Smart Review
รีวิว iPad Air รุ่นที่ 5 หลังใช้งาน 1 สัปดาห์
รีวิว iPad Air รุ่นที่ 5 ปี 2022 อัปเกรดสเปคใหม่หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ชิป M1 ตัวเดียวกับ iPad Pro, กล้องหน้า Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล และรองรับ 5G หลังใช้งาน 1 สัปดาห์
ชมคลิปรีวิว iPad Air รุ่นที่ 5
iPad Air มีความโดดเด่นในเรื่องของดีไซน์ที่เพรียวบาง น้ำหนักเบา เหมาะสำหรับการพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา อีกทั้งในปีนี้ได้อัปเกรดเป็นชิป M1 แล้ว การใช้งานในรูปแบบต่างๆ ก็จะทำได้ราบรื่นมากยิ่งขึ้น
ตัวเครื่องก็ยังคงรูปลักษณ์แบบเดิม ยังไม่มีระบบ Face ID โดยมีปุ่ม Touch ID สำหรับสแกนลายนิ้วมือได้ถูกติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของปุ่มด้านบนเหมือนกับ iPad mini 6 เพื่อความสะดวกในการใช้งานและการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยสำหรับใช้ในการปลดล็อคและการล็อกอินเข้าสู่แอป
สรุปสเปค iPad Air รุ่นที่ 5
- ขนาดเครื่อง: 247.6 x 178.5 x 6.1 มม.
- น้ำหนัก: 461 ก. (Wi-Fi) หรือ 462 ก. (5G)
- หน้าจอแสดงผล: 10.9 นิ้ว Liquid Retina IPS LCD
- หน่วยประมวลผล: Apple M1
- GPU: Apple GPU
- ความจุเครื่อง: 64GB / 256GB
- ระบบปฎิบัติการ: iPadOS 15
- กล้องหลัง: 12 ล้านพิกเซล f/1.8
- กล้องหน้า: Ultra-wide 12 ล้านพิกเซล f/2.4
- การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, Bluetooth 5.0, และพอร์ต USB-C
ดีไซน์และหน้าจอแสดงผล
มาเริ่มกันที่ดีไซน์ตัวเครื่องของ iPad Air รุ่นใหม่ ตัวเครื่องที่ใช้ในรีวิวนี้เป็นสีชมพู และมีอีก 4 สี ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์ สีสตาร์ไลท์ สีม่วง และสีฟ้า รวมทั้งหมด 5 สี
ตัวเครื่องของ iPad Air จะมีความเพรียวบาง น้ำหนักเบา ซึ่งตัวเครื่องมีความบางเพียง 6.1 มม. และน้ำหนัก 461 กรัมสำหรับรุ่น Wi-Fi ถ้าใครใช้ iPad Air รุ่นที่ 4 อยู่แล้ว ขนาดตัวเครื่องก็จะไม่แตกต่างไปจากเดิม แถมตัวเครื่องยังทําจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% อีกด้วย
ขอบด้านขวาตรงนี้จะมีปุ่มปรับประดับเสียง และจุดเชื่อมต่อแบบแม่เหล็ก
ขอบด้านบนจะมีช่องลำโพง ไมโครโฟน และปุ่มด้านบนยังมีเซ็นเซอร์ Touch ID สำหรับสแกนลายนิ้วมือ
ขอบด้านล่างก็จะมีช่องลำโพงเช่นเดียวกัน และก็พอร์ต USB-C
ด้านหลังมีเลนส์กล้อง 1 ตัว ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และไมโครโฟน
สำหรับหน้าจอของ iPad Air มีขนาด 10.9 นิ้ว Liquid Retina มาพร้อมการแสดงผลแบบ True Tone ที่จะปรับไวท์บาลานซ์บนหน้าจอให้ตรงกับอุณหภูมิสีของแสงรอบๆ เพื่อให้เวลาเราดูหน้าจอรู้สึกสบายตายิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ดูหนัง คลิปวิดีโอ เล่นเกม หรือการดูหน้าเว็บไซต์
หน้าจอรุ่นนี้ยังมีการเคลือบสารกันแสงสะท้อน ทำให้เวลาใช้งานในที่แสงจ้าหรือมีแสงไฟส่องมาโดนหน้าจอก็ยังมองเห็นหน้าจอได้ชัดเจน การดีไซน์หน้าจอของ iPad Air ยังคงเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า คือชิดขอบทุกด้าน
ด้านหน้ามีกล้อง Ultra-wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
การปลดล็อคหน้าจอจะใช้การยืนยันตัวตนด้วยระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มด้านบน ซึ่งเท่าที่ได้ลองใช้งานถือว่าทำงานได้รวดเร็วมากๆ
ซอฟต์แวร์ การใช้งาน และประสิทธิภาพ
iPad Air รุ่นที่ 5 เครื่องนี้ มาพร้อม iPadOS 15.4 ทำให้ iPad สามารถทำงานได้หลากหลายและใช้งานง่ายมากขึ้น ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ๆ
สำหรับการใช้งานมัลติทาสก์ที่เป็นการทำงานแอปมากกว่า 1 แอปพร้อมกัน ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ 10.9 นิ้ว ก็จะทำให้การทำงานพร้อมกันหลายแอปทำได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในรูปแบบ Split View ที่แบ่งหน้าจอออกเป็น 2 ส่วน ข้างๆ กัน สามารถปรับขนาดหน้าต่างแต่ละแอปได้โดยการแตะลากที่แถบเลื่อนระหว่างแอป
Slide Over จะเป็นการทำให้แอปหนึ่งมีหน้าต่างขนาดเล็กกว่าและลอยอยู่บนหน้าจอ สามารถลากไปด้านซ้ายหรือขวาของหน้าจอได้
หรือจะเป็นการเลือกเปิด หน้าต่างส่วนกลาง เพื่อเน้นเฉพาะเจาะจงรายการที่ต้องการได้ เช่น รายการอีเมล หรือโน้ต
การสลับไปมาระหว่างแอปต่างๆ ต้องบอกเลยว่า iPad Air สามารถทำงานได้อย่างลื่นไหล และราบรื่นมากๆ
ในหน้าจอของ iPad Air เราสามารถเลือกวิดเจ็ตมาวางไว้ได้
หรือสำหรับใครที่ต้องการจดโน้ตด่วนก็สามารถทำได้จากทุกที่บน iPad โดยไม่ต้องเลื่อนหาแอปโน้ตให้ยุ่งยากอีกต่อไป
ในเรื่องของการอัปเดทซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ในอนาคต แน่นอนว่า iPad Air ก็จะได้รับการอัปเดท จาก Apple อีกหลายปี แถมยังเป็นรุ่นที่ใช่ชิปตัวใหม่อย่าง M1 อีกด้วย ซึ่งเป็นชิปตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPad Pro พร้อมสถาปัตยกรรม 64 บิต CPU แบบ 8-core, กราฟิกแบบ 8-core และ RAM ขนาด 8GB
iPad Air รุ่นใหม่ ถ้าใช้งานทั่วไป เช่น เข้าดูเว็บไซต์ต่างๆ อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์หรือรายการทีวี ก็อาจจะไม่เห็นถึงความแตกต่างในเรื่องของประสิทธิในชิป M1 โดยการใช้งานจะเห็นถึงประสิทธิภาพของชิปตัวนี้ ก็อย่างเช่น การแก้ไข ตัดต่อและส่งออกวิดีโอ 4K หรือจัดการการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ อันนี้จะเห็นชัดเจนเลยว่าทำได้ลื่นไหลและรวดเร็ว
นอกจากนี้แล้ว การเล่นเกมกราฟิกระดับสูง ภาพสวยๆ ก็ทำได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด สีสันบนหน้าจอสวยคมชัด เห็นภาพได้เต็มตา และเสียงกระหื่มสะใจมากๆ ด้วยลำโพงสเตอริโอ
สำหรับเล่นเกมต่อเนื่องสักชั่วโมง ตัวเครื่องด้านหลังจะรู้สึกว่าอุ่นๆ ขึ้นมานิดหน่อย
ในการใช้งานทั่วไปต้องบอกเลยว่าแบตเตอรี่ของ iPad Air อยู่ได้ยาวๆ ทั้งวัน แต่ถ้าหยิบขึ้นมากดเล่นนิดหน่อยบางครั้ง อันนี้ยิ่งอยู่ได้หลายวันเลย
ด้านการเชื่อมต่อ เริ่มจากพอร์ต USB-C ที่ตัวเครื่อง iPad Air รองรับการถ่ายโอนข้อมูลที่ความเร็วสูงสุด 10Gbps (จิกะบิตต่อวินาที) ทำให้เวลาเราเชื่อมต่อกับกล้อง หรือไดรฟ์ ก็จะดึงไฟล์ได้เร็วมากๆ หรือจะต่อเข้ากับจอภายนอกอย่าง Pro Display XDR ก็ได้ความละเอียดสูงสุด 6K การเชื่อมต่อไร้สายก็รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0 และตอนนี้ iPad Air ก็รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G แล้วในรุ่น Cellular
กล้องถ่ายรูป
มาต่อกันที่กล้องถ่ายรูปกันบ้าง โดยกล้องหลังมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 ภาพถ่ายจากกล้องหลัง iPad Air รุ่นใหม่ รายละเอียดของภาพคมชัดดีเลยครับ และกล้องหลังรองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K ที่ 60fps อีกด้วย
กล้องหน้าได้รับการอัปเกรดเป็นกล้อง Ultra-wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับการใช้งานฟีเจอร์ จัดให้อยู่ตรงกลาง หรือ Center Stage และการถ่ายภาพเซลฟี่ก็ให้คุณภาพที่ดีเลย
อุปกรณ์เสริม
ถ้าพูดถึง iPad ต้องพูดถึงอุปกรณ์เสริมที่จะทำให้การใช้งาน iPad Air ทำได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นอันแรกเลยก็คือ Apple Pencil 2 ปากกาที่จะทำให้การเขียนบนหน้าจอทำได้คล่องตัวมากขึ้น เช่น การจดบันทึก จดโน้ตต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา นึกอะไรออกก็จดได้เลย หรือจะเป็นการวาดภาพดิจิตอล สร้างสรรค์ผลงานได้ทันที่ที่ได้แรงบันดาลใจ
Magic Keyboard อุปกรณ์ที่จะทำให้การทำงาน ที่ต้องใช้การพิมพ์ทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เป็นคีย์บอร์ดที่มีดีไซน์แบบยกลอยที่ปรันเอนได้ แถมมีพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จไฟผ่านพอร์ตตัวนี้ได้
นอกจากนี้ก็ยังมีแทร็คแพดที่สามารถคลิกตรงไหนก็ได้ ใช้ควบคุมเคอร์เซอร์บนหน้าจอได้แม่นยำมากขึ้นแทนการแตะสัมผัสหน้าจอ ยิ่งเป็นงาน ด้านเอกสารที่ต้องใช้ความละเอียดแม่นยำในการแก้ไขงานยิ่งสะดวกมากๆ
อันนี้ก็เป็น Smart Folio เป็นเคสแบบฝาพับ วางตั้งสำหรับการใช้งานต่างๆ ได้ ปรับระดับเพื่อเปลี่ยนมุมมองได้
สรุป รีวิว iPad Air รุ่นที่ 5
iPad Air เป็นแท็บเล็ตที่ถือว่าคุ้มค่า สำหรับใครที่กำลังมองหา iPad เพื่อการพกพาใช้งานได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานต่างๆ หยิบขึ้นมาทำงานระหว่างการเดินทาง ดูหนัง เล่นเกม ตัดต่อวิดีโอ หรือนึกไอเดียต่างๆ ออกก็จดเอาไว้ หรือจะสร้างสรรค์งานก็ทำได้ทันที
หลายคนอาจลังเลว่าจะเลือก iPad Air รุ่นใหม่ตัวนี้ หรือ iPad Pro 11 นิ้ว ที่ใช้ชิป M1 เหมือนกันดี ก็ขอเปรียบเทียบแบบนี้แล้วกันครับ iPad Pro 11 นิ้ว มีราคาสูงกว่า iPad Air อยู่ที่ 5,500 บาทในความจุที่เท่ากัน แต่ก็จะได้ระบบ Face ID, กล้องด้านหลังที่ใช้งานได้หลากหลายยิ่งขึ้น, ระบบเสียงสเตอริโอจากลำโพงสี่ตัว และจอแสดงผล ProMotion ที่มีอัตราการรีเฟรชสูงถึง 120Hz
ซึ่งฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ถ้าไม่ได้ใช้งานเลย ก็อาจจะไม่คุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่ม อันนี้ก็ต้องติดสินใจกันว่ารูปแบบการใช้งานของเราจำเป็นต้องใช้งานฟีเจอร์เหล่านั้นหรือไม่ เพราะดูแล้ว iPad Air ก็ให้ฟีเจอร์ที่ถือว่าค่อนข้างครบสำหรับการใช้งานส่วนใหญ่ที่หลายคนได้ใช้งานกันอยู่แล้ว
ราคาของ iPad Air รุ่นที่ 5 มีให้เลือก 2 ความจุ คือ 64GB และ 256GB สำหรับรุ่น Wi-Fi เริ่มต้นที่ ฿20,900 และรุ่น Wi-Fi + Cellular เริ่มต้นที่ ฿25,900 ถ้าใครเน้นการทำงาน เก็บไฟล์ใหญ่ๆ โดยเฉพาะงานตัดต่อวิดีโอ รูปภาพต่างๆ แนะนำเป็นรุ่น 256GB
ดูเพิ่มเติมได้ที่ apple.com