Smart Review
รีวิว iPhone 13 สีน้ำเงิน 512GB เครื่องศูนย์ไทย ชอบอะไรหลังใช้งานจริง
รีวิว iPhone 13 แม้จะไม่ใช่สมาร์ทโฟนรุ่นท็อปสุด แต่สเปคหรือฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้มาครบทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไปดูกันว่ารุ่นนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
สรุปสเปค iPhone 13
- ขนาดตัวเครื่อง : 146.7 x 71.5 x 7.7 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 174 กรัม
- หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR OLED รองรับ HDR10, Dolby Vision ความละเอียด 1170 x 2532 พิกเซล
- หน่วยประมวลผล : Apple A15 Bionic
- RAM 4GB
- ROM 128GB / 256GB / 512GB
- ระบบปฎิบัติการ iOS 15
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง
- กล้องหลัก: 12MP เทียบเท่าเลนส์ 26 มม. รูรับแสง f/1.6 ระบบโฟกัส Dual-Pixel AF และกันสั่น sensor shift OIS
- กล้อง Ultra-wide: 12MP เทียบเท่าเลนส์ 13 มม. รูรับแสง f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา
- กล้องหน้า 12MP รูรับแสง f/2.2 และ 3D Depth Sensing
- รองรับ 5G
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, Bluetooth 5.0, NFC และพอร์ต Lightning
- แบตเตอรี่ชาร์จเร็ว 20W และ Power Delivery 2.0
- ตัวเครื่องกันน้ำได้ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง
iPhone 13 มาในกล่องที่บางเบาเหมือนกับ iPhone 13 รุ่นอื่นๆ ปีนี้คือจะไม่มีพลาสติกหุ้มตัวกล่องแล้ว แกะซีลด้านหลังกล่องตามลูกศรได้เลย
อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่องจะประกอบไปด้วยตัวเครื่อง iPhone, สาย USB‑C เป็น Lightning, เข็มสำหรับจิ้มถาดใส่ซิม และเอกสารคู่มือ
ตัวเครื่องมีดีไซน์ขอบแบน ซึ่งกรอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม ถ้าใครชอบผิวแบบด้าน ไม่มันเงาก็จะชอบรุ่นนี้ จะไม่เหมือนกับรุ่น iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ที่มีกรอบตัวเครื่องเป็นสแตนเลสสตีลที่มีความมันเงา
สำหรับกระจกด้านหลังเป็นผิวด้านและด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ปกป้องกระจกหน้าจอ
กล้องหลัง 2 ตัว ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ตัวเลนส์มีขนาดใหญ่และนูนขึ้นมาเหนือฝาหลัง โดยมีการจัดวางกล้องในแนวทแยง
เปรียบเทียบ iPhone 12 และ iPhone 13 จะเห็นว่าขนาดเลนส์กล้องในรุ่นใหม่มีขนาดใหญ่กว่าชัดเจน
โมดูลกล้องหลังมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ตัวเครื่องทนนํ้าได้มาตรฐาน IP68 ทนน้ำได้ลึกถึง 6 เมตร นาน 30 นาที โดยสีที่เห็นในรีวิวนี้เป็นสีน้ำเงิน เปรียบเทียบสีเครื่องระหว่าง iPhone 13 สีน้ำเงิน และ iPhone 13 Pro Max สีเซียร์ร่าบลู
ขอบด้านซ้ายจะมีปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดเสียง รวมไปถึงถาดใส่ซิม
ขอบด้านขวามีปุ่มด้านข้าง
ขอบด้านล่างมีไมโครโฟน, พอร์ต Lightning และลำโพง
รอยบากที่เป็นพื้นที่ติดตั้งระบบกล้อง TrueDepth บริเวณเหนือหน้าจอมีขนาดที่เล็กลงเมื่อเทียบกับ iPhone 12 ในปีที่แล้ว
หน้าจอแสดงผล
iPhone 13 มาพร้อมหน้าจอ 6.1 นิ้ว มีการแสดงผลแบบ True Tone ที่ช่วยปรับไวท์บาลานซ์บนหน้าจอให้ตรงกับอุณหภูมิสีของแสงรอบๆ ภาพที่คุณเห็นบนจอภาพจึงดูเป็นธรรมชาติ
แผงหน้าจอเป็น OLED หรือที่เรียกว่าจอภาพ Super Retina XDR ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ให้สีสันที่สดใสสวยงาม
การใช้งานกลางแจ้งก็เห็นหน้าจอได้ชัดมากขึ้น ด้วยความสว่าง 800 นิตขณะอยู่กลางแจ้ง อีกทั้งยังรองรับความสว่างสูงสุดถึง 1,200 นิต
iPhone 13 มีจอภาพที่รองรับเทคโนโลยี HDR ไม่ว่าจะเป็น Dolby Vision, HDR10 และ HLG ก็รองรับทั้งหมด ทำให้เวลาดูภาพยนตร์หรือคอนเทนต์จาก Apple TV+ และแอปอื่นๆ ที่รองรับคอนเทนต์ HDR ก็จะได้ภาพที่สวยสมจริงมากขึ้น
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
iPhone 13 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 15 ตั้งแต่แกะออกจากกล่อง และอัปเทดเวอร์ชั่น iOS 15.0.1 ได้ทันที มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ เพียบ
iPhone 13 รองรับเครือข่าย 5G และมีโหมดข้อมูลอัจฉริยะ สลับไปใช้ LTE และประหยัดแบตเตอรี่ให้โดยอัตโนมัติเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วบนเครือข่าย 5G
โหมดโฟกัส ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถกรองการแจ้งเตือนตามสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้โดยอัตโนมัติ เช่น เวลาเล่นฟิตเนส เวลานอนหลับ เวลาเล่นเกม เวลาอ่าน เวลาขับขี่ เวลาทำงาน หรือเวลาส่วนตัว
เพิ่มความสนุกมากขึ้นกับตัวเลือกเสื้อผ้า Memoji กว่า 40 แบบและสีที่ต่างกันมากถึง 3 สีสำหรับปรับแต่งเสื้อผ้าและเครื่องประดับศีรษะของสติกเกอร์ Memoji
รายการแจ้งเตือนแบบใหม่ แสดงรูปภาพในรายชื่อผู้ติดต่อ และแสดงไอคอนที่ใหญ่มากขึ้น รวมไปถึงการสรุปการแจ้งเตือนที่จะส่งมาเป็นคอลเลกชั่นการแจ้งเตือนแบบรายวันตามกำหนดเวลาที่ตั้งค่าไว้
แอปแผนที่อัปเกรดใหม่ แสดงแผนที่ในเมืองด้วยข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับความสูง ต้นไม้ อาคาร สถานที่สำคัญ ทางม้าลานย ช่องเลี้ยวรถ เป็นต้น และแสดงลูกโลก 3D แบบอินเทอร์แอ็คทีฟ แสดงรายละเอียดขั้นสูงสำหรับเทือกเขา ทะเลทราย ป่า มหาสมุทร และอื่นๆ
Safari ปรับปรุงหน้าตาใหม่ แสดงรายการแถบด้านล่างสุด หรือถ้าไม่ชินกับการใช้งานก็สามารถย้ายแถบไปไว้ด้านบนเหมือนเดิมได้ และสามารถค้นหาเว็บได้โดยใช้เสียง
ข้อความในภาพ ฟีเจอร์ที่ช่วยแปลงข้อความในรูปภาพเป็นข้อความอักษร สามารถคัดลอกแล้ววาง ค้นดู และแปลภาษาได้ในแอปรูปภาพ, ภาพถ่ายหน้าจอ, ดูแบบรวดเร็ว, Safari รวมถึงใช้ใช้ข้อความในภาพด้วยกล้อง iPhone ได้เช่นกัน โดยการเปิดกล้องแล้วส่องไปที่ข้อความ
ผลการค้นหา Spotlight ที่มีรายละเอียดครบถ้วน รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่กำลังค้นหามาไว้ด้วยกันสำหรับรายชื่อ นักแสดง นักดนตรี ภาพยนตร์ และรายการทีวี รวมไปถึงสามารถค้นหารูปภาพจากคลังรูปภาพได้ตามตำแหน่งที่ตั้ง ผู้คน สภาพแวดล้อม ข้อความในรูปภาพ หรือสิ่งอื่นๆ ในรูปภาพ เช่น สุนัขหรือรถยนต์
แอปสภาพอากาศมีการดีไซน์ใหม่ แสดงข้อมูลสภาพอากาศที่สำคัญที่สุดสำหรับตำแหน่งที่ตั้งนั้นและมีโมดูลแผนที่ใหม่ๆ อีกทั้งยังมีภาพพื้นหลังแบบเคลื่อนไหวใหม่ช่วยให้แสดงตำแหน่งดวงอาทิตย์ เมฆ และปริมาณฝนได้แม่นยำมากขึ้น
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
iPhone 13 มาพร้อมชิป A15 Bionic ใช้เทคโนโลยี 5 nm เป็น CPU แบบ 6-core และ GPU แบบ 4-core ใหม่ที่ออกแบบโดย Apple โดยมี RAM 4GB และรุ่นที่ใช้ใน รีวิว iPhone 13 ครั้งนี้เป็นรุ่นความจุ 512GB เครื่องศูนย์ไทย โดยผลการทดสอบด้วย Geekbench 5 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผล การทดสอบนี้จะทำการประมวลออกมาเป็นตัวเลขแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Single-Core และ Multi-Core หากได้คะแนนยิ่งสูงประสิทธิภาพการทำงานจะยิ่งดี iPhone 13 ทำคะแนน Single-Core ได้ 1,739 คะแนน และ Multi-Core ทำได้ 4,691 คะแนน
ทดสอบเกมฮิต RoV เล่นบน iPhone 13 รองรับโหมดเฟรมเรทสูง ตอนเข้าร่วมทีมไฟต์เฟรมเรทก็นิ่งมาก แถมเสียงเกมก็มาแบบสเตอริโอจากลำโพงซ้ายขวาอีกด้วย
ทดสอบเกมแนว Battle Royale อย่างเกม PUBG Mobile สามารถปรับกราฟิกระดับ Ultra HD พร้อมกับเฟรมเรทระดับ Ultra ได้ ภาพเกมสีสวยสดใสและการเลื่อนดูภาพ เปลี่ยนมุมมองไปมาทำได้อย่างลื่นไหล รวมไปถึงการตอบสนองต่อการสัมผัสก็ทำได้รวดเร็วดี
สำหรับแบตเตอรี่ของ iPhone 13 จากการใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียลมีเดีย เข้าเว็บไซต์ต่างๆ เปิดกล้องถ่ายรูป 100 กว่ารูป และดูวิดีโอบ้างเป็นครั้งคราว อยู่ได้ประมาณ 6-7 ชั่วโมง เพียงพอสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
iPhone 13 รองรับการชาร์จเร็ว 20W ผ่านสาย และชาร์จเร็วไร้สาย 15W ผ่านที่ชาร์จ MagSafe ซึ่งต้องใช้หัวชาร์จที่มีกำลังไฟ 20W ขึ้นไป
กล้องถ่ายรูป
iPhone 13 มาพร้อมกล้องหลังที่มีการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ใหม่ เพิ่มระบบกันสั่นแบบ sensor shift OIS ประกอบด้วยกล้องหลักแบบ Wide และ กล้อง Ultra-wide
- กล้องหลัก: 12MP เทียบเท่าเลนส์ 26 มม. รูรับแสง f/1.6 ระบบโฟกัส Dual-Pixel AF และกันสั่น sensor shift OIS
- กล้อง Ultra-wide: 12MP เทียบเท่าเลนส์ 13 มม. รูรับแสง f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา
กล้อง Wide
iPhone 13 มีกล้องหลักหรือเลนส์ Wide ที่มีรูรับแสงกว้าง f/1.6 ซึ่งเป็นกล้องแบบเดียวกับในรุ่น iPhone 12 Pro Max ในปีที่แล้ว เก็บแสงขณะถ่ายภาพได้ดี ระบบโฟกัสทำได้อย่างรวดเร็ว
โหมดถ่ายภาพบุคคล
โหมดถ่ายภาพบุคคลทำได้เนียนมากขึ้น ตัดขอบเนียนเป็นธรรมชาติ และถ่ายกลางคืนออกมาได้สว่าง ละลายฉากหลังได้เนียนอีกด้วย
สไตล์ภาพถ่าย
สไตล์ภาพถ่าย สำหรับปรับแต่งโทนสีของภาพให้ออกมาเป็นความรู้สึกใหม่ๆ โดยโทนสีของผิวไม่ให้ผิดเพี้ยน ได้แก่ สดใส, ความต่างระดับสีสูง, โทนอุ่น และโทนเย็น
กล้อง Ultra-wide
กล้อง Ultra-wide ถ่ายภาพมุมกว้างและเก็บรายละเอียดได้ครบไปจนถึงขอบภาพ
โหมดกลางคืน
โหมดกลางคืนถ่ายภาพออกมาให้สว่าง เก็บแสงสีได้สวยสมจริง และใช้งานได้กับกล้องทุกตัว
iPhone 13 รองรับการถ่ายวิดีโอด้วย “โหมดภาพยนตร์” สำหรับการบันทึกวิดีโอที่มีมิติความชัดตื้น สลับจุดที่ต้องการโฟกัสได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าชัดหลังเบลอหรือด้านหน้าจอและตัวคนด้านหลังชัด รวมไปถึงสามารถบันทึกและตัดต่อในแบบ ProRes หรือ Dolby Vision ได้ ในชิปรุ่นใหม่ยังมาพร้อม Deep Fusion สามารถใช้ได้ในกล้องทุกตัวของ iPhone 13 และมาพร้อม Neural Engine ทำให้ประมวลผลภาพได้แบบพิกเซลต่อพิกเซลเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่มีรายละเอียด พื้นผิว และลด Noise ได้ดีมากขึ้น
กล้องหน้า TrueDepth
กล้องหน้า TrueDepth ใน iPhone 13 มาพร้อมโหมดกลางคืนสำหรับการถ่ายวิดีโอ เซลฟี่พร้อมโบเก้ที่สวยงาม สไตล์ภาพถ่าย เซลฟี่ในโหมดกลางคืน และการบันทึก HDR ในแบบ Dolby Vision ที่ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 4K ที่ 60 fps
สรุปจุดเด่น
- ดีไซน์ที่หรูหราระดับพรีเมี่ยมและทนน้ำได้
- รองรับ Wi-Fi 6 และ 5G
- หน้าจอ 6.1 นิ้ว ขนาดไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป
- กล้องหลังอัปเกรดใหม่ ถ่ายภาพและวิดีโอได้ระดับมืออาชีพ
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ไม่มีอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จในกล่อง ผู้ใช้ต้องหาใช้งานเพิ่มเติม
สรุปจากการใช้งาน iPhone 13 ตอบโจทย์ในเรื่องของขนาดเครื่องและหน้าจอที่พอเหมาะ ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ถือใช้งานในมือเดียวได้สะดวกกว่า และน้ำหนักที่เบาก็จะถือใช้งานได้นานมากขึ้น ไม่เมื่อยมือเร็ว เมื่อเทียบกับ iPhone 13 Pro Max
ฟีเจอร์ด้านกล้องถือว่าจัดเต็มมากๆ ครบทุกการใช้งานสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอ แต่สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเทคโนโลยีกล้องที่สูงขึ้นระดับโปรก็อาจจะมองไปที่ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ดูรีวิวได้ที่นี่
iPhone 13 เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคมนี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ apple.com