รีวิว iPad Pro ชิป M4 และ iPad Air ชิป M2 มาแล้วครับ! หลังจากที่เริ่มวางจำหน่ายในบ้านเราเดือนกว่า ๆ เชื่อว่ายังมีหลายคนลังเลและกำลังตัดสินใจกันอยู่ว่าเอารุ่นไหนดีแน่ วันนี้เราก็จะมาสรุปจุดเด่นของแต่ละรุ่น เผื่อจะช่วยให้ใครที่เล็งอยู่เลือกได้ง่ายขึ้น ไม่มากก็น้อยล่ะเนาะ ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มกันเลยไหมล่ะ!?

ต้องบอกเลยว่าปีนี้ Apple เพิ่มตัวเลือกมาให้ผู้ใช้อย่างเรา ๆ นั้นเลือกได้มากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่รุ่น Pro ที่มี 2 ขนาดแล้ว iPad Air ชิป M2 ก็มีให้เลือกทั้งขนาด 11″ กับ 13″ เหมือนกัน ทำให้ใครที่กำลังเล็งรุ่นจอใหญ่สุด ไม่ต้องเขยิบไปถึงรุ่นที่แพงที่สุดก็ได้ แต่แน่นอนว่าความต่างของซีรีส์ก็มีอยู่ จึงทำให้ราคาของแต่ละรุ่นต่างกันพอสมควร ต่างกันแค่ไหน เราสรุปราคาคร่าว ๆ ของ iPad Pro M4 และ iPad Air M2 ไว้ให้ด้านล่างนี้เลยครับ

iPad Pro ชิป M4 รุ่น WiFi | WiFi+Cellular
รุ่น 11″
- ความจุ 256GB = 39,900 บาท | 47,900 บาท
- ความจุ 512GB = 47,900 บาท | 55,900 บาท
- ความจุ 1TB = 63,900 บาท | 71,900 บาท
- ความจุ 2TB = 79,900 บาท | 83,900 บาท
รุ่น 13″
- ความจุ 256GB = 52,900 บาท | 60,900 บาท
- ความจุ 512GB = 60,900 บาท | 68,900 บาท
- ความจุ 1TB = 76,900 บาท | 84,900 บาท
- ความจุ 2TB = 92,900 บาท | 100,900 บาท
*มีเวอร์ชั่นหน้าจอกระจกผิวนาโนสำหรับรุ่นความจุ 1TB และ 2TB ด้วย จ่ายเพิ่มอีกรุ่นละ 4,000 บาท*

ราคา iPad Air ชิป M2
รุ่น 11″
- ความจุ 128GB = 23,900 บาท | 29,900 บาท
- ความจุ 256GB = 27,900 บาท | 33,900 บาท
- ความจุ 512GB = 35,900 บาท | 41,900 บาท
- ความจุ 1TB = 43,900 บาท | 49,900 บาท
รุ่น 13″
- ความจุ 128GB = 29,900 บาท | 35,900 บาท
- ความจุ 256GB = 33,900 บาท | 39,900 บาท
- ความจุ 512GB = 41,900 บาท | 47,900 บาท
- ความจุ 1TB = 49,900 บาท | 55,900 บาท

จะเห็นว่าราคาของทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันชัดเจนเลยจริง ๆ อย่าง iPad Pro M4 รุ่นจอ 11″ เริ่มต้น WiFi ก็เปิดมาที่ 39,900 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับ iPad Air M2 รุ่น 13″ WiFi+Cellular เลยล่ะครับ ซึ่งจริง ๆ Apple วางกลุ่มราคาของ iPad Pro M4 และ iPad Air M2 ไว้ชัดเจนอยู่แล้ว Pro คือรุ่นที่ดีที่สุด ราคาสูงที่สุดของ iPad ในตอนนี้ ส่วน Air ก็รองลงมาเป็นตัวเลือกความคุ้มที่เข้าถึงได้นั่นเองครับ แล้วสเปคที่ให้มาแตกต่างกันแค่ไหน ทำไมราคาถึงต่างกันขนาดนั้น เราสรุปสเปคคร่าว ๆ ไว้ให้ด้านล่างนี้แล้ว

สรุปสเปค iPad Pro 11″ | 13″ ชิป M4
- ขนาดตัวเครื่อง : 249.7 x 177.5 x 5.3 มม. | 281.6 x 215.5 x 5.1 มม.
- น้ำหนัก : 444 กรัม | 579 กรัม
- หน้าจอ : Ultra Retina XDR Tandem OLED ขนาด 11″ | 13″
- ความละเอียดหน้าจอ : 2420 x 1668 พิกเซล | 2752 x 2064 พิกเซล
- Refresh rate : 120Hz ความสว่างสูงสุด : 1600nits
- CPU : Apple M4 สูงสุด 9-Core/10-Core 4.4GHz
- GPU : Apple GPU 10-Core
- RAM : 8GB/16GB
- Storage : 256GB/512GB/1TB/2TB
- แบตเตอรี่ : 8160mAh | 10290mAh
- ระบบชาร์จเร็ว : สูงสุด 30W
- กล้องหน้า : 12MP Ultra Wide f/2.4
- กล้องหลัง : 12MP f/1.8 + ToF 3D LiDAR
- การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6e, Bluetooth 5.3, พอร์ต USB-C (USB 4/Thunderbolt 3)
- ระบบปฏิบัติการ : iPadOS 17.5.1

สรุปสเปค iPad Air 11″ | 13″ ชิป M2
- ขนาดตัวเครื่อง : 247.6 x 178.5 x 6.1 มม. | 280.6 x 214.9 x 6.1 มม.
- น้ำหนัก : 462 กรัม | 617 กรัม
- หน้าจอ : Liquid Retina IPS ขนาด 11″ | 13″
- ความละเอียดหน้าจอ : 2360 x 1640 พิกเซล | 2732 x 2048 พิกเซล
- Refresh rate : 60Hz ความสว่างสูงสุด : 1600nits
- CPU : Apple M2 8-Core 3.47GHz
- GPU : Apple GPU 9-Core
- RAM : 8GB
- Storage : 128GB/256GB/512GB/1TB
- แบตเตอรี่ : 7606mAh | 9705mAh
- ระบบชาร์จเร็ว : สูงสุด 30W
- กล้องหน้า : 12MP Ultra Wide f/2.4
- กล้องหลัง : 12MP f/1.8
- การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6e, Bluetooth 5.3, พอร์ต USB-C (USB 3.1 Gen 2)
- ระบบปฏิบัติการ : iPadOS 17.5.1

เทคโนโลยีหน้าจอที่ต่างกัน
เริ่มกันที่เรื่องหน้าจอ iPad Pro M4 กับ iPad Air M2 นั้นมีขนาดหน้าจอให้เลือกเท่ากันแล้ว ปีนี้เป็นครั้งแรกของ iPad Air ที่มีขนาด 13″ ให้เลือกด้วย แต่แม้จะมีขนาดหน้าจอที่เท่ากัน แต่ในเรื่องเทคโนโลยีจริง ๆ ก็มีความแตกต่างที่ชัดเจนเหมือนกัน เพราะ iPad Pro M4 นั้นอัปเกรดหน้าจอเป็นจอ Tandem OLED หรือที่ Apple ใช้โปรโมทว่า Ultra Retina XDR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหน้าจอชุดใหม่ล่าสุด เปรียบเทียบกับจอ IPS หรือ Liquid Retina ของ iPad Air M2 ก็ถือว่าต่างกันอยู่ในจุดนี้

ความดีงามของหน้าจอ Tandem OLED ในรอบนี้ก็คือสีสันที่สมจริงขึ้น การแสดงผลสีดำที่ดำสนิทที่สุด รวมถึงความสว่างสูงสุดที่ iPad Pro M4 ทำได้สูงสุดถึง 1600nits เลย เหมาะกับสายงานที่ต้องการความแม่นยำของสีสันสูงอย่างสายกราฟิก ความบันเทิงที่ต้องการคมลึกของมิติภาพมากกว่า หรือการใช้งานที่ต้องสู้กับแสงรอบนอกเยอะ ๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ตัวหน้าจอของ iPad Pro M4 ยังรองรับ Refresh rate แบบ Adative ที่ปรับขึ้น-ลงได้ตั้งแต่ 10 – 120Hz ช่วยให้เราใช้งานได้อย่างลื่นไหล ติดนิ้วและมอบความราบรื่นในการใช้งานทั้งจากนิ้วมือ หรือบน Apple Pencil Pro มากกว่าด้วยนะ

ส่วนฝั่ง iPad Air M2 ที่ใช้หน้าจอ IPS ก็ถือว่าทำได้ดีเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ใช่เทคโนโลยีสูงสุด ณ ตอนนี้ การแสดงสีสันและมุมมองใช้ได้ และพอมีขนาดหน้าจอ 13″ ให้เลือกก็น่าจะตอบโจทย์คนที่ต้องการใช้งานพื้นที่มากกว่าเข้าไปอีก

แต่จุดที่อาจจะขัดใจอยู่หน่อยก็คงเป็นเรื่อง Refresh rate ที่รุ่นนี้ยังให้มาแค่ 60Hz เท่านั้น จอไม่ลื่นเท่ากับรุ่น Pro ซึ่งถ้าคนที่ใช้งาน iPad Air มาก่อนก็คงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่นัก เพราะเป็นมาตรฐานเดิม แต่ถ้าใครที่จะอัปเกรดมาจาก iPad Pro รุ่นเก่า ๆ หรือสายตาชินกับพวก iPhone 13 Pro ขึ้นไปแล้ว พอมาลองใช้งานจอของ iPad Air ก็อาจจะรู้สึกว่ามันกระตุก ๆ อยู่เหมือนกันครับ

ในเรื่องหน้าจอเราเลยขอสรุปไว้แบบนี้ละกันครับ แน่นอนว่าเทคโนโลยีจอใหม่อย่าง Tandem OLED ของ iPad Pro M4 นั้นทำได้ดีกว่าจอ IPS ของ iPad Air M2 อยู่แล้ว ทั้งในเรื่องมิติ ความลื่นไหล ซึ่งนั่นคือข้อได้เปรียบและจุดที่ชวนให้ตัดสินใจว่าเราอยากได้หน้าจอแบบไหน อยากได้จอดำสนิทที่สุดไหม ลื่น ๆ แบบ 120Hz รึเปล่า งานที่ใช้ต้องพึ่งความแม่นยำของจอเท่าไหร่นั่นเอง หรือถ้าไม่ได้เน้นไปที่เทคโนโลยีหน้าจอ ขนาดเป็นส่วนสำคัญรึเปล่า ? ตรงนี้ก็เก็บไปพิจารณากันได้ครับในเรื่องหน้าจอ

iPad ที่บางที่สุดรุ่นใหม่!
ขนาดตัวเครื่องก็เป็นอีกจุดที่ต่างกันครับ ปีนี้ Apple อัปเกรดความบางให้กับ iPad Pro M4 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะในรุ่น 11″ จะบาง 5.3 มม.และรุ่น 13″ จะบางเพียง 5.1 มม. ซึ่งบางที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์ของ Apple เลยก็ว่าได้ ใช่แล้วครับ ความบางนี้ยังบางกว่า iPad Air M2 ที่ขึ้นชื่อเรื่องความบางมาตลอดอีกด้วย


แต่ไม่ใช่แค่ทำให้ตัวเครื่องดูเพรียวลงเท่านั้น เพราะความหนาที่ลดลงนี้ยังทำให้น้ำหนักตัวเครื่องเบาลงไปอย่างมาก iPad Pro M4 รุ่น 11″ ที่เราได้มานั้นจะเบาแค่ 444 กรัมเท่านั้น เป็นขนาดที่ให้เราพกพาได้สะดวกขึ้นมาก และถ้าถือใช้งานแบบไม่ใส่เคสก็จะรู้สึกสบายมือกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ส่วน iPad Air M2 รุ่น 13″ ก็อาจจะหนาขึ้นมาหน่อยที่ 6.1 มม. ซึ่งถ้าเทียบกับ Pro แน่นอนว่าดูหนาไปเลย แต่ความบางระดับนี้ก็ยังเป็นความบางที่น่าประทับใจอยู่ดีแหละ ส่วนน้ำหนักจะอยู่ที่ 619 กรัม ถือว่าทำได้ดีสมชื่อ Air ครับ เพราะถ้าเทียบขนาดจอ 13″ กับ iPad Pro รุ่นก่อนที่หนักเกือบ 700 กรัม Air ใหม่จอใหญ่นี้เบากว่ากันมากเลย

ชิปเซ็ต Apple Silicone ที่แรงล้นเหลือกันทั้งคู่
ต่อมาก็คงเป็นเรื่องสเปคที่น่าจะเป็นอีกจุดตัดสินใจของใครหลายคน เพราะทั้งคู่ได้ชิปเซ็ตที่ต่างกันถึง 2 รุ่น โดย iPad Pro นั้นมาพร้อมชิป M4 ส่วน iPad Air นั้นมาพร้อมชิป M2 ซึ่งแน่นอนความแรงเมื่อวัดกันจริง ๆ ตัวเลขจะต่างกันพอสมควรครับ

เพื่อให้เห็นภาพเราลองทดสอบผ่านแอป Geekbench 6 ด้าน CPU ดูคะแนนที่ออกมาจะต่างกันราว 45% ดังนี้เลยครับ
- iPad Pro M4 = Single-Core 3661 คะแนน | Multi-Core 14654 คะแนน
- iPad Air M2 = Single-Core 2586 คะแนน | Multi-Core 10065 คะแนน

หรือจะเป็นด้าน GPU ก็เหนือกว่าประมาณ 27% เลยดังนี้ครับ
- iPad Pro M4 = 53506 คะแนน
- iPad Air M2 = 41981 คะแนน

แต่…ถามว่าความแรงที่ต่างกันนี้มีผลแค่ไหน แน่นอนว่าการใช้งานทั่วไป อย่างการอ่านเว็บไซต์, ดูคอนเทนต์, เปิดแอปต่าง ๆ แทบไม่เห็นความต่าง ทั้งคู่ทำได้ดีมากอยู่แล้ว แอปส่วนใหญ่บน App Store ยังดึงประสิทธิภาพของชิป Apple Silicone ได้ไม่เต็ม 100% เลยด้วยซ้ำ เพราะชิปแรงล้นเหลือมาก ๆ อยู่แล้ว

แต่จุดที่จะเห็นผลเรื่องประสิทธิภาพจริง ๆ คงเป็นการทำงานหนัก ๆ อย่างการตัดต่อภาพ-คลิปไฟล์ใหญ่ ๆ การประมวลผลเอกสารที่มีหลาย ๆ ร้อยหน้า หรือการเล่นเกม AAA ที่จะปรับการตั้งค่าบางอย่างได้ไม่เท่ากัน ซึ่งตรงนี้ชิป M4 ที่เป็นรุ่นล่าสุดต้องทำได้ดีกว่าอยู่แล้ว

เราเลยสรุปเรื่องประสิทธิภาพไว้แบบนี้ละกันครับ ถ้าคุณเป็นสายใช้งานทั่วไปเน้นความบันเทิงจนถึงทำงานหนัก ชิป M2 ของ iPad Air ก็เพียงพอกับการใช้งานมาก ๆ แล้ว แต่ถ้าอยากได้แบบสูงสุด เล่นเกม AAA ปรับสูงสุดแล้วยังลื่นไม่หน่วง เรนเดอร์ไฟล์วิดีโอใหญ่แบบเร็วที่สุด ไม่อยากเสียเวลารออะไรนัก ชิป M4 บน iPad Pro คือคำตอบเลยครับ!

ลำโพง Stereo มิติเสียงที่ยอดเยี่ยมของ iPad
ถ้าคุณเลือก iPad มาใช้งานเพื่อความบันเทิง อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องรู้ก็คือลำโพงของทั้ง 2 รุ่นนี้ได้มาต่างกัน โดย iPad Pro M4 ได้ลำโพงมาถึง 4 ตัว ส่วน iPad Air M2 จะได้มา 2 ตัว ซึ่งถ้าเปิดเทียบกันจริง ๆ ก็คงรู้เลยว่า 4 ตัวนั้นดีกว่าชัดเจนครับ

แต่ถามว่าลำโพงคู่ 2 ตัวของ iPad Air M2 นั้นใช้งานไม่ดีหรอ ? คำตอบคือไม่เลยครับ ยังคงมาตรฐานของ iPad ได้อย่างดี เสียงมีมิติและกระจายออกได้ดี ใช้งานได้แบบไม่ติดใจแน่นอน ถ้าไม่ได้เทียบกับรุ่น Pro น่ะนะ

ระบบปลดล็อคที่ต่างกัน
อีกเรื่องที่ iPad Pro และ iPad Air ต่างกันมานานก็คือ ระบบปลดล็อคเครื่อง ที่ในรุ่น iPad Pro M4 จะใช้การสแกนใบหน้าผ่าน Face ID ส่วน iPad Air M2 จะใช้การสแกนลายนิ้วมือผ่าน Touch ID ที่ปุ่ม Power นั่นเองครับ

ความสะดวกในการใช้งานก็ต่างกันครับ อย่างบนรุ่น Pro เราแค่แตะจอแล้วให้ Face ID สแกนใบหน้าและเลื่อนหน้าจอขึ้น ก็เข้าใช้งานได้ทันที และยิ่งรอบนี้ Apple มีการปรับตำแหน่งของกล้องหน้าและ Face ID มาไว้ในแนวนอนแล้วด้วย ทำให้เวลาเราถือเครื่องในแนวนอน หรือใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมอย่าง Magic Keyboard ได้สะดวกกว่าเดิมครับ

ส่วนฝั่ง iPad Air M2 ก็จะต้องเปลี่ยนวิธีการปลดล็อคหน่อย เพราะเราอาจจะต้องเริ่มจากการกดที่ปุ่ม Power ก่อนและแช่นิ้วที่สแกนไว้สักครู่ เพื่อปลดล็อคเข้าเครื่องแทน ซึ่งเราว่าก็เป็นวิธีที่สะดวกกันคนละแบบเนาะ

รองรับ Apple Pencil Pro เหมือนกัน
มาต่อในเรื่องอุปกรณ์เสริม iPad Pro M4 และ iPad Air M2 นั้นรองรับ Apple Pencil Pro รุ่นใหม่ทั้งคู่ ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องการรองรับเทคโลยีล่าสุด โดย Apple Pencil Pro นั้นจะมีฟีเจอร์ใหม่อย่างเรื่องการบีบที่ตัวด้ามเพื่อสั่งงานเข้ามา มีระบบสั่นตอบรับเมื่อสั่งงาน


และยังรองรับการลากพร้อมหมุนช่วยให้สายวาดหรือสายกราฟิกที่ต้องใช้เครื่องมือแปรงรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นอีกด้วยครับ ซึ่งฟีเจอร์ที่ว่ามานี้ iPad Pro M4 และ iPad Air M2 สามารถใช้งานได้หมด เพียงแต่การตอบสนองอาจจะแตกต่างกันนิดหน่อย เพราะหน้าจอของทั้งคู่มี Refresh rate ที่ต่างกันอย่างที่บอกไปตอนต้นนั่นเองครับ

Magic Keyboard คนละรุ่นนะ
แต่ถ้าใครเป็นสายพิมพ์งานอยากใช้งานคู่กับ Magic Keyboard ของ Apple เลย ตรงนี้จะมีความต่างอยู่นิดหน่อย เพราะ iPad Pro M4 นั้นรองรับ Magic Keyboard รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเฉพาะ อัปเกรดวัสดุให้เป็นโลหะ รวมถึงมีปุ่มฟังก์ชั่นเข้ามาให้ได้ใช้งานกันเพิ่ม ฟิลลิ่งจะใกล้เคียงกับใช้งานบน Macbook มากขึ้นเลยด้วย


ส่วน iPad Air M2 ก็รองรับ Magic Keyboard เหมือนกัน แต่เป็น Magic Keyboard รุ่นเดิม เป็นแบบยกลอยเหมือนกันแหละ แต่วัสดุจะไม่ใช่โลหะและไม่มีปุ่มฟังก์ชั่นมาให้ใช้งานด้วยแค่นั้นเอง ถ้าใครไม่ได้กังวลเรื่องนี้ เรื่องนี้ก็คงไม่ใช่จุดสังเกตอะไรมั้งครับ


ระบบปฏิบัติการ iPad OS ที่รองรับการอัปเดตไปอีกนาน
ปิดท้ายที่ระบบปฏิบัติการทั้งคู่มาพร้อม iPad OS 17.5.1 ที่รองรับการอัปเดตเป็น iPadOS 18 ในช่วงปลายปีนี้ด้วย และอย่างที่บอกไปว่าชิป M2 กับ M4 นั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด ๆ เพียงพอต่อการอัปเดต OS ไปอีกหลายปีแน่นอน

และอีกจุดที่ได้อัปเดตด้วยก็คือความสามารถ AI หรือ Apple Intelligence ที่จะมีให้ในอนาคต ทั้งคู่ก็จะได้เหมือนกัน เพียงแต่ความเร็วในการประมวลผลจะต่าฃกันมากไหม อันนี้คงต้องรอดูในเวอร์ชั่นเต็มอีกทีล่ะครับ

สรุปแล้ว เลือกได้หรือยัง!?
อย่างที่เราเปรียบเทียบกันไปครับ iPad Pro M4 และ iPad Air M2 นั้นมีจุดแตกต่างกันอยู่หลายอย่าง ซึ่งทำให้ราคาของทั้งคู่ต่างกันพอสมควรด้วย ลองสังเกตตัวเองว่าเราต้องการใช้งานอะไรบ้าง เลือกให้เหมาะกับการใช้งานของเราก็พอครับ หรือถ้ายังตัดสินใจไม่ได้เราแนะนำไว้แบบนี้ละกันครับ…

เลือก iPad Pro M4
เพราะอยากได้เทคโนโลยีขั้นสุด ดีที่สุดจาก Apple ทั้ง หน้าจอ Tandem OLED สุดงาม ลื่นไหลแบบ ProMotion มีชิป Apple M4 ที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มแท็บเล็ตตอนนี้ อยากได้ขนาดที่บาง-เบาที่สุดพกพาสะดวก และก็มีงบประมาณที่ไม่จำกัด ก็จัดไปเลย iPad Pro M4 ตัวเลือกที่ดีที่สุดแบบที่จะหาได้ในตอนนี้แล้วล่ะครับ

เลือก iPad Air M2
มีงบน้อยลงมาหน่อย แบบไม่เกิน 40,000 บาท เน้นการใช้งานทั่วไปจนถึงการทำงานหนัก ๆ แต่ไม่ต้องแรงที่สุดก็ได้ เคยชินกับหน้าจอ 60Hz มาอยู่แล้ว ไม่ซีเรียสว่าต้องลื่นไหลติดนิ้วที่สุด ขอแค่มีตัวเลือกจอใหญ่และเร็วแรงพอในหลายสถานการณ์ เหลือส่วนต่างไว้อัปเกรดความจุที่เยอะขึ้น หรืออุปกรณ์เสริมได้อีกหน่อย เราว่า iPad Air M2 เหมาะกับคุณแล้วล่ะครับ

ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับใครที่กำลังตัดสินใจเลือก iPad รุ่นใหม่ในปี 2024 ไม่มากก็น้อยเนาะ เลือกให้ตรงการใช้งาน เลือกให้เหมาะสม แล้วจะแฮปปี้ครับผม สำหรับวันนี้ทีมงาน iphone-droid.net ลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่บทความหน้าครับ!