากกา S Pen นี่แหละ ที่เรายังคงยกให้เป็นปากกา Stylus ที่ดีที่สุดบนแท็บเล็ตอยู่ดี เพราะทั้งหัวปากกาที่แหลมคม ลงน้ำหนักได้หลายระดับ ทำงานร่วมกับหน้าจอ 90Hz และที่สำคัญคือปากกาตัวนี้ให้มาฟรีแบบติดกล่องมาเลย ไม่ต้องซื้อแยกนี่แหละ คุ้มเกินคุ้มแล้วจริง ๆ ครับ

ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุด One UI 7 ลื่นไหล ใช้งานได้หลากหลาย
มาต่อในเรื่องซอฟต์แวร์ Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อมกับ Android 15 ที่ครอบทับด้วย One UI 7 หรือเวอร์ชั่นล่าสุดของ Samsung ณ ตอนนี้แล้ว เป็นเวอร์ชั่นที่มีการปรับปรุงเยอะมาก ทั้งความลื่นไหล และความสวยสดของไอคอนต่าง ๆ

Multi-task สบายแบ่งจอได้สูงสุด 3 แอป
ความได้เปรียบของหน้าจอใหญ่ ๆ อย่างแท็บเล็ตก็คือการแบ่งการทำงานหลาย ๆ แอปนี่แหละ และทาง Samsung เขาก็เก่งเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ความดีงามของ Galaxy Tab S10 FE+ ก็คือรอบนี้จอใหญ่ขึ้นเป็น 13.1″ แล้วนะ ทำให้เรามีพื้นที่มากขึ้นอีกหน่อยในการใช้งาน จะแบ่ง 2 แอปทำงานพร้อมกันบน-ล่างหรือซ้าย-ขวาก็ง่ายดาย หรือจะเพิ่มมากกว่านั้นก็เพียงแค่ลากไอคอนแอปด้านล่างขึ้นมาได้เลย รวมเป็น Multiwindow ได้สูงสุด 3 แอป

และเรื่องแบ่งจอนี่ Samsung เขาก็เก่งอย่างที่บอก เพราะตัวระบบสามารถบังคับให้ทุกแอปแบ่งจอได้ ไม่ใช่แค่แอปที่รองรับเท่านั้น เพราะแอปที่ไม่รองรับ อย่าง IG ที่ปกติต้องแสดงแนวตั้งอย่างเดียวและจับคู่กับแอปอื่น ๆ ก็ไม่ได้ บน Galaxy Tab S10 FE+ ก็แบ่งได้เลย จะเปิดคู่กับ YouTube หรือเข้าเว็บไซต์ไปด้วยก็ไม่ติดขัด นี่แหละความดีงามจริง ๆ

ค้นหาง่ายทันใจด้วย Circle to Search
ฟีเจอร์เรื่องการค้นหา Galaxy Tab S10 FE+ ก็มีฟีเจอร์ Circle to Search มาให้ใช้งานเหมือนเคย อยากรู้อะไรก็แค่วง ค้นหาได้ทันใจและทันที ฟีเจอร์นี้ทำงานร่วมกับ Google เลย จะหาภาพบนหน้าจอ, แปลภาษาทั้งหน้าจอ หรือค้นหาเพลงก็เพียงแค่กดปุ่มโฮมค้างเอาเนาะ

สเปคที่อัปเกรดขึ้นด้วยชิป Exynos 1580
มาต่อเรื่องสเปคกันบ้าง Galaxy Tab S10 FE+ มาพร้อมชิปเซ็ต Exynos 1580 ตัวใหม่ล่าสุดขนาด 4nm เป็นแบบ Octa-Core ความเร็ว 2.5GHz ทาง Samsung เคลมว่าประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่ารุ่นก่อน (Tab S9 FE+) ด้าน CPU 35% , GPU 53% และ NPU มากถึง 198% เลยนะ ซึ่งทำให้การใช้งานโดยรวมนั้นลื่นไหล ตอบสนองดียิ่งขึ้น อีกทั้งพอใช้งานร่วมกับ One UI 7 ด้วยแล้วก็ยิ่งดีงามเข้าไปใหญ่เลยล่ะ

เพื่อให้เห็นภาพของประสิทธิภาพคร่าว ๆ ของ Galaxy Tab S10 FE+ เราลองทดสอบผ่านแอป Benchmark ให้เห็นคะแนนจาก AnTuTu Benchmark กันหน่อย 883150 คะแนนออกมาสูงใช้ได้ที่ คะแนน เรียกว่าอยู่ในระดับแท็บเล็ตสเปคดีในปี 2025 เลย

หรือจะเป็นคะแนนจาก Geekbench 6 ก็ได้ Single-Core ที่ 1349 คะแนน และ Multi-Core ออกมาที่ 3857 คะแนนครับ ใช้งานได้อย่างสบายใจแน่นอนด้วยคะแนนระดับนี้เนาะ

เล่นเกมได้ดีกับสเปคระดับนี้
เรื่องการเล่นเกม Galaxy Tab S10 FE+ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ รอบนี้เราลองเล่นกับ Asphalt 9 และ PUBG Mobile ครับ ผลทดสอบของแต่ละเกมก็ออกมาตามนี้เลยครับ

เล่น Asphalt 9 บน Galaxy Tab S10 FE+
เริ่มที่ Asphalt 9 เราสามารถปรับกราฟิกได้ที่ระดับ High Quality หรือสูงสุด ร่วมกับ 60fps ได้ ในการเล่นจริง ๆ ก็ทำได้ดีเลยครับ กราฟิกสวยคมบนหน้าจอขนาดใหญ่ระดับ 13.1″ นี่สะใจมาก ๆ การควบคุมถ้าใช้แบบ Touch Drive ก็เลือกทิศทางได้ง่าย ส่วนความลื่นไหลก็ 60fps นิ่ง ๆ ล่ะครับ

เล่น PUBG บน Galaxy Tab S10 FE+
ต่อมากับเกม PUBG เราสามารถปรับระดับกราฟิกและเฟรมเรตได้สูงสุดที่ HD+High เพียงพอที่จะได้ความคมชัดของภาพและความลื่นไหลของการเล่นระดับ 30fps แล้ว ตัวเกมแสดงผลได้ยอดเยี่ยมเลย เล่นได้ลื่น ๆ ไม่ขัดใจ ความหน้าจอใหญ่อัตราส่วน 16:10 แบบนี้ก็ได้เปรียบในเรื่องความกว้างบน-ล่างมากกว่าบนสมาร์ทโฟนที่เน้นไปทางยาว แถมพอได้ลำโพงคู่ Stereo ที่วางตำแหน่งได้ดีก็ช่วยให้เราได้ยินเสียงกระสุนหรือฝีเท้าของศัตรูได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เวลาเราเปิดดัง ๆ ด้วยนะ

แบตเตอรี่สะใจ 10,090mAh เลยนะ
ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ Galaxy Tab S10 FE+ นั้นให้แบตฯมาใหญ่ถึง 10,090mAh เท่ากับรุ่นก่อนแหละ ซึ่งมากเพียงพอต่อการใช้งานแล้วจริง ๆ อีกทั้งชิปเซ็ตตัวใหม่ที่ใช้พลังงานได้ดี มี One UI 7 ที่จัดการได้เข้าที่ เข้าทางกว่าเดิมอีก จึงทำให้การใช้งานโดยรวมของ Galaxy Tab S10 FE+ นั้นหายห่วง ไม่ว่าจะความบันเทิงจัดเต็ม ทำงานหนัก ๆ ก็เอาอยู่ครับ

ส่วนระบบชาร์จรุ่นนี้ก็ได้ระบบชาร์จไวสูงสุด 45W Super Fast Charging 2.0 เท่าเดิม ก็สูงที่สุดที่ Samsung มีในตอนนี้แล้วนี่เนอะ แต่เราว่าเพียงเท่านี้ก็เพียงพอ ช่วยให้เราอุ่นใจได้อยู่เวลาต้องชาร์จกลับมาใช้งานแบบด่วน ๆ ใช้ที่ชาร์จมาตรฐาน PD 3.0 ทั่วไปมาชาร์จก็เร็วหมด ดีตรงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ของเฉพาะเจาะจงน่ะเนาะ

สรุปแล้ว “นี่คือแท็บเล็ตจอใหญ่มาก มัลติทาสก์สบายในงบไม่ถึง 30,000 บาทจริง ๆ”
สรุปแล้ว Galaxy Tab S10 FE+ ก็ถือเป็นแท็บเล็ตจอใหญ่สุดคุ้มค่าที่ตอบโจทย์ทุกงาน Multi-task จาก Samsung ในราคาไม่ถึง 30,000 บาทจริง ๆ เพราะทั้งหน้าจอขนาดใหญ่ 13.1″ เต็มตา เต็มใจในทุกการใช้งาน ได้งานประกอบที่หรูหรา มีความสามารถกันน้ำ IP68 สเปคที่ครอบคลุมด้วยชิปเซ็ต Exynos 1580 แบตเตอรี่ใหญ่ 10,090mAh เป็นต้น ตัวเครื่องรองรับ S Pen ปากกาสไตลัสพร้อมฟีเจอร์ AI ที่ดีมาก ๆ แบบให้มาในกล่องไม่ต้องซื้อเพิ่ม และที่ขาดไม่ได้เลยจริง ๆ คือซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุดอย่าง One UI 7 ที่เปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานให้ลื่นไหลกว่าที่เคยนี่แหละ คิดว่าใครที่อยากได้แท็บเล็ตที่ทำงานครบ ๆ จอใหญ่เบิ้มในราคาไม่ถึง 30,000 บาท เราว่า Samsung ให้คุณได้เลยล่ะครับ!
