Apple News
[อัปเดท] วิวัฒนาการของ iPhone ตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบัน มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มาดูกัน!
iPhone สมาร์ทโฟนจาก Apple ที่หลายคนรู้จักกันดี แต่ทราบหรือไม่ว่ากว่าจะเป็น iPhone รุ่นล่าสุดที่ใช้งานกันอยู่นี้ มีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างนับตั้งแต่ iPhone แรกจนถึงปัจจุบัน วันนี้เราจะมาพาไปดูวิวัฒนาการของ iPhone กัน!
iPhone รุ่นแรก ปี 2007
iPhone รุ่นแรกเปิดตัวเมื่อปี 2007 มีหน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว เป็นสมาร์ทโฟน 2G มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชั่นแรก และอัปเดทได้สุงสุดเป็น iOS 3.1.3 ตัวเครื่องมีความหนา 11.6 มม. ส่วนกล้องหลังมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ความจุตัวเครื่องเริ่มต้นที่ 4GB และรองรับการเชื่อมต่อผ่าน GPRS, Edge, Wi-Fi และ Bluetooth 2.0
iPhone 3G ปี 2008
เป็น iPhone รุ่นแรกที่รองรับ 3G เปิดตัวในปี 2008 มีหน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว (เท่ากันกับ iPhone 2G) มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 2.0 (อัปเดทได้สูงสุดเป็น iOS 4.2.1) ตัวเครื่องมีความหนาขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 12.3 มม. ส่วนกล้องมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ความจุตัวเครื่องเริ่มต้นที่ 8GB กับแรม 128MB และรองรับการเชื่อมต่อผ่าน GPRS, Edge, 3G, Wi-Fi และ Bluetooth 2.0 นอกจากนี้ก็รองรับ A-GPS แล้ว
iPhone 3GS ปี 2009
ถัดมาในปี 2009 ก็ได้เปิดตัว iPhone 3GS ยังคงมีหน้าจอขนาดเท่าเดิมคือ 3.5 นิ้ว มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 3.0 (อัปเดทได้สูงสุดเป็น iOS 6.1.6) มีการปรับปรุงกราฟิกของตัวซอฟแวร์ให้น่าใช้งานมากขึ้น การทำงานโดยรวมก็เร็วขึ้นด้วย ซึ่งในรุ่นนี้ถือเป็นรุ่นอัปเกรดความสามารถใหม่เข้ามาเยอะมากสำหรับในยุคนั้น โดยกล้องมีความละเอียดอยู่ที่ 3.15 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึกวิดีโอ 480p ความจุตัวเครื่องเริ่มต้นที่ 8GB กับแรม 256MB และ iCloud
iPhone 4 ปี 2010
iPhone 4 ยังคงมีหน้าจอขนาดเท่าเดิมคือ 3.5 นิ้ว แต่ความละเอียดหน้าจอเพิ่มขึ้นเป็น 640 x 960 พิกเซล Retina Display มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 4 รองรับมัลติทาสกิ้ง ระบบเช็คคำผิด และ iBooks ใช้ชิปประมวลผล Apple A4 กับแรม 512MB โดยมีกล้องหลังความละเอียดอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล เป็น iPhone รุ่นแรกที่กล้องหลังมีแฟลช รองรับการบันทึกวิดีโอ 720p และมีกล้องหน้า VGA นอกจากนี้ก็มีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนเพิ่มเข้ามา
iPhone 4s ปี 2011
iPhone 4s มีหน้าจอเท่ากันกับ iPhone 4 รวมถึงดีไซน์ตัวเครื่องด้วย รุ่นนี้มาพร้อม Dual Antenna (เสาอากาศคู่) รันระบบปฏิบัติการ iOS 5 ใช้ชิปประมวลผล Apple A5 แบบ Dual-core รุ่นแรก กับแรม 512MB โดยมีกล้องหลังความละเอียดขยับไปที่ 8 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึกวิดีโอ 1080p ส่วนกล้องหน้า VGA และที่ฮือฮากันมากที่สุดในขณะนั้นก็คือรองรับผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Siri นั่นเอง
iPhone 5 ปี 2012
iPhone 5 เป็นรุ่นแรกที่รองรับเครือข่าย 4G LTE มีหน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 4 นิ้ว ความละเอียด 640 x 1136 พิกเซล ตัวเครื่องบางลง 18% และเบากว่าเดิม 20% เป็นการดีไซน์ด้วยอลูมิเนียมกับกระจกอย่างลงตัว มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 6 ใช้ชิปประมวลผล Apple A6 แบบ Dual-core ความเร็ว 1.3GHz กับแรม 1GB โดยมีกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่าเดิม แต่กล้องหน้าขยับไปเป็น 1.2 ล้านพิกเซล รองรับ FaceTime ผ่าน Wi-Fi และ Cellular นอกจากนี้ก็เป็นรุ่นแรกที่รองรับการแชร์ไฟล์ผ่าน AirDrop, ชาร์จเร็วขึ้นในช่วง 0-80% เป็นรุ่นแรกด้วยพอร์ต Lightning Connector อีกทั้งยังมีไมโครโฟนมากถึง 3 ตัว และเริ่มใช้ซิมขนาด Nano SIM
iPhone 5s และ iPhone 5c ปี 2013
นับเป็นปีแรกที่ Apple เปิดตัวสมาร์ทโฟนพร้อมกันถึง 2 รุ่น ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างกัน โดยรุ่น iPhone 5s เป็นรุ่นพรีเมียม ตัวเครื่องอลูมิเนียม มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้ว Touch ID ใช้ชิปประมวลผล Apple A7 ส่วน Phone 5c ตัวเครื่องพลาสติก ราคาถูกกว่า ใช้ชิปปรมะวลผล Apple A6 ทั้งคู่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 7 รองรับ iCloud Keychain มีกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ปี 2014
เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของดีไซน์ iPhone เลยก็ว่าได้ ครั้งแรกที่หลายคนได้เห็นต่างบอกว่ามันไม่สวย โดยเฉพาะเส้นคาดสีขาวที่เป็นตำแหน่งของเสาอากาศรับสัญญาณ แต่หลังจากนั้นไม่นานหน้าตาการดีไซน์แบบนี้ก็เต็มตลาดไปหมด!
นอกจากดีไซน์ที่เปลี่ยนไปแล้ว ตัวเครื่องยังบางลงกว่าเดิมมาก ขนาดหน้าจอก็ใหญ่ขึ้นเป็น 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว รองรับ Display Zoom ทั้งคู่ใช้ชิปประมวลผล Apple A8 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 8 และเป็นรุ่นสุดท้ายที่ยังคงมีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล นับตั้งแต่ iPhone 4s
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID และรองรับ NFC รุ่นแรกเพื่อใช้งานกับระบบชำระเงิน Apple Pay นอกจากนี้ก็รองรับ Wi-Fi a/b/g/n/ac และมีเซ็นเซอร์วัดความดันบรรยากาศ (Barometer)
iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ปี 2015
เป็นรุ่นต่อยอดจาก iPhone 6 ดีไซน์เหมือนเดิม แต่เพิ่มความสามารถ ซึ่งทั้งคู่มีหน้าจอแบบ Force Touch รับรู้แรงกดได้ และมีสีใหม่คือ โรสโกลด์ นั่นเอง
ความเปลี่ยนแปลงที่สาวกรอคอยก็คือกล้องถ่ายรูปด้านหลังขยับเป็น 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบโฟกัสแบบ PDAF และรองรับการบันทึกวิดีโอ 4K ส่วนกล้องหน้าก็มีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ใช้ไฟหน้าจอเป็นแฟลชได้ด้วย โดยทั้งคู่ใช้ชิปประมวลผล Apple A9 และเพิ่มแรมเป็น 2GB
iPhone SE ปี 2016
Apple กลับมาเปิดตัวสมาร์ทโฟนจอเล็กในชื่อรุ่น iPhone SE มาพร้อมหน้าจอขนาด 4 นิ้วใช้ชิปประมวลผล Apple A9 สถาปัตยกรรม 64-bit กับชิปประมวลผลร่วม M9 นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID ที่ปุ่มโฮมด้วย หลังจากเปิดตัว iPhone 5s ซึ่งเป็นรุ่นหน้าจอ 4 นิ้วรุ่นสุดท้าย ก่อนขยับหน้าจอใหญ่เป็น 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว
ดีไซน์ของ iPhone SE ยังคงมีเค้าร่างแบบเดียวกับ iPhone 5s แล้วปรับเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้ามา อีกทั้งยังมีกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช True tone ถ่ายภาพพาโนรามาได้ขนาดสูงสุด 63 ล้านพิกเซล และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K, ถ่าย Slow-Mo ได้ความเร็วสูงสุด 240 เฟรมต่อวินาที
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ปี 2016
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีเลนส์กล้องหลังคู่ ออพติคอลซูมได้ 2 เท่า โดยมีปุ่มโฮมแบบใหม่ สามารถรับรู้แรงกดได้ด้วย Force sensitive และตัวเครื่องสามารถกันฝุ่น กันน้ำได้ตามมาตรฐาน IP67 คือกันน้ำได้ลึกสูงสุด 1 เมตร นานสูงสุด 30 นาที
iPhone 7 และ iPhone 7 Plusมาพร้อมลำโพงสเตอริโอที่อยู่ด้านบนและด้านล่างตัวเครื่อง เพื่อเพิ่มสามารถด้านเสียง โดยเฉพาะการเล่นสื่อมัลติมีเดียที่ให้เสียงสมจริงยิ่งขึ้น และไม่มีช่องสำหรับหูฟัง 3.5 มม.อีกต่อไปแล้ว โดยใช้พอร์ต Lightning ในการเชื่อมต่อกับหูฟัง ซึ่งมีทั้งหูฟังแบบสายที่มาพร้อมพอร์ต Lightning หรือใช้ตัวแปลงพอร์ตเป็น 3.5 มม. ที่แถมมาในกล้องก็ได้ และซื้อหูฟังแบบไร้สายผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth เพิ่มก็ได้เช่นกัน
iPhone รุ่นใหม่ในปี 2017 จะมีหน้าตา และฟีเจอร์อะไรเด็ด ๆ บ้างนั้น รอติดตามกันไปด้วยในปีหน้า!