Smart Review
รีวิว iPhone 13 Pro Max สีเซียร์ร่าบลู 512GB เครื่องศูนย์ไทย หลังใช้งานจริง
รีวิว iPhone 13 Pro Max สมาร์ทโฟนรุ่นท็อปสุดในปีนี้ และเป็นประจำทุกปีที่เราจะได้เห็นการการอัปเกรดสเปคหรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ จาก Apple แม้ดีไซน์แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีความน่าสนใจอย่างมากในด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ (รีวิว iPhone 13 ดูได้ที่นี่)
สรุปสเปค iPhone 13 Pro Max
- ขนาดตัวเครื่อง : 160.8 x 78.1 x 7.7 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 240 กรัม
- หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR OLED มาพร้อม ProMotion อัตรารีเฟรช 120Hz, HDR10, Dolby Vision ความละเอียด 1284 x 2778 พิกเซล
- หน่วยประมวลผล : Apple A15 Bionic
- RAM 6GB
- ROM 128GB / 256GB / 512GB / 1TB
- ระบบปฎิบัติการ iOS 15
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง
- กล้องหลัก: 12MP ขนาดพิกเซล 1.9µm เทียบเท่าเลนส์ 26 มม. รูรับแสงกว้าง f/1.5 ระบบกันสั่นแบบ sensor shift OIS และ Dual Pixel AF
- กล้อง Ultra-wide: 12MP เทียบเท่าเลนส์ 13 มม. รูรับแสง f/1.8 ระบบโฟกัส PDAF และถ่ายมาโครได้ในระยะใกล้สุด 2 ซม.
- กล้อง Telephoto: 12MP เทียบเท่าเลนส์ 77 มม. รูรับแสง f/2.8 และระบบกันสั่น OIS
- กล้องเซ็นเซอร์ LiDAR Scanner
- กล้องหน้า 12MP รูรับแสง f/2.2 และ 3D Depth Sensing
- รองรับ 5G
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, Bluetooth 5.0, NFC และพอร์ต Lightning
- แบตเตอรี่ชาร์จเร็ว 20W และ Power Delivery 2.0
- ตัวเครื่องกันน้ำได้ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง
iPhone 13 Pro Max มาในกล่องที่บางเบาเหมือนปีที่แล้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปของกล่อง iPhone ในปีนี้คือจะไม่มีพลาสติกหุ้มตัวกล่องแล้ว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของ Apple ที่จะลดการใช้พลาสติกและรักษ์โลก
อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่องจะประกอบไปด้วยตัวเครื่อง iPhone, สาย USB‑C เป็น Lightning, เข็มสำหรับจิ้มถาดใส่ซิม และเอกสารคู่มือ
ตัวเครื่องมีดีไซน์ขอบแบน ซึ่งกรอบตัวเครื่องเป็นสแตนเลสสตีลที่มีความมันเงา ทำให้ตัวเครื่องสวยหรูและมีความพรีเมี่ยม
สำหรับกระจกด้านหลังเป็นผิวด้านและด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ซึ่งเป็นกระจกแบบเดียวกับที่เราได้เห็นครั้งแรกใน iPhone 12 เมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นการนำเซรามิกมาปกป้องกระจกหน้าจอ ที่ผ่านมาสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ก็จะมีรุ่นที่เป็นเซรามิกหลายรุ่น แต่ทุกรุ่นจะถูกนำมาใช้เป็นฝาหลัง
กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ตัวเลนส์มีขนาดใหญ่และนูนขึ้นมาเหนือฝาหลัง โดยมีเซ็นเซอร์กล้องอีกตัวคือ LiDAR Scanner และแฟลช Dual Tone
โมดูลกล้องหลังมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้เห็นขนาดที่แตกต่างกันชัดเจนมากขึ้น ให้ดูภาพเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 11 Pro Max, iPhone 12 Pro Max และ iPhone 13 Pro Max
ตัวเครื่องทนนํ้าได้มาตรฐาน IP68 ทนน้ำได้ลึกถึง 6 เมตร นาน 30 นาที โดยสีที่เห็นในรีวิวนี้เป็นสีเซียร์ร่าบลูใหม่ล่าสุด ดูได้จากภาพเปรียบเทียบสีเครื่องระหว่าง iPhone 13 สีน้ำเงิน และ iPhone 13 Pro Max สีเซียร์ร่าบลู
ขอบด้านซ้ายจะมีปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดเสียง รวมไปถึงถาดใส่ซิม
ขอบด้านขวามีปุ่มด้านข้าง
ขอบด้านล่างมีไมโครโฟน, พอร์ต Lightning และลำโพง
ด้านการดีไซน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปและหลายคนอาจไม่ทันสังเกตก็คือรอยบากที่เป็นพื้นที่ติดตั้งระบบกล้อง TrueDepth บริเวณเหนือหน้าจอ มีขนาดที่เล็กลงเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro Max
หน้าจอแสดงผล
iPhone 13 Pro Max มาพร้อมหน้าจอ 6.7 นิ้ว ProMotion รองรับอัตรารีเฟรชตั้งแต่ 10Hz จนถึง 120Hz โดยปรับได้ตามความเหมาะสมตามการใช้งานบนหน้าจอในขณะนี้ นอกจากจะได้ภาพที่ลื่นไหนตามการใช้งานแล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานได้อีกด้วย
เป็นครั้งแรกบน iPhone สำหรับฟีเจอร์ ProMotion หลังจากรอคอยกันมาตั้งแต่ iPhone 12 ในปีที่แล้ว ซึ่งจากการใช้งานก็พบว่าหน้าจอมีความลื่นไหลและมีความราบรื่นมากๆ หากใครใช้ iPhone รุ่นก่อนหน้าก็จะสัมผัสได้ถึงความลื่นบนหน้าจอ
การปัดนิ้วเลือกแอปหรือการเลื่อนดูคอนเทนต์มีความสมูธ ซึ่งก็ทำให้เวลามองหน้าจอก็รู้สึกสบายตาด้วย อีกทั้งแผงหน้าจอที่เป็น OLED ใหม่ที่สว่างยิ่งขึ้น หรือที่เรียกว่าจอภาพ Super Retina XDR ก็ให้สีสันที่สดใสสวยงามมากๆ
การใช้งานกลางแจ้งก็เห็นหน้าจอได้ชัดมากขึ้น ด้วยความสว่าง 1000 นิตขณะอยู่กลางแจ้ง อีกทั้งยังรองรับความสว่างสูงสุดถึง 1,200 นิตสำหรับภาพถ่าย และวิดีโอ HDR
iPhone 13 มีจอภาพที่รองรับเทคโนโลยี HDR ไม่ว่าจะเป็น Dolby Vision, HDR10 และ HLG ก็รองรับทั้งหมด ทำให้เวลาดูภาพยนตร์หรือคอนเทนต์จาก Apple TV+ และแอปอื่นๆ ที่รองรับคอนเทนต์ HDR ก็จะได้ภาพที่สวยสมจริงมากขึ้น
นอกจากนี้แล้ว ยังมีการแสดงผลแบบ True Tone ที่ช่วยปรับไวท์บาลานซ์บนหน้าจอให้ตรงกับอุณหภูมิสีของแสงรอบๆ ภาพที่คุณเห็นบนจอภาพจึงดูเป็นธรรมชาติ
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
iPhone 13 Pro Max มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 15 ตั้งแต่แกะออกจากกล่อง ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่มีการอัปเดตครั้งใหญ่ มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ เพียบ
เพิ่มความสนุกมากขึ้นกับตัวเลือกเสื้อผ้า Memoji กว่า 40 แบบและสีที่ต่างกันมากถึง 3 สีสำหรับปรับแต่งเสื้อผ้าและเครื่องประดับศีรษะของสติกเกอร์ Memoji
โหมดโฟกัส ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถกรองการแจ้งเตือนตามสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้โดยอัตโนมัติ เช่น เวลาเล่นฟิตเนส เวลานอนหลับ เวลาเล่นเกม เวลาอ่าน เวลาขับขี่ เวลาทำงาน หรือเวลาส่วนตัว
รายการแจ้งเตือนแบบใหม่ แสดงรูปภาพในรายชื่อผู้ติดต่อ และแสดงไอคอนที่ใหญ่มากขึ้น รวมไปถึงการสรุปการแจ้งเตือนที่จะส่งมาเป็นคอลเลกชั่นการแจ้งเตือนแบบรายวันตามกำหนดเวลาที่ตั้งค่าไว้
แอปแผนที่อัปเกรดใหม่ แสดงแผนที่ในเมืองด้วยข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับความสูง ต้นไม้ อาคาร สถานที่สำคัญ ทางม้าลานย ช่องเลี้ยวรถ เป็นต้น และแสดงลูกโลก 3D แบบอินเทอร์แอ็คทีฟ แสดงรายละเอียดขั้นสูงสำหรับเทือกเขา ทะเลทราย ป่า มหาสมุทร และอื่นๆ
Safari ปรับปรุงหน้าตาใหม่ แสดงรายการแถบด้านล่างสุด หรือถ้าไม่ชินกับการใช้งานก็สามารถย้ายแถบไปไว้ด้านบนเหมือนเดิมได้ และสามารถค้นหาเว็บได้โดยใช้เสียง
ข้อความในภาพ ฟีเจอร์ที่ช่วยแปลงข้อความในรูปภาพเป็นข้อความอักษร สามารถคัดลอกแล้ววาง ค้นดู และแปลภาษาได้ในแอปรูปภาพ, ภาพถ่ายหน้าจอ, ดูแบบรวดเร็ว, Safari รวมถึงใช้ใช้ข้อความในภาพด้วยกล้อง iPhone ได้เช่นกัน โดยการเปิดกล้องแล้วส่องไปที่ข้อความ
ผลการค้นหา Spotlight ที่มีรายละเอียดครบถ้วน รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่กำลังค้นหามาไว้ด้วยกันสำหรับรายชื่อ นักแสดง นักดนตรี ภาพยนตร์ และรายการทีวี รวมไปถึงสามารถค้นหารูปภาพจากคลังรูปภาพได้ตามตำแหน่งที่ตั้ง ผู้คน สภาพแวดล้อม ข้อความในรูปภาพ หรือสิ่งอื่นๆ ในรูปภาพ เช่น สุนัขหรือรถยนต์
แอปสภาพอากาศมีการดีไซน์ใหม่ แสดงข้อมูลสภาพอากาศที่สำคัญที่สุดสำหรับตำแหน่งที่ตั้งนั้นและมีโมดูลแผนที่ใหม่ๆ อีกทั้งยังมีภาพพื้นหลังแบบเคลื่อนไหวใหม่ช่วยให้แสดงตำแหน่งดวงอาทิตย์ เมฆ และปริมาณฝนได้แม่นยำมากขึ้น
iPhone 13 Pro Max รองรับเครือข่าย 5G และมีโหมดข้อมูลอัจฉริยะ สลับไปใช้ LTE และประหยัดแบตเตอรี่ให้โดยอัตโนมัติเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วบนเครือข่าย 5G
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
iPhone 13 Pro มาพร้อมชิป A15 Bionic ใช้เทคโนโลยี 5 nm เป็น CPU แบบ 6-core และ GPU แบบ 5-core ใหม่ที่ออกแบบโดย Apple โดยมี RAM 6GB และรุ่นที่ใช้ใน รีวิว iPhone 13 Pro Max ครั้งนี้เป็นรุ่นความจุ 512GB เครื่องศูนย์ไทย โดยผลการทดสอบด้วย Geekbench 5 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผล การทดสอบนี้จะทำการประมวลออกมาเป็นตัวเลขแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Single-Core และ Multi-Core หากได้คะแนนยิ่งสูงประสิทธิภาพการทำงานจะยิ่งดี iPhone 13 Pro Max ทำคะแนน Single-Core ได้ 1,727 คะแนน และ Multi-Core ทำได้ 4,861 คะแนน
ทดสอบเกมฮิต RoV เล่นบน iPhone 13 Pro Max ได้สะใจมากขึ้นด้วยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ รองรับโหมดเฟรมเรทสูง และในเรื่องของความลื่นไหลก็คงไม่ต้องพูดถึง เพราะลื่นๆ กันอยู่แล้วตั้งแต่รุ่นก่อนๆ แม้แต่ตอนเข้าร่วมทีมไฟต์เฟรมเรทก็นิ่งมาก แถมเสียงเกมก็มาแบบสเตอริโอจากลำโพงซ้ายขวาอีกด้วย
ทดสอบเกมแนว Battle Royale อย่างเกม PUBG Mobile สามารถปรับกราฟิกระดับ Ultra HD พร้อมกับเฟรมเรทระดับ Ultra ได้ ภาพเกมสีสวยสดใสและการเลื่อนดูภาพ เปลี่ยนมุมมองไปมาทำได้อย่างลื่นไหล รวมไปถึงการตอบสนองต่อการสัมผัสก็ทำได้รวดเร็วดี
สำหรับแบตเตอรี่ของ iPhone 13 Pro Max จากการใช้งานทั่วไป เข้าเว็บไซต์ต่างๆ เล่นโซเชียลมีเดีย เปิดกล้องถ่ายรูปไปเกือบ 200 รูป และดูวิดีโอบ้างเป็นครั้งคราว อยู่ได้ประมาณ 8-9 ชั่วโมง ซึ่งก็น่าจะเพียงพอสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
iPhone 13 Pro Max รองรับการชาร์จเร็ว 20W ผ่านสาย และชาร์จเร็วไร้สาย 15W ผ่านที่ชาร์จ MagSafe ซึ่งต้องใช้หัวชาร์จที่มีกำลังไฟ 20W ขึ้นไป
กล้องถ่ายรูป
iPhone 13 Pro Max มาพร้อมกล้องหลังที่มีการอัปเกรดฮาร์ดแวร์แบบใหม่หมด ประกอบด้วยกล้องหลักแบบ Wide, กล้อง Ultra-wide และ Telephoto แบบใหม่ รองรับ ProRAW สำหรับช่วยให้แก้ไขการเปิดรับแสง สี และไวท์บาลานซ์ในรูปภาพได้อย่างยืดหยุ่นยิ่งขึ้น แต่ไฟล์มีขนาดใหญ่กว่าไฟล์ HEIF หรือ JPEG มากถึง 10-12 เท่า
- กล้องหลัก: 12MP ขนาดพิกเซล 1.9µm เทียบเท่าเลนส์ 26 มม. รูรับแสงกว้าง f/1.5 ระบบกันสั่นแบบ sensor shift OIS และ Dual Pixel AF
- กล้อง Ultra-wide: 12MP เทียบเท่าเลนส์ 13 มม. รูรับแสง f/1.8 ระบบโฟกัส PDAF และถ่ายมาโครได้ในระยะใกล้สุด 2 ซม.
- กล้อง Telephoto: 12MP เทียบเท่าเลนส์ 77 มม. รูรับแสง f/2.8 และระบบกันสั่น OIS
- กล้องเซ็นเซอร์ LiDAR Scanner
กล้อง Wide
iPhone 13 Pro Max มีกล้องหลักหรือเลนส์ Wide ที่มีรูรับแสงกว้าง f/1.5 ทำให้การเก็บแสงขณะถ่ายภาพทำได้ดีมากขึ้น ในขณะที่รุ่นเล็ก iPhone 13 และ iPhone 13 mini มีรูรับแสง f/1.6
โหมดถ่ายภาพบุคคล
โหมดถ่ายภาพบุคคลทำได้เนียนมากขึ้น ตัดขอบเส้นผมได้ดีกว่าเดิม
สไตล์ภาพถ่าย
สไตล์ภาพถ่าย สำหรับปรับแต่งโทนสีของภาพให้ออกมาเป็นความรู้สึกใหม่ๆ โดยโทนสีของผิวไม่ให้ผิดเพี้ยน ได้แก่ สดใส, ความต่างระดับสีสูง, โทนอุ่น และโทนเย็น
กล้อง Ultra-wide และภาพถ่าย Macro
กล้อง Ultra-wide นอกจากจะถ่ายภาพมุมกว้างแล้ว ยังเป็นครั้งแรกบน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max อีกเหมือนกันที่มีกล้อง Ultra-wide ระบบออโต้โฟกัส 12MP รูรับแสงกว้าง f/1.8 สามารถถ่ายภาพระยะใกล้สุดเพียง 2 ซม. หรือการถ่ายมาโครนั่นเอง ทำได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ
กล้อง Telephoto
กล้อง Telephoto สามารถซูมออปติคอลได้ 3x และซูมดิจิทัลได้สูงสุด 15x
โหมดกลางคืน
เป็นครั้งแรกที่โหมดกลางคืนใช้งานได้กับกล้องทุกตัวบน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max รวมถึงกล้อง Telephoto ด้วย
ภาพถ่ายบุคคลในโหมดกลางคืน
LiDAR Scanner เป็นฟีเจอร์ที่ Apple ใส่มาให้เฉพาะในรุ่น Pro และ Pro Max เทคโนโลยีตัวช่วยสำหรับภาพถ่ายบุคคลในโหมดกลางคืน ทำให้ออโต้โฟกัสที่เร็วขึ้นในการถ่ายภาพบุคคลในสภาพแสงน้อย
iPhone 13 Pro Max มาพร้อมการถ่ายวิดีโอด้วย “โหมดภาพยนตร์” สำหรับการบันทึกวิดีโอที่มีมิติความชัดตื้น สลับจุดที่ต้องการโฟกัสได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าชัดหลังเบลอหรือด้านหน้าจอและตัวคนด้านหลังชัด ใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง รวมไปถึงสามารถบันทึกและตัดต่อในแบบ ProRes หรือ Dolby Vision ได้
กล้องหน้า TrueDepth
กล้องหน้า TrueDepth ใน iPhone 13 Pro Max มาพร้อมโหมดกลางคืนสำหรับการถ่ายวิดีโอ เซลฟี่พร้อมโบเก้ที่สวยงาม สไตล์ภาพถ่าย เซลฟี่ในโหมดกลางคืน และการบันทึก HDR ในแบบ Dolby Vision ที่ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 4K ที่ 60 fps
สรุปจุดเด่น
- ดีไซน์พรีเมี่ยมและทนน้ำได้
- รองรับ Wi-Fi 6 และ 5G
- หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR OLED มาพร้อม ProMotion อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz
- แบตเตอรี่ใช้ได้ยาวนานขึ้น และรองรับชาร์จเร็ว
- กล้องหลังอัปเกรดใหม่ ถ่ายภาพและวิดีโอได้ระดับมืออาชีพ
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ไม่มีอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จในกล่อง ผู้ใช้ต้องหาใช้งานเพิ่มเติม
สรุปจากการใช้งาน iPhone 13 Pro Max ในเรื่องของดีไซน์ยังคงคล้ายเดิมกับรุ่นก่อนหน้า มีความเรียบหรู และมีสีใหม่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความใหม่ จับใช้งานถนัดมือ และในที่สุดก็ได้ Super Retina XDR OLED มาพร้อม ProMotion อัตรารีเฟรช 120Hz อีกทั้งด้านกล้องถ่ายรูปถูกใจผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอมากขึ้น ด้วยลูกเล่นใหม่ๆ สามารถบันทึกและตัดต่อในแบบ ProRes หรือ Dolby Vision ได้ ในขณะที่การถ่ายภาพนิ่งก็ทำได้ดีขึ้นไปอีก
iPhone 13 Pro Max เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน้าเว็บไซต์ apple.com