Smart Review
รีวิว iPhone 11 Pro Max ขุมพลังความแรงขั้นเทพของสมาร์ทโฟนพร้อมกล้องระดับโปรของ Apple กับฟีเจอร์ iOS 13 รุ่นล่าสุด
แม้ว่า iPhone 11 Pro Max จะเปิดตัวและวางจำหน่ายในไทยมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่ความเร็วแรงของหน่วยประมวลผล A13 Bionic ก็ยังคงหาสมาร์ทโฟนรุ่นไหนมาเทียบเคียงได้ยาก รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ iOS 13 ที่มีการอัปเดทฟีเจอร์ใหม่ๆ ตลอดเวลา โดยเราจะมารีวิวฟีเจอร์และความสามารถต่างๆ ของรุ่นที่เป็นที่สุดของ iPhone กัน
สรุปสเปค iPhone 11 Pro Max
- ขนาดตัวเครื่อง : 158.0 x 77.8 x 8.1 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 226 กรัม
- หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล, 458ppi รองรับ HDR, อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1
- หน่วยประมวลผล : A13 Bionic
- ROM 64/256/512 GB
- ระบบปฎิบัติการ iOS 13
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์แบ่งเป็น
- เลนส์หลัก (Wide) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8
- เลนส์ Ultra Wide-Angle 120 องศา ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ Telephoto 2x ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0
- กล้องหน้า (TrueDepth) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- รองรับการใช้งานซิมคู่ (Nano-SIM และ eSIM)
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, Bluetooth 5.0, NFC และพอร์ต Lightning
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
ตัวกล่องของ iPhone 11 Pro Max มาในสีดำเข้มครับ โดยที่ด้านหน้ากล่องจะมีรูปตัวเครื่องด้านหลังที่บ่งบอกถึงรุ่นล่าสุดได้เป็นอย่างดีด้วยโมดูลกล้อง
ส่วนภายในกล่องจะมีอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- ตัวเครื่อง iPhone 11 Pro Max
- หูฟัง EarPods พร้อมหัวต่อ Lightning
- สาย USB Type-C เป็น Lightning
- อะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 18 วัตต์
- เอกสารคู่มือ
ดีไซน์การออกแบบของ iPhone 11 Pro Max ได้ใช้วัสดุสแตนเลสสตีลและกระจกผิวด้านที่กด้านหลังตัวเครื่อง ทำให้มีความงามแบบคลาสสิกมากๆ แถมทำให้ไม่มีติดรอยนิ้วมืออีกด้วย และที่สำคัญกระจกทั้งตัวกล้องหลังและด้านหน้าจอแสดงผลยังครอบทับด้วยกระจกที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในสมาร์ทโฟนอีกด้วย
iPhone 11 Pro Max มีให้เราเลือกใช้งานถึง 4 สี ได้แก่ สีเงิน สีทอง สีเทาสเปซเกรย์ และสีใหม่อย่างสีเขียว Midnight Green ที่ใครๆ ก็ต้องการครับ
ด้านหน้าจอแสดงผล ของ iPhone 11 Pro Max จัดอยู่ความสุดยอดของสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้เพราะได้ผ่านการทดสอบหน้าจอจาก DisplayMate และได้รับคะแนนสูงสุด A+ เลยทีเดียว โดยรุ่นนี้ใช้ชนิดหน้าจอ OLED ที่เรียกว่า Super Retina XDR ที่ให้ความคมชัดและสีสันที่สดมากๆ ด้วยคอนทราสต์สูงถึง 2,000,000:1 ทั้งนี้ หน้าจอของ iPhone 11 Pro Max สามารถเพิ่มความสว่างได้สูงสุดถึง 800 นิตเมื่อใช้งานทั่วไป และเพิ่มไปถึง 1,200 นิตเมื่อใช้งานขณะที่รับชมเนื้อหา HDR10, Dolby Vision หรือกำลังรูปถ่าย HDR Super Retina XDR ครับ
สำหรับ iPhone 11 Pro Max ยังมีฟีเจอร์ True Tone มาให้เช่นเดิมครับ โดยจะเป็นการปรับ White Balance ของหน้าจอให้ตรงกับอุณหภูมิสีของแสงรอบๆ ข้าง และปรับได้ตามสภาวะที่เรากำลังเจอ
รอบเครื่องของ iPhone 11 Pro Max ตั้งแต่เหนือหน้าจอแสดงผลจะมีรอยบากที่ฝังเทคโนโลยี TrueDepth เข้าไป, กล้องหน้า และลำโพงสเตอริโอพร้อมไมโครโฟนในตัว
ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีแถบสำหรับเปิด/ปิดเสียงมาให้เหมือนเดิมตามสไตล์ของ Apple และถัดลงมาจะมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงมาให้
ด้านขวาตัวเครื่องมีปุ่ม Power หรือใช้งานเรียก Siri และที่ตรงกลางๆ จะมีช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM 1 ช่อง
ส่วนด้านล่างตัวเครื่องจะมีทั้งลำโพงและไมโครโฟน ขนาบข้างพอร์ต Lightning อยู่
และสุดท้ายที่ด้านหลังจะมีกล้องหลังที่เป็นแบบใหม่ของ iPhone จำนวน 3 เลนส์ พร้อมแฟลช Dual-Tone และโลโก้ Apple กลางเครื่อง
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฎิบัติการ
แน่นอนว่า iPhone 11 Pro Max ต้องรันบนระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดของค่ายอย่าง iOS 13 ที่ตอนนี้ก็อยู่ในเวอร์ชัน iOS 13.3.1 กันแล้วครับ โดยหลักๆ iOS 13 จะช่วยให้การทำงานและการตอบสนองระหว่างใช้งานเร็วขึ้นพอสมควรครับ ทั้งยังช่วยเรื่องความเสถียรของระบบ, ลดขนาดของแอปพลิเคชั่นที่ดาวน์โหลด และทำให้ Face ID ทำงานได้เร็วกว่า iOS รุ่นก่อนๆ ด้วย
ฟีเจอร์เด่นๆ ใน iOS 13
ใช้งานสบายตาด้วยโหมดมืด
ใน iOS 13 มาพร้อมกับการเปลี่ยนโหมดหน้าจอเป็นแบบมืดเพื่อช่วยให้การใช้งานนั้นสบายอย่างมากครับ ซึ่งไม่ใช่แค่นั้นเพราะยังช่วยเรื่องการประหยัดพลังงานเหมือนกัน เพราะหน้าจอมืดๆ พื้นหลังดำๆ เรียกได้ว่าเป็นของชอบของหน้าจอ OLED เลยทีเดียว
Siri ฉลาดขึ้นและใช้งานดีกว่าเดิม
ผู้ช่วยอัจฉริยะประจำ iPhone 11 Pro Max หนีไม่พ้น Siri ครับ ซึ่งในรุ่นใหม่ที่ใช้ iOS 13 ด้วยก็ทำให้ Siri นั้นพูดได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น โต้ตอบได้ตรงตามคำถามกว่าเดิม รวมถึงการใช้งานก็เสถียรขึ้นด้วยครับ
สติ๊กเกอร์น่ารักๆ ทั้ง Animoji และ Memoji
Animoji และ Memoji เป็นสติ๊กเกอร์ที่มีหลายรูปแบบมากขึ้นใน iOS 13 ครับ ซึ่งในฟีเจอร์จะได้ประโยชน์จากกล้องหน้า TrueDepth ใน iPhone 11 Pro Max เพื่อให้เคลื่อนไหวใบหน้าตามผู้ใช้งานให้เหมือนจริงมากที่สุด
โดยเราสามารถเข้าไปใช้งาน Animoji และ Memoji ได้ที่แอปข้อความครับ แล้วสามารถตกแต่งใบหน้า ทรงผม และอุปกรณ์ต่างๆ ได้ตามใจชอบเลยทีเดียว แถมเมื่อทำเสร็จแล้วยังส่งสติ๊กเกอร์เหล่านี้ได้ผ่านแอปแชททั้งหลาย เช่น Line, Messenger หรือ IG ได้ด้วยผ่านคีย์บอร์ดของระบบครับ
ระบบเสียงสมจริงรอบทิศทางแบบ Dolby Atmos
iPhone 11 Pro Max ยังมาพร้อมกับลำโพงเสียงรอบทิศทางแบบ Dolby Atmos อีกด้วย โดยเรื่องความดังและความคมชัดก็หายห่วงไปเลยครับ เพราะจัดเต็มแน่นอน ทั้งยังช่วยในเรื่องอรรถรสในการเล่นเกมหรือรับชมภาพยนตร์ต่างๆ อีกด้วย
Face ID รุ่นพัฒนา ใช้งานเร็วกว่าเดิม
นอกจากที่ Face ID หรือการสแกนใบหน้าของ iPhone รุ่นต่างๆ จะมีความปลอดภัยที่น่าจะมากที่สุดในสมาร์ทโฟนตอนนี้แล้ว ใน iOS 13 ก็ยังช่วยให้ระบบนี้ทำงานเร็วขึ้นไปอีกด้วยครับ (ซึ่งจริงๆ ก็ทำงานเร็วแล้วนะ) เพียงแค่ยกขึ้นมาก็ปัดขึ้นได้ทันที ไม่ต้องรอนานเลยด้วย
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมขุมพลังตัวแรงสุดที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนอย่าง A13 Bionic ซึ่งต้องบอกว่าไม่ว่าจะ iPhone รุ่นไหนก็ยังคงแรงได้แบบสบายๆ ใช้งานได้เต็มที่ ซึ่งยังมีหน่วยประมวลผลด้าน AI ที่เรียกว่า Neural Engine เพื่อให้จัดการระบบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม แถมยังประหยัดพลังงานน้อยกว่า A12 Bionic ถึง 15% ด้วย
นอกจากหน่วยประมวลผลหลักแล้ว iPhone 11 Pro Max ยังมีชิพ U1 ที่เป็นการเข้าถึงตำแหน่ง Ultra-Wide Band ของอุปกรณ์ใกล้เคียงได้อย่างแม่นยำ โดยส่วนนี้จะได้ประโยชน์ในเรื่องการถ่ายโอนข้อมูลของ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ได้ดีกว่าเดิมด้วย
ทดสอบการเล่นเกม
เราได้ทดสอบการเล่นเกมที่เน้นกราฟิกหนักๆ และเกมที่รองรับ AR ด้วย โดยผลจะเป็นอย่างไรมาดูกันครับ
Asphalt 9 : Legend
เกมแข่งรถสุดฮิตโดยที่เกม Asphalt 9 : Legend ใน iPhone 11 Pro Max ไม่จำเป็นต้องไปปรับคุณภาพกราฟิกครับเพราะมาให้สุดอยู่แล้ว และจากการเล่นไปประมาณครึ่งชั่วโมงติดกัน ทุกรอบเล่นได้แบบไหลลื่นมาก ระบบทัชหน้าจอก็ตอบสนองได้เร็ว และดูเหมือนว่าเฟรมเรทจะวิ่งในระดับสูงสุดอีกด้วยเพราะภาพมันสมูธมากๆ
Angry Birds AR: Isle of Pigs
มาต่อที่เกม Angry Birds AR: Isle of Pigs ที่ใช้กล้องหลังเพื่อแสดงผลออกมาเป็น AR ก็เล่นได้แบบไม่มีปัญหาครับ ได้ทั้งความไหลลื่น ภาพสวย และเล่นได้ต่อเนื่องไม่มีตรงไหนสะดุดเลย
ROV
และสุดท้ายกับเกมยอดฮิตของชาวไทยอย่าง ROV แน่นอนว่าเมื่อใช้ iPhone 11 Pro Max ก็ต้องปรับสุดทุกอย่างอยู่แล้ว โดยเราลองเล่นในโหมด 5 VS 5 ครับ เฟรมเรทภาพรวมของทั้งเกมถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ เพราะวิ่งอยู่ที่ 60fps เป็นส่วนใหญ่ และอาจลงมาเล็กน้อยที่ 58-59fps ในบางครั้งเท่านั้น
แบตเตอรี่อึดใช้งานได้ทั้งวันแน่นอน
iPhone 11 Pro Max ขึ้นชื่อเรื่องแบตเตอรี่ที่มีความอึดมากต่อการใช้งานทั่วไปใน 1 วันครับ ซึ่งจากที่ใช้งานจริงๆ ก็ตามนั้นเลยครับ เราเล่นเกมไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ แบตเตอรี่จาก 100% เหลือถึง 95% ซึ่งหากแบตใกล้หมดก็ยังชาร์จเร็วได้อะแดปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่องที่ 18W
นอกจากนี้ iPhone 11 Pro Max ยังรองรับการชาร์จไร้สายผ่านกระจกด้านหลังด้วยแผ่นรองชาร์จที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Qi ทุกรุ่นครับ ทำให้สะดวกในการใช้งานมากขึ้น
กล้องถ่ายรูป
สำหรับกล้องของ iPhone 11 Pro Max ถือว่าเป็นรุ่นที่มีอัปเกรดจากรุ่นเดิมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ ไม่ว่าจะกล้องหน้าหรือกล้องหลัง แถมได้เพิ่มเลนส์ Ultra-Wide เข้ามาเป็นครั้งแรกของ Apple ซึ่งแต่ละเลนส์ที่มีมาให้มีดังนี้
กล้องหลัง
- เลนส์หลัก (Wide) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8
- เลนส์ Ultra Wide-Angle 120 องศา ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ Telephoto 2x ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0
กล้องหน้า (TrueDepth) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
แต่ละฟีเจอร์จะมีอะไรและถ่ายภาพได้แจ่มขนาดไหนมาดูกันเลยครับ
เลนส์ Wide ถ่ายภาพแจ่มๆ โฟกัสไวขึ้น
ในเลนส์ Wide ของ iPhone 11 Pro Max นั้นได้อัปเกรดให้ระบบโฟกัสทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิมครับ โดยจุดนี้ทำให้เราได้ภาพที่คมชัดและไม่ต้องรอนานโฟกัสนานเหมือนก่อนแล้ว จะถ่ายภาพตอนกลางวันหรือกลางคืนแค่กดชัตเตอร์ด้วยโหมดปกติก็ได้ภาพทันใจ
Ultra-Wide กว้างสะใจเก็บอะไรก็ครบ
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับเลนส์ Ultra-Wide ใหม่ที่อยู่ในระยะ 0.5x ให้ความกว้างเต็มๆ 120 องศา ถือว่าอยู่ใกล้วัตถุต่างๆ ก็เก็บได้ครบหมดครับ แถมเรื่องความสดใสของสีสันก็ดูจะไม่ต่างจากเลนส์หลักเท่าไหร่ด้วยนะ ส่วนโฟกัสก็ไวใช้ได้เลย
เลนส์ Wide / เลนส์ Ultra-Wide
ทั้งนี้เมื่อเราใช้งานเลนส์ Wide ปกติอยู่ ภาพที่อยู่นอกเฟรมจะแสดงผลว่าหากถ่ายด้วยเลนส์ Ultra-Wide แล้วจะได้ภาพออกมาประมาณไหนครับ ซึ่งถือว่าสะดวกมากๆ หากใครที่ต้องการใช้งาน
Night Mode ถ่ายกลางคืนยังไงก็เห็นชัด Noise ก็น้อยมาก
โหมดกลางคืนหรือ Night Mode ของ iPhone 11 Pro Max ถือว่าทำให้การถ่ายภาพในตอนกลางคืนนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่ารุ่นก่อนมากๆ ภาพที่ได้ออกมาจะสว่างมากขึ้น เพิ่มสีสัน และ Noise ในภาพก็น้อยมากๆ (แต่ก็ขึ้นอยู่ความความสว่างของแสงที่มีด้วยครับ)
โดยการใช้งานโหมดนี้ระบบจะทำงานเองโดยอัตโนมัติ และจะขึ้นเตือนเป็นแถบสีเหลืองว่าให้ถือไว้กี่วินาทีหาก Night Mode ทำงาน
โหมดการจัดแสงภาพถายบุคคล
โหมดถ่ายภาพบุคคลของ iPhone 11 Pro Max จัดอยู่ในขั้นที่แจ่มมากขึ้นเพราะมีลูกเล่นให้เราได้ปรับแต่งเพิ่มขึ้นพอสมควร ตั้งแต่ความสว่างหรือความคมชัดของภาพที่ช่วยให้ผิวของเราเรียบเนียนมากขึ้น รวมไปถึงการปรับค่า f หรือรูรับแสงให้เบลอได้ดั่งใจเราครับ
สำหรับโหมดนี้มีให้เราเลือกเอฟเฟ็กต์ถึง 6 แบบ ได้แก่ แสงไฟธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงไฟคอนทัวร์, แสงไฟเวที, แสงไฟเวทีขาวดำ และ แสงไฟขาวดำไฮคีย์ที่เป็นรูปแบบใหม่ด้วย
กล้อง TrueDepth เก็บภาพได้กว้างกว่าเดิม
สำหรับกล้องหน้าหรือที่เรียกว่า TrueDepth มีการพัฒนาให้เห็บภาพในมุมที่กว้างกว่าเดิมชัดเจนครับ แถมยังมีความฉลาดในเรื่องของระบบอีกด้วย โดยหากเราเซลฟี่มุมแนวตั้งภาพก็อาจจะดูแคบเล็กน้อย แต่ถ้าปรับเป็นแนวนอนภาพที่ก็จะได้มุมกว้างขึ้นทันทีครับ
ที่สำคัญ iPhone 11 Pro Max ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ถ่ายวิดีโอระดับ 4K@60fps ได้รุ่นแรกของโลกด้วย
นอกจากนี้ในเรื่องของการถ่ายวิดีโอ ทุกเลนส์ที่ให้มาทั้ง Wide, Ultra-Wide และ Telephoto สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับ 4K@60fps ได้ทั้งหมดครับ ซึ่งเรื่องความนิ่งและระบบโฟกัสในโหมดวิดีโอต้องยอม iPhone 11 Pro Max จริงๆ
สรุปจุดเด่น
- กล้องหลัง 3 เลนส์ใหม่หมด ถ่ายได้คมชัด เก็บมุมกว้างได้ครบ และ UI ต่างๆ ถือว่าทำออกมาได้ฉลาดมาก
- กล้องหน้าถ่ายได้คมชัดและรองรับวิดีโอ 4K@60fps
- iPhone 11 Pro Max เป็นรุ่นที่หน้าจอใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone ที่ 6.5 นิ้ว ทั้งยังมีความคมชัดและความสวยงามจนได้รับเกรด A+ จาก DisplayMate
- หน่วยประมวลผล A13 Bionic ที่ถือว่าแรงที่สุดในโลกของสมาร์ทโฟน การใช้งานหรือเล่นเกมต่างๆ ก็หายห่วงไปได้เลยครับ
- แบตเตอรี่ที่อึดมากๆ หากใครใช้งานทั่วไปรับรองว่าอยู่ได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำแน่นอน
- กันน้ำมาตรฐาน IP68
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ไม่มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. แต่มีหูฟังพอร์ต Lightning มาให้ในกล่อง
iPhone 11 Pro Max วางจำหน่ายในประเทศไทยแล้วใน 3 ความจุ ได้แก่ 64GB, 256GB และ 512GB สนนราคาอยู่ที่ 39,900 บาท, 45,900 บาท และ 52,900 บาท ตามลำดับ โดยจะมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ เทาสเปซเกรย์, เงิน, ทอง และเขียวมิดไนท์กรีน