Smart Review
รีวิว iPhone 14 ทำไมถึงถูกมองข้าม…? ฉันก็รุ่นใหม่เหมือนกันนะ
รีวิว iPhone 14 รุ่นเริ่มต้นในปี 2022 ของ iPhone ปีนี้ที่อาจจะอยู่นอกกระแสไปซะหน่อย เพราะการมาของ iPhone 14 Pro ที่สร้างความว้าวได้มากกว่าทั้งดีไซน์หน้าจอแบบใหม่ สเปคที่แรงขึ้นจริง ๆ ซึ่งวันนี้เราจะมารีวิวฉบับเต็มของ iPhone 14 รุ่นนี้ให้ชมกันว่า รุ่นนี้มันไม่โอเคจริง ๆ เหรอแล้วมีข้อดีที่น่าสนใจบ้างไหม ติดตามครับ!
สรุปสเปค iPhone 14
- ขนาดตัวเครื่อง : 146.7 x 71.5 x 7.8 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 172 กรัม
- หน้าจอ : Super Retina XDR OLED กว้าง 6.1″ ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล
- Refresh rate : 60Hz
- ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic (5nm)
- RAM : 6GB
- แบตเตอรี่ : 3279mAh
- ระบบชาร์จไว : 20W
- ความจุ : 128GB/256GB/512GB
- กล้องหน้า : TrueDepth 12MP f/1.9
- กล้องหลัง : 2 ตัว
- กล้องหลัก 12MP f/1.5 พร้อม Sensor-Shift OIS
- กล้อง Ultra Wide 12MP f/2.4
- รองรับการเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, Bluetooth 5.3, NFC และพอร์ต Lightning
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 16
ดีไซน์ที่คุ้นเคย…นี่พี่ไม่เปลี่ยนไปเลยเหรอ !?
มาเริ่มกันที่ดีไซน์เหมือนทุกที iPhone 14 มาพร้อมดีไซน์ที่เราคุ้นเคยจนออกจะเหมือนเดิมเกินไปด้วยซ้ำ หน้าจอยังเป็นจอรอยบากเหมือนเดิม บอดี้กรอบโลหะฝาหลังกระจกมันวาวเหมือนเดิม ซึ่งหากไม่บอกเชื่อว่าหลายคนต้องคิดว่าเป็น iPhone 13 แน่ ๆ ครับ
แต่ถ้าใครที่เลือกสีสันใหม่อย่างสีฟ้าหรือสีม่วงคงพอแยกออกได้บ้าง เพราะเพิ่งเพิ่มเข้ามาบนรุ่นนี้นี่แหละ สีฟ้าใหม่ของ iPhone 14 นี้เราว่าเป็นโทนที่ควรเลือกอันดับต้น ๆ เลยนอกจากความเป็นสีใหม่แล้ว ยังมีความละมุนละไมอย่างมาก ช่วยให้นึกถึงสีฟ้า Sierra Blue ที่เปิดตัวได้ว้าวมาก ๆ ในปีที่ผ่านมาจริง ๆ ครับ
กรอบเครื่องยังใช้อลูมิเนียมผิวสัมผัสด้านที่เราชอบมาก ๆ เพราะจับถือได้สบายมือและไม่เก็บคราบรอยนิ้วมือเท่ากับแบบมันวาว ทำให้เราอยากถือแบบเครื่องเปลือย ๆ มากกว่าใส่เคส กลับกันฝาหลังก็ยังเป็นแบบมันวาวอยู่ตรงนี้เก็บคราบรอยนิ้วมืออยู่พอควรครับ แต่ด้วยสีฟ้าที่เป็นโทนสว่างก็ไม่ได้เด่นอะไรนัก ใครที่ไม่ชอบรอยนิ้วมือติดก็คงต้องหาเคสมาใส่กันล่ะเนาะ
กล้องหลังยังวางตำแหน่งแบบแนวทแยงเหมือนเดิม แต่ถ้าเทียบกับ iPhone 13 จริง ๆ ตัวโมดูลกล้องจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากรอบนี้มีการอัปเกรดสเปคกล้องขึ้นมาอีกที่เดี๋ยวเราอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อกล้องอีกทีเนาะ
หน้าจอ OLED แสดงผลได้ดีเยี่ยม แต่ยังแค่ 60Hz
iPhone 14 ยังมาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 6.1″ เหมือนเดิมในเรื่องการแสดงผลต้องยอมรับว่าเป็นจอที่สีสันสวยงามเอามาก ๆ และมิติของจอก็ดีอีกต่างหาก รองรับทั้ง HDR การสู้แสงกลางแจ้งก็ทำได้ดี ตัวจอเป็นจอแบบ Flat หรือ 2D ไปเลย ไม่มีมุมโค้งเล็ก ๆ มากวนใจ ตรงนี้เราว่าหลายคนยังคงชอบอยู่เนาะเพราะติดฟิล์มง่ายดี
ในเรื่องการรองรับกับแอปต่าง ๆ ด้วยความเป็นจอรอยบากเหมือนเดิมที่ใช้กันมาตั้งกี่รุ่นแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เจอปัญหาเรื่องการกวนใจหรือ UI ที่ผิดเพี้ยนแน่นอนครับ เพราะเราน่าจะปรับตัวกับหน้าจอแบบนี้ได้แล้วแหละ ก็เป็นหนึ่งข้อดีแหละ (มั้ง)
แต่จุดที่เรายังขัดใจมาก ๆ บน iPhone 14 ก็คือ Refresh rate ที่ยังคงอยู่ที่ 60Hz นี่คือมือถือระดับเรือธงที่มีราคา 3 หมื่นกว่าบาทในปี 2022 แต่ยังไม่ได้จอ Refresh rate สูงอยู่ ซึ่งหากเทียบกับฝั่ง Android ที่เดี๋ยวนี้งบไม่ถึงหมื่นก็ได้จอ 90Hz แล้วนะ
แต่ก็นะ…หากเป็นผู้ใช้ iPhone รุ่นก่อนที่ (ตั้งแต่ 13 Pro ลงไป) ก็คงไม่ได้ติดใจอะไรมาก เพราะ 60Hz ก็ใช้กันมายาวนาน ความลื่นไหลที่ iOS มอบให้ก็ยังถือว่าลื่นไหลในระดับที่น่าพอใจอยู่ แต่อย่างเราที่ใช้งานจอ Refresh rate สูงมาตลอดการกลับมาเจอจอ 60Hz แบบนี้มันขัดใจไม่น้อยเลยล่ะ
ตำแหน่งต่าง ๆ ก็ยังเหมือนเดิม
ตำแหน่งของปุ่มกดก็ยังวางไว้มุมเดิมอยู่มีปุ่ม Power ที่ใช้เรียก Siri ที่ฝั่งขวาตัวเครื่อง ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและ Silent Switch อยู่ฝั่งซ้ายมือครับ
พอร์ตการเชื่อมต่อก็ยังอยู่ที่ด้านล่าง แน่นอนว่าเป็น Lightning เหมือนเดิมครับ ด้านข้างก็เป็นไมโครโฟนและลำโพงหลักของตัวเครื่องซึ่งรองรับระบบลำโพงคู่ร่วมกับลำโพงสนทนาให้เสียงแบบ Stereo ได้
Face ID บนรอยบากปลดล็อครวดเร็วทั้งแนวตั้งและแนวนอน
บนรอยบากของ iPhone 14 ยังคงมาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนใบหน้าและกล้อง TrueDepth เหมือนเดิม ในการสแกนใบหน้าก็ทำได้รวดเร็วและแม่นยำในแบบที่ iPhone 13 ทำได้แหละ แต่รอบนี้พอเป็น iOS 16 แล้วก็ช่วยให้เราใช้งานได้ยืดหยุ่นขึ้นจะสแกนในแนวนอนก็ทำได้แล้ว
ขนาดและน้ำหนักที่กะทัดรัด น่าพอใจ
ในเรื่องขนาดและน้ำหนักเราว่า iPhone 14 ยังทำได้ดีมาก ๆ ด้วยหน้าจอที่ไม่ใหญ่มากบวกกับวัสดุที่ใช้เป็นอลูมิเนียมจึงทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 172 กรัมเท่านั้น แถมยังบางแค่ 7.8 มม.เท่านั้น พกพาสะดวกมาจะใส่กระเป๋าเสื้อก็ไม่ล้นออกมา เราที่ใช้งานสมาร์ทโฟนจอใหญ่มาตลอด พอสลับมาใช้ iPhone 14 ระยะหนึ่งก็แอบติดใจในขนาดความพกง่ายนี้เหมือนกันนะ
โดยรวมในเรื่องของดีไซน์เอาง่าย ๆ iPhone 14 ก็แทบจะเหมือน iPhone 13 ทั้งหมด ถ้าไม่นับสีสันใหม่และสัดส่วนเล็ก ๆ ที่เพิ่มขึ้น แต่บอกเลยว่าถ้ามองภายนอกแทบไม่ต่างเลยจริง ๆ ใครที่อยากได้ความต่างออกไปคงต้องมองไปที่สีใหม่อย่างสีฟ้าหรือสีม่วงแทนอันนี้มองภายนอกก็พอรู้ครับ
ชิปเดิม A15 Bionic แต่เร็วดีไม่มีตก
อย่างที่บอกไปตอนต้นและหัวบทความว่า iPhone 14 นั้นเป็นรุ่นที่ถูกมองข้ามและไม่อยู่ในกระแสสักเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเราว่าคงมาจากสเปคภายในนี่แหละ เพราะรอบนี้ Apple เลือกใช้ชิปเซ็ตตัวเดิม Apple A15 Bionic แม้จะบอกว่ามีการอัปเกรดเพิ่ม Core GPU เข้าไป แต่จริง ๆ ก็คือชิปเดียวกับที่ใช้บน iPhone 13 Pro นั่นแหละครับ ทำให้ความต่างชั้นกับรุ่น Pro ที่เขยิบไปเป็น A16 Bionic นั้นมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย
ซึ่งในหน้าเว็บไซต์ของ Apple เองก็โปรโมทว่า A15 Bionic นี่ยัง “เร็วดีไม่มีตก” แน่นอนว่าในการใช้งานทั่วไปหรือการทำงานหนัก ๆ ชิปตัวนี้ก็ยังคงรองรับไปได้อีกพักใหญ่เหมือน iPhone 13 Pro นั่นแหละ แต่ถ้ามองในความเป็นรุ่นใหม่ ซีรีส์ใหม่จริง ๆ การใช้ชิปเซ็ตตัวเดิมนั้นก็แอบผิดหวังนิดหน่อย ทำให้เราแอบนึกถึง iPhone 5C ที่เปิดตัวพร้อม iPhone 5S แล้วดันใช้ชิปเดียวกับ iPhone 5 น่ะ
อะ…แต่ไหน ๆ ให้มาแล้วก็คงต้องลองทดสอบประสิทธิภาพกันดูหน่อย iPhone 14 กับชิป A15 Bionic นั้นยังคงแรงแบบเหลือ ๆ เราลองทดสอบผ่านแอป AnTuTu Benchmark ได้ออกมาที่ 857240 คะแนนเลย ห่างจาก A16 Bionic ที่เราทดสอบกับ 14 Pro Max อยู่ประมาณ 12.67% เท่านั้นครับ
ส่วนทางฝั่ง Geekbench 5 ก็ได้คะแนน Single-Core ที่ 1744 คะแนนและ Multi-Core ที่ 4679 คะแนน ก็ห่างกันประมาณ 15.49% ครับ เรียกว่าไม่ได้เยอะมากในเรื่องความแรงของ CPU จริง ๆ
เล่นเกมได้หมดแล้วชิปออกมาปีกว่า!
แต่ความได้เปรียบของชิป A15 Bionic ก็คือด้วยความที่เป็นชิปที่เปิดตัวมาปีกว่าแล้ว แอปทั้งหลายต่างปรับจูนให้ลงตัวมากที่สุดแล้ว รวมถึงเกมด้วย ทำให้เรามั่นใจได้เลยว่าเราจะเล่นเกมได้ลื่นปรับได้สูงสุดทั้งหมดตั้งแต่ Day 1 ที่แกะกล่องออกมาเลย อย่างเกมที่เราทดสอบบน iPhone 14 สามเกมนี้ Asphalt 9, ROV และ PUBG ผลก็ออกมาดังนี้ครับ
เล่น Asphalt 9 บน iPhone 14
อย่างเกมแรกเลย Asphalt 9 เราสามารถเปิด 60fps เพื่อเล่นได้อย่างลื่นไหลสุด ๆ ได้ ต่างจากบน iPhone 14 Pro Max ที่ความใหม่ของชิปเซ็ตทำให้เล่นได้แค่ 30fps อยู่ ซึ่งความลื่นจะแตกต่างกันพอสมควร ตัวเกมก็เล่นได้อย่างลื่นไหลมากบน iPhone 14 แบบ 60fps เต็ม ๆ ภาพก็ยังสวยบนจอ OLED อีกต่างหาก เราที่เป็นแฟนเกมนี้อยู่แล้วการได้เล่นแบบปรับสุดมันฟินกว่าจริง ๆ
เล่น PUBG บน iPhone 14
มาต่อ PUBG เราสามารถปรับกราฟิกได้ที่ Ultra HD คู่กับเฟรมเรต Ultra คือสุดไปหมดแล้ว ตัวเกมเล่นได้อย่างลื่นไหลภาพสวยเต็มที่ไปหมดครับ ตัว UI ไม่มีปัญหากับหน้าจอรอยบากแบบนี้แล้วด้วย
เล่น ROV บน iPhone 14
ปิดท้ายที่ ROV อย่างที่บอกไปว่าหน้าจอก็เป็นรอยบากเหมือนเดิม ชิปก็ตัวเดิมในการตั้งค่าเราสามารถปรับกราฟิกได้ที่ระดับสูงสุดตัว UI ก็ไม่มีปัญหากับหน้าจอด้วย ทำให้เราเล่นได้อย่างจัดเต็ม เฟรมเรตในเกมวิ่งนิ่ง ๆ ที่ 60 – 61fps สบาย ๆ ไม่เจอเฟรมดรอปเลย ซึ่งตรงนี้ iPhone 14 Pro Max ยังมีจังหวะเฟรมดรอปบ้างเลยในการทดสอบของเราครับ
โดยรวมในเรื่องประสิทธิภาพ iPhone 14 ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ แม้ชิปเซ็ตจะเป็นตัวเก่า แต่ก็มีข้อดีที่เรื่องการรองรับอย่างที่บอกไปนี่แหละเนาะ ซึ่งตรงนี้เราไม่ได้บอกว่าชิป A16 Bionic จะด้อยกว่านะครับ เพียงแต่ในช่วงแรกต้องรอการอัปเดตและปรับจูนกันหน่อย เชื่อว่าหลังจากนี้หากปรับจูนได้ลงตัวแล้วชิปใหม่ยังไงก็แรงกว่า ตรงนี้แหละที่เป็นจุดที่น่าเสียดายอย่างที่บอกไปถ้า iPhone 14 มาพร้อม A16 ก็คงไปได้ยาวกว่าอีกหน่อยแน่ ๆ
ซอฟต์แวร์ iOS 16 ปรับแต่งถูกใจ
iPhone 14 มาพร้อม iOS 16 ตั้งแต่แกะกล่อง ลูกเล่นอย่างการปรับแต่งหน้า Lockscreen ก็มีมาให้ด้วย ช่วยให้เราสนุกไปกับการปรับแต่งได้หลากหลาย ทั้งรูปแบบฟอนต์นาฬิกา, Widget, Wallpaper หลากหลายรูปแบบ จะใส่เป็นรูปคนหรือรูปวิวพร้อม Depth Effect ให้เราเอาภาพไปบังนาฬิกาสวย ๆ เหมือนปกนิตยสารก็ได้ อันนี้ชอบมาก
หรือจะเป็นฟีเจอร์เปิดเปอร์เซนต์แบตเตอรี่ก็มีให้เลือกใช้งานด้วย นอกจากนี้ฟีเจอร์พิเศษที่เพิ่มเข้ามาบน iPhone 14 เท่านั้นก็มีอย่าง Crash Detection หรือฟีเจอร์ตรวจจับอุบัติเหตุรถชนที่ระบบทำการโทรหาเบอร์ฉุกเฉินที่ตั้งค่าไว้ได้ทันที แต่อันนี้เราขอไม่ทดสอบให้เนาะ เอาเป็นว่ารู้ไว้ก็พอว่ามีฟีเจอร์นี้ติดเครื่องมา ไม่อยากให้ต้องได้ใช้กันจริง ๆ หรอก
กล้องหลังคู่ 12MP เหมือนเดิม แต่อัปเกรดกล้องหลักเก่งขึ้น!
มาต่อกันที่เรื่องกล้องอย่างที่บอกว่า iPhone 14 นั้นยังคงได้กล้องหลังมาเพียง 2 ตัววางดีไซน์เหมือนรุ่นก่อนเลยด้วย มีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้
- กล้องหลัก 12MP f/1.5 พร้อม Sensor-Shift OIS
- กล้อง Ultra Wide 12MP f/2.4
ดูจากตัวเลขความละเอียดแล้วก็ยังเป็น 12MP เหมือนเดิม แต่ไม่ใช่ว่าสเปคยังเท่าเดิมนะครับ เพราะรอบนี้ Apple เขาอัปเกรดกล้องหลักให้มีเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นพร้อมรูรับแสงเป็น f/1.5 แล้วด้วยอีกทั้งยังมีระบบกันสั่น Sensor-Shift OIS อีก เอ๊ะ ๆ มาถึงตรงนี้คงแอบคุ้น ๆ กับสเปคนี้แล้วล่ะสิ ใช่แล้วครับกล้องหลักของ iPhone 14 ที่บอกอัปเกรดขึ้นมาก็คือเปลี่ยนมาใช้กล้องหลักตัวเดียวกับ iPhone 13 Pro นั่นเอง แบบนี้ค่อยเห็นภาพขึ้นมาหน่อยว่ากล้องจะเก่งขนาดไหนเนาะ
ไฟล์ภาพสวยคุมโทนความเป็น iPhone ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งต้องบอกเลยว่ากล้องหลักของ iPhone 13 Pro ในปีที่แล้วก็มีการขยายขนาดเซ็นเซอร์ขึ้นมาให้ใหญ่ขึ้นแล้ว (ประมาณ 1/1.65″) เรียกว่าเพียงพอต่อการถ่ายภาพละลายหลังสวย ๆ หรือเก็บแสงได้ดีในที่แสงน้อยได้อย่างน่าพอใจ เท่าที่เราลองใช้งานต้องบอกเลยว่าไฟล์ที่ได้จะมาในโทนสมจริงที่เป็นเอกลักษณ์ของ iPhone เลย แถมยังไว้ใจได้ด้วย Smart HDR 4 ที่จัดการ Dynamic Range ได้เป็นอย่างดีอีก
กล้อง Ultra Wide ตัวเดิมแต่คุณภาพยังไว้ใจได้
ส่วนกล้อง Ultra Wide แม้จะยังใช้ตัวเดิมจาก iPhone 13 คือความละเอียด 12MP f/2.4 และไม่มี Autofocus ไว้ใช้เป็น Macro แต่ในการเก็บภาพมุมกว้างแบบทั่วไปก็ถือว่ายังไว้ใจได้อยู่ เก็บมุมมองได้กว้าง 120º ครบทุกภาพวิว รายละเอียดและโทนสีก็ใกล้เคียงกับกล้องหลักมาก ถ่ายไว้ใช้งานอัปลงโซเชี่ยลได้เลย หายห่วงครับ
Photonic Engine แสงน้อยและกลางคืนดีขึ้น 2.5X
ที่ว่าภาพของ iPhone 14 ทำได้ดีขึ้นก็เพราะว่ารุ่นนี้มีซอฟต์แวร์ที่เข้ามาประมวลผลใหม่อย่าง Photonic Engine ด้วย ช่วยให้เราได้ภาพที่คมชัดและเก็บรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในที่แสงน้อยหรือกลางคืน ตรงนี้ Apple เคลมเองเลยว่าในกล้องหลักทำได้ดีขึ้น 2.5X และกล้อง Ultra Wide ดีขึ้น 2X ซึ่งเท่าที่เราลองถ่ายภาพแบบแสงน้อยจริง ๆ ก็รู้สึกว่ามีการปรับแต่งภาพให้มีความคมชัดขึ้นจริง แถม Noise ก็น้อยลงด้วย แต่ต้องบอกก่อนว่าภาพกลางคืนของ iPhone จะให้โทนที่เป็นกลางคืนอยู่ สวยในแบบกลางคืนไม่ใช่กลางคืนเป็นกลางวันครับ
Portrait ก็เก็บแสงดีแต่เสียดายมีแค่ระยะเดียว
มาต่อกันที่โหมด Portrait บน iPhone 14 อัปเกรดขึ้นมาจาก iPhone 13 แน่นอนเพราะเปลี่ยนมาใช้กล้องหลักตัวเดียวกับ iPhone 13 Pro แล้ว ซึ่งเท่าที่เราลองก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมในระดับเดียวกับ 13 Pro เลย ทั้งการละลายฉากหลัง เพิ่มเอฟเฟกต์ Bokeh และรอบนี้ยังมีเพิ่มเอฟเฟกต์ละลายหน้าเข้ามาด้วย ทำให้ภาพดูมีมิติเหมือนถ่ายจากกล้องใหญ่มากขึ้น แต่สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดก็คือระยะของภาพเนื่องจาก iPhone 14 ไม่มีกล้องซูมมาให้ เราจึงถ่ายภาพบุคคลได้แค่ระยะเดียวเท่านั้นครับ
กล้องหน้า 12MP ก็อัปเกรดใหม่ มี Autofocus แล้ว
ปิดท้ายเรื่องภาพนิ่งที่กล้องหน้าของ iPhone 14 รอบนี้มีการอัปเกรดเช่นกัน แม้จะไม่ได้เพิ่มความละเอียดขึ้น แต่ก็เพิ่มความสามารถในการ Autofocus เข้ามา ทำให้เราถ่ายภาพได้คมชัดมากขึ้น เวลาที่เซลฟี่หลายคนก็จะได้ความแม่นยำจากการโฟกัสมากขึ้นด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าทำได้ดีตามสไตล์ iPhone ยังคงเน้นไปที่ความเป็นจริง แต่สกินโทนสวยดีแม้ในเรื่องความเนียนการลบริ้วรอยจะไม่ได้มีมาให้ แต่ก็มี Portrait กล้องหน้ามาให้ใช้เหมือนกันครับ
วิดีโอกับ 2 ฟีเจอร์ใหม่เพิ่มความน่าสนใจ
จบโหมดภาพนิ่งก็มาต่อที่โหมดวิดีโอ iPhone 14 ยังคงถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K/60fps ทั้งกล้องหน้า-หลังเหมือนเดิมครับ แต่ความน่าสนใจที่มากขึ้นของรุ่นนี้ก็คือโหมด Cinematic ที่เราสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K/30fps แล้ว (ก่อนหน้านี้ได้แค่ 1080/30fps) ซึ่งผลลัพธ์ที่ถ่ายจากโหมดนี้ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมจริง ๆ การตัดขอบทำได้แนยเนียน แถมความละเอียดที่มากขึ้นนี้ก็ยังช่วยให้ไฟล์มีความคมชัดขึ้นอย่างชัดเจนเลย
Action mode วิดีโอนิ่งเข้าไว้
ช้ความสามารถ EIS เพิ่มเติมให้วิดีโอที่นิ่งกว่าเดิม โดยความละเอียดภาพเราสามารถเลือกได้ 3 แบบคือ 1080p/30, 1080p/60fps และ 2.8K/30fps ซึ่งถือว่าสูงมากในเรื่องความละเอียด ในการทดสอบเราเลือกใช้ความละเอียด 1080p/60fps เพื่อให้ได้ความสมูทของภาพที่สุด อย่างที่เราจะได้เห็นจากคลิปตัวอย่างด้านล่างนี้ แม้เราจะวิ่งอย่างต่อเนื่อง วิ่งวนรอบ ๆ ภาพที่เห็นในวิดีโอก็ยังคงลื่นไหลมาก ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เราใช้มือถือแบบ Handheld อย่างเดียวด้วย ไม่ได้ใช้ไม้กันสั่นใด ๆ ทั้งสิ้นครับ
โดยรวมในเรื่องกล้องของ iPhone 14 ก็ถือว่ามีการอัปเกรดขึ้นมาจริง ทั้งในกล้องหลักที่ยกระดับมาเทียบเท่ารุ่น 13 Pro แล้ว เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นชัดเจน ซอฟต์แวร์และความเข้าถึงง่ายของ iPhone ที่เป็นเอกลักษณ์ถ่ายง่ายได้ไฟล์ไว้ใจได้เสมอ ในโหมดวิดีโอก็ได้ Cinematic ที่เก่งขึ้น พร้อม Action mode กันสั่นที่ใครชอบลุย ๆ อยากได้ภาพแบบนิ่งลื่นไม่สั่นจนเวียนหัวเราว่าถูกใจแน่นอนครับ!
แบตเตอรี่ใช้งานได้ดี รองรับชาร์จไว 20W
ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ iPhone 14 ถือว่ารุ่นนี้ใช้งานได้ดีพอสมควรเลย ทั้งใช้งานทั่วไป ถ่ายรูป หรือเล่นเกม ก็เพียงพอต่อการใช้งานหนึ่งวันสบาย ๆ คงเพราะขนาดหน้าจอที่ไม่ได้ใหญ่นักบวกกับชิปเซ็ตที่ปรับจูนมาได้ลงตัวอย่างมากแล้ว ก็มอบประสบการณ์การใช้งานที่เราแทบไม่ต้องกังวลว่าเครื่องเล็ก ๆ แบบนี้จะมีแบตเตอรี่ที่ไม่อึดนักจริง ๆ ครับ ส่วนระบบชาร์จก็รองรับที่ 20W ซึ่งเทียบกับความจุแบตฯประมาณ 3279mAh ชาร์จเท่านี้ก็ถือว่าเร็วแล้วล่ะครับ
ราคาเริ่มต้น 32,900 บาท มีให้เลือก 3 ความจุ
ก่อนจากกันเราขอสรุปราคากันเหมือนเดิม iPhone 14 มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีคือ สีฟ้า (สีที่รีวิว), สีแดง (PRODUCT RED), สีม่วง, สีสตาร์ไลท์, สีมิดไนท์ และมีให้เลือกทั้งหมด 3 ความจุมีราคาแต่ละความจุดังนี้ครับ
iPhone 14
- รุ่น 128GB ราคา 32,900 บาท
- รุ่น 256GB ราคา 36,900 บาท
- รุ่น 512GB ราคา 45,900 บาท
สรุปแล้ว “นี่คือ iPhone ที่ถูกมองข้ามไปเยอะ แต่ลึก ๆ แล้วก็แอบมีดีเหมือนกัน”
สรุปแล้ว iPhone 14 ก็คือไอโฟนรุ่นใหม่ที่เป็นไปตามนิยามที่เราว่าไว้นี่แหละครับ “คือ iPhone รุ่นใหม่ที่ถูกมองข้ามไปเยอะ แต่ลึก ๆ แล้วก็แอบมีดีเหมือนกัน” เพราะแน่นอนว่าทั้งรูปลักษณ์ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย หน้าจอก็ยังแค่ 60Hz เทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็ไม่ได้เพิ่มเข้ามาเหมือนรุ่นโปร แถมชิปก็ยังใช้ตัวเก่าจากปีที่แล้วอีก คงไม่แปลกที่จะถูกมองข้ามไปที่รุ่นใหม่จริง ๆ ซะมากกว่า แต่ก็อย่างที่บอกรุ่นนี้แอบมีดีอยู่เหมือนกัน ทั้งการเข้าที่เข้าทางของชิปรุ่นเก่าที่ผ่านมาเป็นปีปัญหาน้อยลง การรองรับก็สมบูรณ์สุด ๆ กล้องหลักที่ยกจากรุ่น 13 Pro แถมยังเสริมด้วยซอฟต์แวร์ใหม่ Photonic Engine เก่งกาจขึ้นไปอีก หรือจะเป็น Action mode ในการถ่ายวิดีโออีก เหมือนยกฟีเจอร์เด่นที่มีบน 14 Pro กับกล้อง 13 Pro มาไว้ในบอดี้ 13 ได้อย่างลงตัว เป็นการอัปเกรดเล็ก ๆ แต่บางฟีเจอร์ก็หาไม่ได้จากรุ่นเก่าแม้จะเป็นรุ่น Pro ก็ตาม เพราะฉันมันรุ่นใหม่ล่าสุดยังไงล่ะ !!
ส่วนถ้าถามว่า iPhone 14 นี้เหมาะกับใครเราว่าไม่เหมาะกับคนใช้ iPhone 13 อยู่แล้วแน่นอน เพราะความใกล้เคียงของฮาร์ดแวร์มันเยอะมากในขณะที่ราคาเปิดตัวในปีนี้ดีดสูงขึ้นกว่าเดิมหลายพันบาทเลย การจะอัปเกรดมาเป็นรุ่นนี้คือไม่คุ้ม ถือ iPhone 13 ใช้ได้อีกยาว ๆ เพราะ 14 มาแบบนี้ แต่ความคุ้มค่าจะไปตกกับใครที่มาจาก iPhone 12 ลงไป iPhone 11, iPhone Xr หรือจะข้ามมาจาก iPhone SE ที่อยากลองประสบการณ์หน้าจอเต็มไร้ปุ่มโฮมก็น่าจะมอบความสดใหม่ได้ไม่น้อยเลยล่ะครับ
จุดเด่น
- บอดี้กะทัดรัดพกพาง่ายอย่างเคย
- หน้าจอ OLED 6.1″ ที่แสดงผลได้สวยสุด ๆ
- ชิปเซ็ตที่คุ้นเคย การรองรับก็สมบูรณ์
- กล้องหลักที่อัปเกรดมาเป็นชุดเดียวกับ 13 Pro ถ่ายออกมาได้ดีงาม
- ฟีเจอร์ใหม่ Cinematic 4K และ Action mode ของใหม่ที่มีแค่บน 14 Series เท่านั้น
จุดสังเกต
- หน้าจอยังมี Refresh rate แค่ 60Hz
- พอร์ตการเชื่อมต่อก็เป็น Lightning