Smart Review
รีวิว iPad Pro (2020) พลังขั้นสุดเทียบขั้นโน๊ตบุ๊คด้วยชิป A12Z Bionic พร้อม LiDAR Scanner และจอ ProMotion
น่าจะเป็น iPad รุ่นใหม่ที่ใครหลายคนกำลังรอคอยแน่นอนครับสำหรับ iPad Pro (2020) รุ่น 12.9 นิ้ว (Wi-Fi) ที่ถือเป็นแท็บเล็ตที่แรงเทียบเท่าโน๊ตบุ๊คส่วนใหญ่เลยทีเดียวจากการใช้ขุมพลัง A12Z Bionic ทั้งยังชูโรงด้วย LiDAR Scanner เข้ากับกล้องระดับโปรที่มาใหม่ใน iPad Pro ทำให้การใช้งานด้านเทคโนโลยี AR นั้นแม่นยำและสมจริงกว่าเดิม
สรุปสเปค iPad Pro (2020) รุ่น 12.9 นิ้ว (Wi-Fi)
- ขนาดตัวเครื่อง : 280.6 x 214.9 x 5.9 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 641 กรัม
- หน้าจอแสดงผล Liquid Retina ชนิด IPS ขนาด 12.9 นิ้ว ความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซล, 264ppi, Refresh Rate 120Hz
- หน่วยประมวลผล : A12Z Bionic
- ROM 128/256/512GB, 1TB
- ระบบปฎิบัติการ iPadOS 13
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 2 เลนส์แบ่งเป็น
- เลนส์หลัก (Wide) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8
- เลนส์ Ultra Wide-Angle 125 องศา ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้า (TrueDepth) ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, Bluetooth 5.0 และพอร์ต USB Type-C
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
ตัวกล่องของมาพร้อมขนาดใหญ่ตามขนาดหน้าจอ 12.9 นิ้ว โดยที่ด้านหน้ามีเพียงรูปดีไซน์หน้าจอเท่านั้นครับ เมื่อเปิดออกมาก็จะเจอกับตัวเครื่อง iPad Pro 2020 ตั้งแต่ชั้นแรก โดยด้านล่างก็จะมีอุปกรณ์ต่างๆ ให้ดังนี้
- อะแดปเตอร์ 18W
- สาย USB Type-C to Type-C
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
- การรับประกันสินค้า
- สติ๊กเกอร์ Apple
ดีไซน์เบาบางจับถือง่ายแม้จอใหญ่
แม้ว่าเราจะใช้ iPad Pro (2020) ขนาดใหญ่ถึง 12.9 นิ้ว แต่ต้องบอกว่าเรื่องการออกแบบด้านความบางและน้ำหนัก Apple ทำออกมาได้ดีมากครับ จับถือได้สะดวกมากๆ แถมใครที่ชอบถือ iPad เอาไว้ข้างตัวก็ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักด้วยเพราะเบาเพียง 641 กรัม
โดยวัสดุของ iPad Pro รุ่นใหม่ก็มาแบบผิวด้านที่ไม่ลื่นมือ ตัวขอบด้านข้างมีความเหลี่ยม ไม่ได้โค้งเหมือน iPhone ครับ แต่ทั้ง 4 มุมก็มีความโค้งมน เวลาถือใช้งานก็ไม่โดนมุมจนเจ็บแน่นอน
หน้าจอ ProMotion สวยงาม สีสันจัดเต็ม
หนึ่งในสิ่งที่ iPad Pro ทำมาได้ดีตลอดเลยคือหน้าจอแสดงผล โดยรุ่นนี้ใช้หน้าจอ Liquid Retina ที่มีขอบเขตสีกว้างแบบ P3, True Tone เพื่อปรับแสงและสีตามแสงแวดล้อมโดยอัตโนมัติ รวมไปถึง ProMotion ที่ใช้งานได้แบบลื่นๆ Refresh Rate 120Hz ครับ ซึ่งที่เราใช้รีวิวเป็นขนาดหน้าจอ 12.9 นิ้ว ส่วนอีกรุ่นก็จะมีขนาด 11 นิ้วก็ให้ความกะทัดรัดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
รอบตัวเครื่องของ iPad Pro จะมีตั้งแต่กล้องหน้า TrueDepth, อินฟราเรด, ไมโครโฟนตัวที่ 1 และตัวฉายจุดแสงที่ด้านบนหน้าจอแสดงผล
ด้านซ้ายมีเพียงไมโครโฟนตัวที่ 2
ส่วนทางขวามีทั้งปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และตรงกลางที่เป็นแม่เหล็กสำหรับติด Apple Pencil รุ่นที่ 2
ด้านบนตัวเครื่องจะมีลำโพง 2 ตัว ขนาบข้างกับไมโครโฟนตัวที่ 3 และ 4 โดยมีปุ่ม Power อยู่ที่มุมขวา
ขณะที่ด้านล่างมีลำโพงตัวอีก 2 ตัว และพอร์ต USB Type-C
และสุดท้ายที่ด้านหลังจะเป็นกล้องหลังโมดูลคล้ายกับ iPhone 11 Pro โดยมีกล้องหลัง 2 เลนส์ พร้อม LiDAR Scanner, ไมโครโฟนตัวที่ 5 และไฟแฟลชที่อยู่ในกรอบเดียวกัน ถัดลงมาด้านล่างจะมี Smart Connector ที่เป็นแม่เหล็กเพื่อเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดรุ่นต่างๆ ของ Apple
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฎิบัติการ
iPad Pro แกะกล่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง iPadOS 13 ที่มีฟีเจอร์หลากหลายให้ใช้งานเพียบ ทำให้ iPad Pro ของเรากลายเป็นโน๊ตบุ๊คขนาดเล็กได้ทันที ทั้งยังทำให้การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ทำได้แบบไร้รอยต่อเลยทีเดียว
ใช้งาน Slide Over / Split View พร้อมส่งไฟล์ระหว่างกันได้ง่ายๆ
ใน iPadOS 13 เราสามารถใช้งาน 2 แอปพลิเคชั่นพร้อมกันได้ ทั้งยังส่งไฟล์ไปมาระหว่างกันได้ด้วย ซึ่งการทำงานก็ง่ายๆ ครับ เพียงแค่เราเปิดแอปใดแอปหนึ่งขึ้นมาก่อน > เปิด Dock จากด้านล่างขึ้นมา > เลือกแอปที่ 2 > ลากไอคอนค้างไว้แล้ววางบนหน้าจอ ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนครับ
ทั้งนี้ เรายังสามารถเปิดแอปที่ 3 ขึ้นมาทับแอปที่ 2 เช่นกัน โดยให้ทำเหมือนกับข้างต้นเป๊ะๆ ซึ่งแอปที่เปิดขึ้นมาในจอเล็กๆ นี้สามารถสลับหน้าจอไปมาง่ายๆ เหมือนกับการสลับแอปบน iPhone เพียงให้ลากขึ้นจากขีดดำด้านล่าง แล้วเลือกแอปที่อยู่ในพื้นหลังได้ทันที
หรือไม่อยากให้งานฟีเจอร์นี้แล้วก็ให้ปัดขึ้นเพื่อทิ้งไปได้เลยครับ
ส่วนการลากไฟล์ไปมาก็ทำได้ทันทีครับเมื่อเราเปิด 2 แอปขึ้นมาแล้ว ก็สามารถกดค้างที่ไฟล์ที่ต้องการใส่แล้วลากไปยังอีกแอปได้เลย
คีย์บอร์ด Smart Keyboard Folio ใช้งานได้ทันทีผ่าน Smart Connector
สำหรับ Smart Keyboard Folio นั้นเป็นคีบอร์ดแบบมาตรฐานของ iPad Pro ครับ สามารถต่อกับเครื่องได้ทันทีไม่ต้องเชื่อมบลูทูธหรือชาร์จอะไรทั้งสิ้นครับ ซึ่งการใช้งานต่างๆ ทำได้ดีมาก พิมพ์ได้ถนัดมือ เวลาพิมพ์ไม่เกิดเสียงดัง โดยเราสามารถปรับองศาการดูได้ 2 แบบขึ้นอยู่กับใช้งานในแต่ละครั้ง แถมเมื่อใช้งานเสร็จหรือกำลังจะเริ่มใช้งานก็ให้เพียงแค่ปิดหรือเปิดตัว Smart Keyboard Folio หน้าจอแสดงผลก็จะล็อคหรือเปิดให้ใช้งานทันที ที่สำคัญ เวลาที่เราใส่คู่กับ iPad Pro ทำให้เวลาถือหรือใช้งานนั้นอุ่นใจได้มากขึ้น เพราะตัวคีย์บอร์ดก็ถือเป็นตัวป้องกันชั้นเยี่ยม
ปรับองศาหน้าจอได้ 2 ระดับ
Magic Trackpad 2 ควบคุมง่ายเหมือนโน๊ตบุ๊ค
อีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานร่วมกับ Smart Keyboard Folio ได้เป็นอย่างดีกับ Magic Trackpad 2 ที่ให้เราใช้งานได้เหมือนโน๊ตบุ๊คทั้งหมดในการควบคุมต่างๆ
ใน iPadOS 13 จะมีเคอร์เซอร์ปรากฏเป็นวงกลมขึ้นมาบนหน้าจอแสดงผล ซึ่งความแม่นยำในการกดหรือเลือกข้อความต่าง ต้องบอกว่าแม่นยำไม่ต่างจากเมาส์ทั่วไปเลยครับ
ส่วนวิธีการควบคุมต่างๆ ของ Magic Trackpad มีดังนี้
- คลิกลงน้ำหนัก : ให้กดลงน้ำหนักจนกว่าจะรู้สึกถึงการคลิกที่หนักขึ้น เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ เช่น คลิกลงน้ำหนักที่คําเพื่อดู ความหมาย การแสดงตัวอย่างในแอปแผนที่ และอื่นๆ อีกมากมาย
- คลิกขวา : คลิกด้วยนิ้วสองนิ้วเพื่อเปิดเมนูทางลัด
- เลื่อนด้วยนิ้วสองนิ้ว : เลื่อนสองนิ้วขึ้นและลงเพื่อเลื่อน
- การซูม : จีบนิ้วโป้งและนิ้วอื่นเข้าหากันหรือกางนิ้วออกจากกันเพื่อซูมรูปภาพหรือหน้าเว็บเข้าหรือออก
- ปัดเพื่อนําทาง : ปัดซ้ายหรือขวาด้วยสองนิ้วเพื่อพลิกผ่านหน้าเว็บ
- เปิด Launchpad : จีบนิ้วเข้าด้วยสี่หรือห้านิ้ว
- ปัดระหว่างแอป : ในการสลับจากแอปเต็มหน้าจอแอปหนึ่งไปอีกแอป ให้ใช้สามหรือสี่นิ้วปัดไปทางซ้ายหรือขวา
ใช้งานแม่นยำขึ้นด้วย Apple Pencil รุ่นที่ 2
สำหรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 นั้นเปลี่ยนดีไซน์ให้เป็นแบบไม่มีรอยต่อใดๆ ทั้งสิ้น การจับถือเหมือนกับดินสอหรือปากกาทั่วไปมากๆ ถนัดมือ โดยตัวดินสอรุ่นนี้จะมีความเว้าในด้านหนึ่งเพื่อใช้ติดกับ iPad Pro (2020) เพื่อชาร์จไร้สายหรือเก็บได้แบบแน่นๆ สะบัดแรงแค่ไหนก็ไม่มีร่วงแน่นอนครับ
การใช้งานทั่วไปของ Apple Pencil รุ่นที่ 2 จะสามารถกด 2 ครั้งที่บริเวณหัวปากกาเพื่อเปลี่ยนเครื่องมือได้อย่างรวดเร็วตามที่เราตั้งค่าไว้ เช่น หากจะเปลี่ยนจากปากกาเป็นยางลบก็กด 2 ครั้งติดเพื่อเปลี่ยนได้ทันที ไม่ต้องไปกดเลือกบนหน้าจอครับ
แต่ที่สำคัญที่ Apple Pencil รุ่นที่ 2 นั้นพัฒนาขึ้น คือ ความแม่นยำสูงในการขีด เขียน หรือวาดรูปต่างๆ ซึ่งการใช้งานเรียกว่าตรงจุดกับที่คิดไว้มากๆ รวมถึงดารรับรู้แรงกดของการใช้งานได้เป็นอย่างดีด้วย ใครที่ชอบวาดรูปต่างๆ สามารถสร้างผลงานออกมาได้เยี่ยมแน่นอน
เมื่อใช้เสร็จก็สามารถแนบติดกับแถบแม่เหล็กของ iPad Pro เพื่อชาร์จได้ทันที
LiDAR Scanner ใช้งาน AR ได้สมจริงกว่าเดิม
LiDAR Scanner (Light Detection and Ranging) เป็นการทำงานด้วยการหาระยะผ่านการวัดระยะเวลาที่แสงใช้ในการเดินทางไปยังวัตถุไกลสุดถึง 5 เมตรและสะท้อนกลับมายังตัว LiDAR
โดยเราลองใช้งานผ่านแอปเครื่องวัดที่มีให้มากับตัวเครื่องอยู่แล้วเพื่อวัดขนาดวัตถุต่างๆ ต้องบอกว่าแม่นยำสมคำร่ำรือ เพราะตรงกับที่วัดจากตลับเมตรแบบใกล้เคียงมาก ทั้งนี้ เมื่อเรานำตัว LiDAR Scanner เคลื่อนที่ไปรอบตัววัตถุ ระบบจะทำการวัดความกว้าง x ยาว x สูงให้อัตโนมัติด้วย
หรือใครจะใช้งานเพื่อนำมาแต่งบ้านผ่านแอปพลิเคชั่น IKEA Place ที่นำเฟอร์นิเจอร์มาวางเป็นขนาดจริงในห้องได้แบบแม่นยำทั้งแสงและเงาด้วย
ลำโพง 4 ตัวระดับโปรกับเสียงรอบทิศทาง
เรียกว่าเป็นสิ่งที่ทำให้การใช้งานด้านความบันเทิงใน iPad Pro (2020) นั้นครบกว่าเดิมคือลำโพงที่เล่นได้แบบรอบทิศทาง ใครที่ชอบฟังเพลงหรือชมภาพยนตร์ใน Apple TV จะเต็มอิ่มกับอรรถรสที่ได้มากขึ้นแน่นอน
Face ID รุ่นพัฒนา ใช้งานเร็วกว่าเดิม
ระบบความปลอดภัยของ iPad Pro (2020) ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยี Face ID เช่นเคย แต่ที่เปลี่ยนไปคือเรื่องความแม่นยำและการปลดล็อคที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังปลดล็อคได้แบบทุกมุม ไม่ว่าตัวเครื่องจะพลิกซ้ายขวาหน้าหลังก็ปลดล็อคให้เราได้แบบสบายๆ
เพิ่มความสะดวกด้วยพอร์ต USB Type-C
พอร์ต USB Type-C น่าจะเป็นพอร์ตเชื่อมต่อที่ใครหลายคนชอบแน่นอน เพราะสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ง่ายไม่มากขั้นตอน เพียงแค่เสียบกับ iPad Pro (2020) ก็ใช้งานได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อออกหน้าจอที่ความละเอียดสูงสุดถึง 5K, การถ่ายโอนข้อมูลจากกล้อง, SD Card, Flash Drive หรือ External HDD ก็ทำได้ทั้งหมด
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
iPad Pro (2020) ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังที่น่าจะเร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตอย่าง A12Z Bionic ที่มี CPU และ GPU อย่างละ 8 คอร์ ทำให้การใช้งานต่างๆ แทบจะสูงกว่า PC หรือโน๊ตบุ๊คทั่วไป ใครที่ใช้งานด้านการตกแต่งภาพไม่ว่าจะเป็น Adobe Photoshop หรือ Lightroom ก็ทำได้ไหลลื่นครับ
สำหรับผลการทดสอบทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมตั้งแต่หน่วยประมวลผล, การ์ดจอ และหน่วยความจำด้วยโปรแกรม AnTuTu Benchmark ทำได้ไปได้ที่ 714,418 คะแนน
ทดสอบการเล่นเกม
Asphalt 9 : Legend
เกมแข่งรถกราฟิกแรงอย่าง Asphalt 9 : Legend ต้องบอกว่าเมื่อเล่นในหน้าจอ ProMotion และหน่วยประมวลผล A12Z Bionic แล้ว ทุกอย่างดูลื่นไหลไปหมดครับ ภาพระหว่างการเล่นดูไม่เบลอและไม่ปวดตา
แบตเตอรี่อึดใช้งานได้ทั้งวันแน่นอน
ในเรื่องแบตเตอรี่ถือว่าอึดมากๆ ครับ ใครที่ใช้ดูวิดีโอหรือใช้งานทั่วไป ชาร์จแค่ครั้งเดียวในตอนเช้าก็เหลือๆ ถึงค่ำแน่นอน นอกจากนี้ ในการชาร์ตแบตเตอรี่ก็ทำได้ค่อนข้างเร็วครับสำหรับ iPad Pro (2020) ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็เต็ม 100% จากการใช้อะแดปเตอร์ 18W ที่มีให้ในกล่อง
กล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูปของ iPad Pro (2020) เป็นการเปลี่ยนครั้งแรกของ Apple ครั้งแรกครับที่มีมาให้ใช้งาน 2 เลนส์ เดี๋ยวเราจะมารีวิวให้ชมกันครับว่าจะแจ่มขนาดไหน
กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 2 เลนส์แบ่งเป็น
- เลนส์หลัก (Wide) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8
- เลนส์ Ultra Wide-Angle 125 องศา ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
เลนส์ Wide ถ่ายสวย พร้อมวิดีโอขั้นเทพ
ในเลนส์หลักหรือเลนส์ Wide ของ iPad Pro (2020) ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากแบบฉบับของ Apple ครับ โดยภาพนิ่งที่ได้ออกมามีความคมชัด แทบไม่ต่างจากในสมาร์ทโฟน และที่สำคัญในการถ่ายวิดีโอก็ถ่ายได้สูงสุดถึงระดับ 4K @60fps รวมถึง Slow-Motion ที่ 240fps ได้ด้วย
Ultra-Wide มุมกว้างเก็บครบ 125 องศา
ในเลนส์ Ultra-Wide ก็มีมาให้ด้วยเช่นกันครับ ทำให้เราเก็บภาพตรงหน้าได้ครบกว่าเดิมเพราะมุมกว้างถึง 125 องศา ทั้งยังถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K เช่นเดียวกับกล้องหลักแต่อยู่ที่ 30fps
เลนส์ Wide / เลนส์ Ultra-Wide
เลนส์ Wide / เลนส์ Ultra-Wide
กล้องหน้า TrueDepth ถ่าย Portrait Lighting ได้
ส่วนกล้องหน้า (TrueDepth) มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์โหมดภาพถายบุคคล หรือ Portrait Lighting โดยจะมีให้เอฟเฟ็กต์ให้เลือกถึง 6 แบบ ได้แก่ แสงไฟธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงไฟคอนทัวร์, แสงไฟเวที, แสงไฟเวทีขาวดำ และแสงไฟขาวดำไฮคีย์
แสงไฟขาวดำไฮคีย์
แสงไฟเวทีขาวดำ
แสงไฟเวที
iPad Pro (2020) เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว โดยมีราคาเริ่มต้นรุ่นจอ 11 นิ้ว ที่ 27,900 บาท และราคาเริ่มต้นรุ่นจอ 12.9 นิ้ว ที่ 34,900 บาท ผ่านทาง Apple Online Store