Connect with us

Smart Review

รีวิว iPhone 15 Pro Max หลังใช้งานจริง ดีขึ้นแค่ไหน ไทเทเนียมเป็นไง กล้องสุดรึเปล่า !?

Published

on

มาแล้ว! รีวิว iPhone 15 Pro Max หลังจากเราได้ใช้งานจริงกว่า 1 สัปดาห์ เราได้ลองใช้จริงทั้งประสิทธิภาพ ในการทำงานทั่วไป, เล่นเกม, การเชื่อมต่อ, กล้องและแบตเตอรี่ เรียกว่าได้ประสบการณ์ที่ครบถ้วนแล้ว วันนี้ก็ขอมารีวิวแบบจัดเต็มให้ชมกันเลยว่ารุ่นนี้น่าใช้แค่ไหน แล้วใครที่ควรเปลี่ยนมาใช้ พร้อมแล้วติดตามได้เลยครับ! (ชมคลิป)

สรุปสเปค iPhone 15 Pro Max

  • ขนาดตัวเครื่อง : 159.9 x 76.7 x 8.3 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก : 221 กรัม
  • หน้าจอ : Super Retina XDR OLED กว้าง 6.7″ ความละเอียด 2796 x 1290 พิกเซล
  • Refresh rate : 120Hz ProMotion Display
  • ชิปเซ็ต : Apple A17 Pro (3nm)
  • RAM : 8GB
  • ความจุ : 256GB/512GB/1TB
  • แบตเตอรี่ : 4422mAh
  • ระบบชาร์จไว : 27W
  • กล้องหน้า : TrueDepth 12MP f/1.9
  • กล้องหลัง : 3 ตัว
    • กล้องหลัก 48MP f/1.78, Sensor-Shift OIS
    • กล้อง Ultra Wide 12MP f/2.2 
    • กล้อง Tele 5X 12MP f/2.8, Sensor-Shift OIS
    • LiDAR Scanner
  • รองรับการเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6E, Bluetooth 5.3, NFC และพอร์ต Lightning
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 17

ดีไซน์ที่คล้ายเดิม แต่ลงตัวกว่าในทุกมิติ

เริ่มแรกในเรื่องดีไซน์เลยดีกว่า อย่างที่ทราบว่าไอโฟนในยุคหลัง (ตั้งแต่ 11 เป็นต้นมา) Apple เลือกปรับดีไซน์ไปทีละนิด ๆ จากกรอบมนมาเป็นเหลี่ยม จากจอติ่งใหญ่มาเล็กลงและ Dynamic Island ในที่สุด ซึ่งหากมองรวม ๆ แล้วจะเห็นว่าดีไซน์มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ใช่แล้วครับบน iPhone 15 Pro Max ก็ยังคล้ายเดิม ถ้าใครที่เปลี่ยนทุก ๆ ปีก็คงไม่ได้หวือหวามากนัก

แต่…ในความเหมือนเดิมนี้จะแฝงไปด้วยขอดีบางอย่าง เช่นการปรับตัวใช้งานก็ไม่วุ่นวายนัก เปลี่ยนจากรุ่นก่อนมารุ่นนี้ก็ใช้ได้ทันที แต่ประสบการณ์บางอย่างดีขึ้น ซึ่งบอกได้เลยว่ารุ่นนี้ดีขึ้นในทุกมิติ

กรอบเครื่องไทเทเนียม วัสดุใหม่ดีงามทั้งน้ำหนักและการจับถือ

อย่างแรกที่เราคิดว่าทำได้ดีขึ้นมากบน iPhone 15 Pro Max คือวัสดุและการจับถือครับ ทราบกันอยู่แล้วว่าปีนี้ Apple เลือกใช้ไทเทเนียมเป็นกรอบตัวเครื่องของ iPhone รุ่น Pro ความดีงามก็คือน้ำหนักนั้นลดลงถึง 19 กรัม (14 Pro Max 240 กรัม vs 15 Pro Max 221 กรัม) ซึ่งรู้สึกสึได้ชัดเจนว่า “เบากว่า” เมื่อหยิบเครื่องขึ้นมา

และกรอบเครื่องรอบนี้ก็ลดความมันวาวลงจากสแตนเลสมาก บวกกับการตัดขอบแบบ Contour Cut ที่ลดความคมของกรอบลง เวลาเราจับถือจะได้สัมผัสที่เนียนมือกว่าที่ผ่านมา ทำให้อยากสัมผัสแบบไม่ใส่เคสมากขึ้น

ส่วนเรื่องคราบรอยนิ้วมือ พูดตรง ๆ ก็ยังมีให้เห็นอยู่ครับ แม้จะลดความมันวาวลงได้เยอะแล้วก็ตาม ยิ่งเป็นเครื่องสีเข้มแบบ Blue Titanium แบบนี้ยิ่งเห็นชัด แต่โชคดีที่เราสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ต้องเว่อถึงขนาดซื้อผ้าเช็ดของ Apple ราคา 690 บาทก็ได้ เพราะเอาเสื้อถู ๆ ก็ออกเหมือนกันครับ

กรอบเลนส์ที่ดูแลได้ง่ายขึ้น

ไม่ใช่แค่กรอบเครื่องอย่างเดียวที่เปลี่ยนผิวสัมผัสไป เพราะกรอบเลนส์ของ iPhone 15 Pro Max นั้นเปลี่ยนผิวสัมผัสเป็นแบบด้าน ๆ ลดความเงาลงคล้ายกรอบเครื่อง ซึ่งความดีงามคือเวลาเราเผลอไปโดน จะไม่ติดคราบรอยนิ้วมือเท่า แถมฝุ่นก็ยังไม่ติดที่บริเวณนี้มากกว่ารุ่นก่อน ๆ ด้วย เรียกว่าดูแลง่ายขึ้นอีกเยอะ ตรงนี้เราชอบนะ

หน้าจอที่ยังยอดเยี่ยม แม้สเปคไม่ต่าง

มาดูที่หน้าจอกันบ้าง มองแว้บแรกก็ชัดเจนครับว่าเหมือนเดิมแหละ ยังมี Dynamic Island อยู่ด้านบนสุดถมดำพอประมาณ แสดงผลได้เต็มตาดีเหมือนเดิม ขอบหน้าจอก็มีความชิดและสมมาตรแบบที่ Apple ถนัด กรอบหน้าจอสีดำรอบนี้ลดขนาดลงได้อีกหน่อย ทำให้ตัวเครื่องดูเซ็กซี่ขึ้น แต่ตรงนี้ต้องบอกว่าแค่เฉพาะไม่ใส่เคสล่ะนะ ถ้าใครใช้เครื่องเปลือย ๆ มาคงสัมผัสได้เลย แต่ถ้าใส่เคสสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับขอบเคสอยู่ดี ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นเท่าไหร่ในเวลาใช้จริงครับ

ในเรื่องการแสดงผล iPhone 15 Pro Max ยังทำได้ยอดเยี่ยมบนขนาด 6.7″ แม้จะไม่ได้เพิ่มสเปคอะไรเข้ามาเลย ความละเอียดยัง 2796 x 1290 พิกเซลเท่าเดิม ความสว่างสูงสุด 2000nits แต่ด้วยสเปคระดับนี้เวลาใช้งานก็คือประทับใจสุด ๆ แล้ว สีสวย สว่างดี ไม่ว่าจะดูคอนเทนต์ปกติหรือ HDR

การตอบสนองได้จอ ProMotion 1-120Hz มาก็ทำให้เราเลื่อนหน้าจอได้ลื่นไหล ปัดไป-ปัดมาไวสุด ๆ แถมการปรับ Refresh rate ตามการใช้งานก็ไวมาก ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าจังหวะนี้ช้าแล้วปรับมาเร็วเลย มันสมูททุกการใช้งาน

และแน่นอนหน้าจอของ iPhone 15 Pro Max ยังรองรับ Always On Display เหมือนเดิม ใครที่ชอบให้หน้าจอติดตลอดเวลา รุ่นนี้ก็ยังมีครบถ้วนครับ

ปุ่มใหม่ Action Button ทำงานได้หลากหลายขึ้น

มาถึงอีกเรื่องที่ Apple เปลี่ยนให้กับ iPhone 15 Pro Max อย่างปุ่ม Action ใหม่ ที่มาแทนที่ปุ่ม Mute Switch เดิม ที่ปกติเราจะใช้เลื่อนเพื่อเปิด-ปิดเสียง (บางคนก็ปิดแล้วไม่เปิดเลย) รอบนี้เปลี่ยนใหม่เป็นปุ่มที่ให้เรากดลงไปได้แทน ในค่าเริ่มต้นจะยังตั้งมาเป็นปุ่มปิดเสียงเหมือนเดิมแหละ ใครอยากปิดเสียงเร็ว ๆ ก็กดค้างลงไปแค่นั้น

แต่ความพิเศษของปุ่มนี้คือพอมันกดลงไปได้ เราก็สามารถสั่งงานอย่างอื่นได้อีกไง ณ ตอนนี้ Apple จะอนุญาตให้เราเลือกการทำงานของระบบได้ 8 อย่างหลัก ๆ คือ

  1. เปิด-ปิดเสียง
  2. โฟกัส
  3. กล้อง
  4. ไฟฉาย
  5. บันทึกเสียง
  6. แว่นขยาย
  7. ทำสั่งลัด (Shortcut)
  8. การช่วยการเข้าถึง

ซึ่งทำให้ปุ่มตรงนี้มีประโยชน์มากขึ้นเยอะ เพราะอย่างที่บอกบางคนปิดเสียงแล้วไม่เปิดอีกเลย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ่มนี้เป็นโหมดปิดเสียง เลือกเป็นบันทึกเสียง, ไฟฉายแทนได้ หรือถ้าอยากทำได้หลากหลายกว่านั้นก็เลือกไปที่คำสั่งลัดได้เลย ทีนี้ใครเคยตั้งค่าอะไรไว้ในคำสั่งลัดก็ใช้งานผ่านปุ่ม Action ได้หมด

หรือถ้าประยุกต์ใช้กับกล้องก็ได้ กดค้างเพื่อเข้ากล้องที่เราสามารถเลือกเพิ่มเติมว่าจะไป ภาพนิ่ง, วิดีโอ หรือเซลฟี่ก็ได้ และถ้าตั้งค่าปุ่ม Action เป็นเข้ากล้องแล้ว เวลาเราอยู่ในหน้า UI กล้องก็สามารถกดปุ่มนี้เป็นปุ่มชัดเตอร์ได้ด้วย

รวม ๆ แล้วการเปลี่ยนมาเป็นปุ่ม Action นี้ก็ช่วยให้คนที่อยากใช้งานปุ่มตรงนี้มากกว่าแค่ปิดเสียงได้สมใจ แต่…ก็มีจุดที่น่าเสียดายอยู่ 2 เรื่องคือ ตัวปุ่ม Action นี้ยังสั่งงานได้แค่วิธีเดียวคือกดค้าง ถ้าเพิ่มวิธีกดให้มากขึ้น ก็คงจะดี และอีกเรื่องก็คือตำแหน่งของปุ่มไม่ได้กดได้สะดวกนัก ถ้าเปลี่ยนจากปุ่มนี้มาเป็นปุ่ม Power ให้เราปรับแต่งใช้งานอื่น ๆ ได้น่าจะสะดวกและคล่องตัวกว่าเยอะครับ

USB-C มาแล้วนะ ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นถึง 20 เท่า!

และแล้วพอร์ต USB-C ก็มาถึงไอโฟนเสียที! ถือเป็นเรื่องน่ายินดีมาก เพราะเราจะได้ใช้สายร่วมกับอุปกรณ์อื่นแบบสายเดียวสักที ใครที่ใช้ Mac, iPad หรือกระทั่งสมาร์ทโฟน Android ร่วมกันก็ไม่ต้องพกสาย Lightning เพิ่มแล้วครับ ตรงนี้แฮปปี้มาก สายเดียวพอ!

ซึ่งตัวพอร์ต USB-C ของ iPhone 15 Pro Max ก็รองรับความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps เร็วขึ้นกว่า USB 2.0 ของ Lightning ถึง 20 เท่าด้วยเลยด้วย สายโปรที่ต้องการเสียบไอโฟนเข้ากับคอมส่งไฟล์ใหญ่ ๆ น่าจะถูกใจกันล่ะ แต่…ต้องบอกก่อนว่าความเร็วระดับนี้ยังต้องใช้งานร่วมกับสาย Thunderbolt ที่ขายแยก (ราคา 2,490 บาท) นะครับ สาย USB-C ที่แถมมาในกล่องไม่รองรับจ้า

แต่ความดีงามยังไม่หมดแค่นั้น เพราะพอเป็น USB-C ความเร็วสูง ก็ปลดล็อคความสามารถในการเชื่อมอุปกรณ์เสริมได้อีกเยอะ ทั้งการเสียบ USB-C แฟลชไดร์ฟ, External Drive, Dongle USB-C หรือกระทั่งต่อออกจอนอก iPhone 15 Pro Max ก็รองรับหมด นี่แหละความดีงามที่หลายคนรออยู่!

สีใหม่แห่ง Titanium

ปิดท้ายที่เรื่องสี ด้วยความที่วัสดุเปลี่ยนไป สีสันในรอบนี้ของ iPhone 15 Pro และ 15 Pro Max ก็เพิ่มสีใหม่อย่าง Natural Titanium (ไทเทเนียมธรรมชาติ) และ Blue Titanium (ไทเทเนียมน้ำเงิน) เข้ามาด้วย เป็นสีที่สุขุมและทางการมากขึ้น ลดความฉูดฉาดลงไปอีกครับ

หรือใครที่ชอบสีมาตรฐาน iPhone 15 Pro และ 15 Pro Max ก็ยังมีสี Black Titanium (ไทเทเนียมดำ) กับ White Titanium (ไทเทเนียมขาว) ให้เลือกเหมือนเดิมครับ

โดยรวมในเรื่องของดีไซน์ต้องบอกเลยว่า iPhone 15 Pro Max นั้นทำได้ดีขึ้นในทุกมิติ แน่นอนว่าถ้าแค่มองเผิน ๆ เราจะไม่รู้สึกนัก แต่ถ้าได้หยิบจับขึ้นมาด้วยน้ำหนักที่เบาลง 19 กรัม ผิวสัมผัสของกรอบไทเทเนียม และสีสันที่ดูสุขุมลงตัว แค่นี้ก็น่าจะถูกใจแฟน ๆ ไอโฟนแล้วล่ะครับ

กล้องหลัง 3 ตัว Tele 5x มาแล้วนะ!

มาเข้าเรื่องไฮไลม์ของ iPhone 15 Pro Max ในรอบนี้กับเรื่อง “กล้อง” ที่คราวนี้ยังให้กล้องหลังมา 3 ตัวเหมือนเดิม แต่ยกเครื่องในเรื่องกล้อง Tele แทน มีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้เลย

  • กล้องหลัก 48MP f/1.78, Dual-Pixel PDAF, ระบบกันสั่น Sensor-Shift OIS
  • กล้อง Ultra Wide 12MP f/2.2 พร้อม Autofocus ใช้งานเป็นกล้อง Macro ได้
  • กล้อง Tele 5x 12MP f/2.8, ระบบกันสั่น Sensor-Shift OIS

อย่างที่เห็นจากสเปคกล้องของ iPhone 15 Pro Max กล้องหลักกับกล้อง Ultra Wide ยังมีสเปคคล้ายเดิม แต่การอัปเกรดใหม่ในครั้งนี้คือ กล้อง Tele ที่ได้ระยะไกลมาถึง 5x (120 มม.) ที่น่าจะถูกใจแฟน ๆ ที่รอคอยการมาของกล้องซูมแบบโหด ๆ ของไอโฟนอยู่ไม่น้อย

กล้องใหม่เหมือนได้เลนส์ 7 ระยะ!?

กล้องหลักจากสเปคแล้วก็แอบคล้ายรุ่นก่อนพอสมควร แต่ในเรื่องซอฟต์แวร์ที่ Apple จัดมาให้นั้นต้องบอกเลยว่า ปรับปรุงใหม่เหมือนกัน Apple เคลมว่าแม้กล้องของ iPhone 15 Pro Max จะมีด้วยกัน 3 ตัว แต่ในการใช้งานจะเหมือนมีเลนส์มืออาชีพให้ถึง 7 ระยะด้วยกัน!? โดยในกล้องหลัก 48MP นี้จะเพิ่มระยะของภาพได้เป็น 3 ระยะคือ 1x/1.2x/1.5x นั่นเองครับ พอรวมกับ Ultra Wide ที่ใช้เป็นระยะ Macro ได้และ Tele 5x ก็เท่ากับ 7 ระยะที่ว่านั่นเองครับ

กล้องหลักถ่ายได้แบบ 24MP แล้วนะ

ซึ่งในการใช้งานจริง ตัวเลขก็แอบเว่อไปสักนิดเพราะในระยะ 1.2x หรือ 1.5x นี่ก็ใช้เทคนิคเหมือน 2x เดิมที่เป็นการครอปตรงกลางเซ็นเซอร์เข้าไปแต่ยังไม่เสียรายละเอียดนั่นแหละครับ และระยะก็ไม่ได้ต่างกันมากเลยด้วย แต่…ความเก่งกาจของรอบนี้ก็คือการที่เราใช้กล้องหลักไม่ว่าจะเป็น 1x/1.2x/1.5x กล้องจะเก็บภาพมาที่ความละเอียด 24MP แทน 12MP เดิมนั่นเอง

โดยความละเอียดระดับ 24MP นี้เราจะเห็นผลชัดเวลาซูมเข้าไปดูรายละเอียดหรือต้องครอปภาพเพิ่มเติม เพราะไฟล์ที่ได้คมกริบจริง ๆ แถมยังไม่กินพื้นที่มากเท่าไหร่ด้วย เทียบกันจริง ๆ 12MP (Jpeg) ประมาณ 3MB และ 24MP (Jpeg) ประมาณ 4.8MB ครับ

กล้องหลัก 48MP ถ่ายภาพระยะใกล้ยังขัดใจเหมือนเดิม

ข้อสังเกตเดิมจากรุ่นที่แล้ว ว่าด้วยเรื่องการถ่ายภาพระยะใกล้ไม่ค่อยได้ บน iPhone 15 Pro Max ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมครับ แต่ความดีงามคือการมีระยะ 1.2x หรือ 1.5x เข้ามาให้กดแบบด่วน ๆ นี่แหละ พอเราจะถ่ายในระยะที่พอเหมาะก็ใช้การซูมเข้าไปแทนได้ ถือว่าให้อภัยที่เพิ่มปุ่มมาแก้ละกัน

ไฟล์ภาพธรรมชาติ เก่งขึ้นด้วย Smart HDR 5

ในเรื่องคุณภาพของภาพถ่าย iPhone 15 Pro Max ได้มีการปรับปรุงในเรื่อง Smart HDR ใหม่เป็นเวอร์ชั่น 5 ทำให้ประมวลผลสีกับแสงได้ดีขึ้น ตัวโทนของภาพจะลดความคอนทราสจัดลง ไม่ดึงความคมขึ้นมาเท่ารุ่นก่อน มีความซอฟต์ลงไปบางจุด รวมถึง Dynamic Range ก็ดีขึ้น จัดการ Highlight กับ Shadow ได้ดีงามกว่า

กล้อง Ultra Wide มุมกว้างดี Macro ได้เหมือนเดิม

ส่วนกล้อง Ultra Wide อาจจะเป็นกล้องที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรอย่างชัดเจน แต่ก็อย่างที่บอกครับ ตัวเดิมก็ใช้งานได้ดีอยู่แล้ว ความละเอียดอยู่ที่ 12MP ตรงนี้เราอาจเห็นความต่างอยู่บ้างถ้าซูมดูภาพหลังถ่าย เทียบกับกล้องหลัก แต่การประมวลผลยังทำได้ดี และมีโทนสีที่ใกล้เคียงกับกล้องหลักมาก ส่วนที่เป็นกล้อง Macro อันนี้ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมตามมาตรฐานครับ เข้าใกล้ได้เยอะแถมคมชัด

กล้อง Tele 5x มาแล้ว ซูมได้ถึงใจเสียที

และกล้อง Tele ตัวใหม่ของ iPhone 15 Pro Max ในรอบนี้ก็เขยิบระยะมาเป็น 120 มม.หรือระยะ Optical Zoom ที่ 5x ได้แล้ว น่าจะถูกใจคนที่ต้องการการซูมที่ไกลกว่าเดิมแน่ ๆ ตรงนี้ Apple เลือกใช้เทคโนโลยี Tetraprism ที่จะช่วยขยายระยะของภาพที่ถ่ายได้ในขณะที่ตัวเครื่องไม่ต้องใหญ่ตามนั่นเอง และระยการซูมสูงสุดก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 25x เลยทีเดียว ตัว UI กล้องก็จะคล้ายกับพวกเรือธง Android ที่ซูมได้มาก ๆ คือเมื่อเราซูมเกินระยะ 5x ขึ้นไป จะมีกรอบเล็ก ๆ ให้เราได้เห็นภาพกว้างว่าเรากำลังซูมอะไรอยู่ด้วย

ส่วนเรื่องคุณภาพของกล้อง Tele 5x ใหม่นี้ ต้องบอกเลยว่าทำได้ยอดเยี่ยมตามสไตล์ไอโฟนครับ โทนสีใกล้เคียงกับกล้องหลักดีมาก ความคมชัดถ้าถ่ายในแสงปกติก็ดีงามเลย เป็นระยะที่เข้าใกล้ได้อีกเยอะ ในระยะ Optical คือเด็ดมาก หรือจะลองเขยิบไปสัก 10x ก็ยังได้รายละเอียดที่น่าประทับใจอยู่เหมือนกัน แต่ต้องบอกตรง ๆ ว่าถ้าเราถ่ายในที่แสงน้อย ตัวกล้องจะมีการประมวลผลเยอะพอสมควร ได้ภาพคมชัด แต่ก็แถมมาด้วย Noise ในภาพเหมือนกัน

Portrait แบบใหม่ ถ่ายได้เลยไม่ต้องเปลี่ยนโหมด

โหมด Portrait หรือถ่ายคนแบบหน้าชัด-หลังเบลอ รอบนี้ยกระดับขึ้น เราสามารถถ่ายภาพหน้าชัด-หลังเบลอได้ทันทีแบบไม่ต้องสลับโหมด เพียงแค่เล็งไปที่คนหรือสัตว์เลี้ยงก็จะมีไอคอนตัว f แสดงขึ้นมาที่มุมซ้ายล่าง นั่นหมายความว่าภาพที่เราจะถ่ายต่อไปนี้จะมีการเก็บค่า Depth ไปไว้เรียบร้อย หรือจะแตะที่ไอคอน f เพื่อเปิดโหมด Portrait ได้เลยโดยไม่ต้องสลับโหมดก็ได้เช่นกัน

ซึ่งความดีงามของโหมด Portrait แบบนี้ก็คือเราสามารถถ่ายหน้าชัด-หลังเบลอในระยะไหนก็ได้ (หากกล้องตรวจจับได้ว่าเป็นภาพคน) ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่จะจำกัดอยู่แค่ 1x/2x/3x เพราะหลังจากเราถ่ายในโหมดปกติไป ก็สามารถเข้าไปเลือกปรับความเบลอทีหลังเองได้ และความสามารถใหม่ของ iOS 17 ก็ยังอนุญาตให้เราเลือกจุดโฟกัสหลังถ่ายได้อีก ถ่ายครั้งเดียวมาปรับได้อีกเพียบเลยล่ะครับ

ส่วนภาพที่ได้จากโหมด Portrait แบบนี้ก็จะมีคุณภาพเหมือนกันการถ่ายปกติเลยด้วย ทั้ง Smart HDR 5 และโทนสวย ๆ ซึ่งรอบนี้ต้องบอกเลยว่าสกินโทนของการถ่ายคนนั้นปรับมาให้ถูกใจขึ้น เพราะได้ทั้งความคมชัดสูงในแบบ 14 Pro Max และยังได้ความซอฟต์กับการปรับโทนสวย ๆ คล้าย 13 Pro Max ด้วย แล้วถ้าเราไปเลือกปรับเป็น Studio Lighting เพิ่มเติมกับปรับโทนสีอีกหน่อยก็จะได้ภาพสวยแบบที่ลงตัวมากขึ้นครับ

กล้องหน้า 12MP สกินโทนก็ดีขึ้นด้วย

เช่นเดียวกับกล้องหลังของ กล้องหน้าของ iPhone 15 Pro Max ก็มีการปรับซอฟต์แวร์ใหม่ให้ผิวของคนมีความซอฟต์ลง และดูเนียนใสขึ้นอีกเล็กน้อย ทำให้แม้ความละเอียดหรือเซ็นเซอร์กล้องจะเป็นตัวเดิม ภาพที่ได้ออกมาก็จะสวยถูกใจเรามากขึ้นนั่นเองครับ

Cinematic mode กับระยะ 3x ที่หายไป

ส่วนโหมดหน้าชัด-หลังเบลอแบบวิดีโอหรือ Cinematic รอบนี้ iPhone 15 Pro Max ลดระยะของภาพลงเหลือแค่ 1x และ 2x เท่านั้น เพราะจะใช้งานได้แค่กล้องหลักอย่างเดียว เนื่องจากกล้อง Tele รอบนี้เขยิบไปไกลถึง 5x อาจไม่เหมาะกับการถ่ายวิดีโอ Cinematic เท่าไหร่ จึงทำให้มิติของภาพอาจจำกัดไปนิดครับ แต่คุณภาพและความละเอียดยังสูง (4K/30) และสวยงามเหมือนเดิมแหละ

วิดีโอสูงสุด 4K/60 สลับได้ทุกระยะ

เรื่องวิดีโอในโหมดปกติไอโฟนก็ยังเป็นไอโฟนบน iPhone 15 Pro Max ยังสามารถถ่ายวิดีโอได้อย่างลื่นไหลบนความละเอียดสูงสุด 4K/60 แถมยังสลับกล้องไปมาได้อย่างสมูทไร้รอยต่อ จะถ่ายจากมุมกว้าง 0.5x ไป 5x แบบทันทีก็ได้บนความละเอียดสูงสุดนี้เลยด้วย ตรงนี้แจ่มสุด ๆ

วิดีโอ ProRes พร้อมไฟล์ Log

แน่นอนว่าความเป็นรุ่นโปร iPhone 15 Pro Max รอบนี้ก็อัปเกรดการถ่ายวิดีโอแบบ ProRes ให้เหนือขึ้นไปอีก เราสามารถถ่ายไฟล์สี Log ได้ สำหรับสายมืออาชีพน่าจะถูกใจในการไปเกรดสีเพิ่มเติม แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะใครที่ต้องการบันทึกวิดีโอแบบต่อเนื่องพอร์ต USB-C ใหม่นี้ยังอนุญาตให้เราเชื่อมต่อกับ External Harddrive หรือ Card Reader เพื่ออัดคลิปเข้าสู่อุปกรณ์เสริมโดยตรงได้เลยด้วย และถ้าเชื่อมต่อจนขึ้นคำว่า USB-C เราก็จะปลดล็อคความละเอียดสูงสุด 4K/60fps แบบ ProRes ด้วยนะ!

โดยรวมในเรื่องของกล้อง iPhone 15 Pro Max ก็มีการอัปเกรดขึ้นมาในหลายจุด แต่เหมือนปีนี้ Apple จะเลือกพัฒนาไปที่การถ่ายวิดีโอเป็นหลัก เพราะทั้งวิดีโอแบบ 4K/60 สลับได้ทุกระยะเลนส์หรือ ProRes แบบ Log ที่ดูจะถูกใจสายมืออาชีพมากขึ้น ส่วนฝั่งภาพนิ่งก็ปรับปรุงในเรื่องของโหมด Portrait และสกินโทนให้ดีขึ้นแทน มาตรฐานของกล้องไอโฟนก็ยังเป็นไอโฟนแหละครับ ออกมาเป็นธรรมชาติและไว้ใจได้ แต่ไม่โดดจนเกินไป แต่การเพิ่มกล้อง Tele 5x เข้ามา น่าจะช่วยเปลี่ยนรูปแบบการถ่ายภาพระยะไกลได้อีกเยอะเลยจริง ๆ

ประสิทธิภาพที่เหนือชั้นด้วยชิป A17 Pro

มาต่อกันที่เรื่องประสิทธิภาพ iPhone 15 Pro Max มีการอัปเกรดมาใช้ชิปตัวใหม่ A17 Pro รอบนี้ไม่ใช้ Bionic ตามท้ายแล้วนะ เหมือนเป็นการยกระดับชิปให้เหนือขึ้นไปอีก เพราะใช้สถาปัตยกรรมแบบ 3nm (จากเดิม 4nm) แถมยังยกเครื่องทั้งชิป CPU, GPU และ Neural Engine ใหม่หมดด้วยครับ

ซึ่ง Apple เคลมว่าตัว CPU นั้นเร็วขึ้น 10% ในขณะที่ GPU แรงขึ้นอีก 20% มีฮาร์ดแสร์รองรับ Ray Tracing และ Neural Engine เก่งขึ้นถึง 2 เท่าตัว เรียกว่าเป็นชิประดับท็อปขนาดที่คุยว่านี่คือชิปมือถือที่แรงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ครับ ส่วนเรื่องความจุรอบนี้ได้ RAM เพิ่มเป็น 8GB และมี Storage ให้เลือกเริ่มต้นเป็น 256GB แล้วสำหรับรุ่น Pro Max ครับ

แต่ถ้าจะให้เห็นภาพที่ชัดขึ้นมาอีกนิด ลองทดสอบกับแอป Geekbench 6 กันเลยดีกว่า ได้คะแนน Single-Core ออกมาที่ 2918 คะแนนและ Multi-Core ที่ 7308 คะแนน เรียกว่าสูงจัดเต็มขึ้นกว่ารุ่นราว ๆ 10% จริงในส่วนของ Single-Core ครับ และแน่นอนคะแนนระดับนี้คือสูงที่สุดในกลุ่มสมาร์ทโฟนแล้วด้วย

ส่วนแอป AnTuTu Benchmark ก็ได้คะแนนสูงถึง 1531752 คะแนนแล้ว พุ่งขึ้นมาชนกับฝั่ง Android ได้อย่างสบาย ๆ ถ้านับกันแค่คะแนน Benchmark แล้ว จะบอกว่า iPhone 15 Pro Max คือมือถือที่แรงที่สุดในเวลานี้ก็คงไม่ผิดนักครับ!

เล่นเกมเป็นไงบ้าง ชิปใหม่ตัวนี้!?

เห็นคะแนนสูง ๆ แบบนี้ ในการเล่นเกมจริงก็คงไม่ต้องห่วงอยู่แล้วเนาะ แต่ที่เราต้องลองทดสอบให้เห็นภาพ เพราะทุกครั้งที่ Apple ออกชิปใหม่บางเกมหรือแอปอาจยังไม่รองรับในทันที แล้วกับชิป A17 Pro ตัวนี้ล่ะ ? ถ้าเล่นเกมฮิต ๆ ใน Store ตอนนี้ ปรับจูนกันมาแค่ไหน เกมที่เราใช้ทดสอบจึงมี 4 เกมคือ Asphalt 9, Call of Duty, ROV และ Genshin Impact ครับ

เล่น Asphalt 9 บน iPhone 15 Pro Max

เริ่มที่เกมแข่งรถภาพสวยที่มักทดสอบกันในหลาย ๆ รีวิวกับ Asphalt 9 ก่อนเลย เกมนี้ปรับแต่งมาสำหรับชิป A17 Pro แล้ว หมายความว่าเราสามารถปรับระดับกราฟิกได้สูงสุดตามที่เกมทำได้เฟรมเรต 60fps เล่นได้อย่างลื่น ๆ และกราฟิกในเกมก็สวยงามจัดเต็ม มีเอฟเฟกต์การสะท้อนที่ครบถ้วน เล่นได้อย่างลื่นไหลมาก ถูกใจเราจริง ๆ ล่ะครับ!

เล่น Call of Duty บน iPhone 15 Pro Max

ต่อมาที่เกมยิงกราฟิกอลังการ Call of Duty เราสามารถปรับตั้งค่ากราฟิกและเฟรมเรตสูงสุดได้ 2 แบบคือ Very High + Max (60fps) หรือ Medium + Ultra (120fps) ซึ่งเราก็ลองเล่นมาดูแล้วทั้ง 2 รูปแบบ ได้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจทั้งคู่ อย่างเฟรมเรต 60fps เราก็จะได้ภาพสวยที่สุด รายละเอียดของ Texture รวมถึงเอฟเฟกต์มาเต็ม ในขณะที่เฟรมเรต 120fps ก็ภาพลดทอนลงมาหน่อย แต่ความลื่นไหลก็เต็มเฟรมเลยล่ะครับ เลือกปรับกันได้ตามสะดวกซึ่งเฟรมเรตระดับนี้กับกราฟิก Medium ตอนนี้ยังมีแค่ iPhone 15 Pro Max เท่านั้นนะที่ปรับได้ ฝั่ง Android ถ้าเลือก 120fps จะถูกลดกราฟิกไปที่ Low แทนครับ

เล่น ROV บน iPhone 15 Pro Max

และเกม ROV สุดฮิตที่หลายคนเล่นกันอยู่แล้ว เกมนี้เราก็ยังปรับตั้งค่าได้สูงสุดเหมือนกัน ทั้ง HD Display, Display Quality, Particle Quality, ส่วนเฟรมเรตเลือกไป Very High เลย เมื่อเข้าไปในเกมก็อลังการเลยล่ะครับ ภาพสวยเพราะเราเปิดเอฟเฟกต์ทั้งหมดที่เปิดได้เลย ตัวเฟรมเรตในเกมก็วิ่ง 115 – 120fps ตลอดเกม เรียกว่าเล่นได้ลื่นสุดเท่าที่ตอนนี้จะทำได้แล้วล่ะครับ ไม่ผิดหวัง!

เล่น Genshin Impact บน iPhone 15 Pro Max

ปิดท้ายที่ Genshin Impact เกมกินสเปคสุด ๆ บนสมาร์ทโฟนตอนนี้ แน่นอนว่า iPhone 15 Pro Max ก็ยังปรับตั้งค่าได้สูงสุดเช่นเดียวกับเกมอื่น ๆ เราปรับกราฟิกไว้ที่สูงสุด ร่วมกับเฟรมเรต 60fps ตัวเกมก็รันได้อย่างลื่นไหล กราฟิกสวยอลังการ ความลื่นไหลก็ทำได้น่าประทับใจครับ

เกม AAA ระดับคอนโซล เตรียมลงเร็ว ๆ นี้!

ไม่ใช่แค่เกมกราฟิกสูงระดับมือถือเท่านั้น! เพราะ Apple เคลมว่าชิป A17 Pro ของ iPhone 15 Pro Max นั้นแรงพอที่จะเล่นเกม AAA ระดับคอนโซลได้เลยด้วย อย่างในงานเปิดตัวก็มีทั้ง Resident Evil Village, Resident Evil 4 Remake มาโชว์ด้วย ซึ่งตอนนี้ก็มีข้อมูลแล้วว่า Resident Evil 4 จะลง App Store ช่วงปลายปีนี้แล้วครับ ไว้ถ้าถึงตอนนั้นได้ลอง เราจะมารีวิวให้ชมอีกทีครับ!

การจัดการความร้อนเป็นไงบ้าง ?

อย่างที่เห็นว่าประสิทธิภาพของ iPhone 15 Pro Max นั้นเหนือชั้นมาก ๆ การจะเล่นเกมแบบจัดเต็มก็คงไม่ต้องห่วงอยู่แล้ว เช่นเดียวกับที่เราได้ทดสอบให้เห็นไป แต่ความแรงที่ได้มา ก็ต้องแลกกับความร้อนเช่นกันครับ เท่าที่เราทดสอบจริง ทั้งการเล่นเกม หรือถ่ายรูปหนัก ๆ รู้สึกได้ทันทีว่าตัวเครื่องแอบร้อนที่กรอบเครื่องมากกว่ารุ่นก่อน ๆ ซึ่งเมื่อเครื่องร้อนหนัก ๆ จะเห็นถึงการทำงานมีเอ๋อไปบ้าง (โดยเฉพาะในแอปกล้อง ค้างบ่อย) ตรงนี้ถ้าใช้งานแบบจัดเต็มจะรู้สึกได้เลย แอบคิดว่าจัดการความร้อนได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ถ้าพักเครื่องสักแป๊บหรือใช้งานไม่หนักมาก อาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นไปอยู่ครับ

แบตเตอรี่ใกล้เคียงรุ่นก่อน

ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ iPhone 15 Pro Max ก็ได้แบตเตอรี่ใกล้เคียงกับรุ่นก่อน ตามสเปคของ Apple ก็ไม่ได้มีการระบุเพิ่มระยะเวลาการใช้งานให้นานขึ้นเท่าไหร่ และเท่าที่เราลองใช้งานก็เรียกว่าอยู่ในเกณฑ์ใกล้ ๆ กันจริงครับ เราดึงสายชาร์จออกตอน 7 โมงเช้า ใช้งานโซเชี่ยลตลอดทั้งวัน มีถ่ายรูป เล่นเกมบ้าง ด้วยเครือข่าย 5G ตลอด กลับถึงบ้านราว 1 ทุ่มแบตเตอรี่จะเหลือราว ๆ 30% ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานอย่างเต็มที่ล่ะครับ

อย่างที่บอกว่าแบตเตอรี่ของ iPhone 15 Pro Max ไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบชัดเจน หากเทียบกับรุ่นก่อน ก็แอบน่าเสียดายเหมือนกัน เพราะในทุก ๆ ปี Apple จะชูเรื่องนี้ขึ้นมาตลอด แต่ในปีนี้พอเท่า ๆ เดิมเลย ไม่ค่อยหวือหวาเลย แต่ในการใช้งานจริงระดับนี้ก็ยังคงเป็นเรือธงที่แบตฯอึดที่สุดอยู่ดีแหละเนาะ

ระบบชาร์จก็เท่าเดิมนะ

เรื่องที่เสียดายจริง ๆ คงเป็นความเร็วในการชาร์จซะมากกว่า เพราะพอเปลี่ยนพอร์ตมาเป็น USB-C หลายคนก็คาดว่า Apple จะเพิ่มความเร็วในการชาร์จขึ้นมาอีกหน่อยก็ยังดี แต่สุดท้ายก็ยังชาร์จเร็วที่ 27W เท่าเดิม ทำให้ถ้าจะชาร์จจนเต็มจาก 1% หรือหมดเกลี้ยงก็ใช้เวลาเป็น 2 ชั่วโมงเลยล่ะครับ

แต่พอเปลี่ยนพอร์ตเป็น USB-C ก็ทำให้ iPhone 15 Pro Max เครื่องนี้ มีฟีเจอร์ Reverse Charge แบ่งปันพลังงานให้เครื่องอื่นได้ด้วยนะ อย่างเช่นเวลารีบ ๆ แล้วอุปกรณ์อีกอย่างของเราแบตฯจะหมด หาพาวเวอร์แบงค์หรือที่ชาร์​จไม่ได้ ก็เสียบเข้าไอโฟนของเราได้เลย แต่ความเร็วที่ปล่อยจากไอโฟนจะได้แค่ 4.5W นะครับ เหมาะกับชาร์จพวก AirPods หรือ Magic Mouse อะไรทำนองนี้มากกว่ามือถือด้วยกัน

โดยรวมในเรื่องของประสิทธิภาพก็ต้องยอมรับว่า iPhone 15 Pro Max นั้นยังทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนเคย ในการทำงานทั่วไปเราคงไม่ได้เห็นความต่างมากเมื่อเทียบกับ 14 Pro Max เดิม เพราะก็แรงเหลือ ๆ อยู่แล้ว แต่จุดที่เราประทับใจมากกว่าคงเป็นเรื่องพอร์ต USB-C ที่เข้ามาเสริมการทำงานให้หลากหลายมากขึ้น ทั้งการชาร์จที่สะดวก หรือการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมมากมายอีกหลายอย่างนั่นแหละ จุดสังเกตของรุ่นนี้ก็มีอยู่นิดหน่อย คือเรื่องความแรงที่แลกมากับความร้อน เพราะถ้าใช้แบบจริงจังจะรู้เลยว่ามันร้อนเกินเหตุไปสักหน่อยครับ!

iOS 17 กับความสามารถใหม่ ๆ ของไอโฟน

ปิดท้ายที่เรื่องซอฟต์แวร์ iPhone 15 Pro Max ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 17 เวอร์ชั่นล่าสุดมาตั้งแต่แกะกล่อง ในเรื่องความลื่นไหล iOS ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว แถมยังมีฟีเจอร์น่าสนใจและการใช้งานรูปแบบใหม่ ๆ เพียบ อาทิ Contact Poster หรือ NameDrop

ตัว Dynamic Island ที่ใช้กันมาเป็นปีแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มมีแอปที่รองรับมากขึ้น ให้เราใช้งานได้สะดวกกว่าเดิม เวลามีแจ้งเตือนหรือ Live Activities เพิ่มเติมด้วย

มีให้เลือก 3 รุ่นความจุ ราคาเริ่มต้น 48,900 บาท

iPhone 15 Pro Max รอบนี้มีให้เลือก 3 ความจุ เริ่มต้นที่ 256GB แล้ว มีราคาแต่ละรุ่นดังนี้เลย มีให้เลือก 4 สีคือ ไทเทเนียมธรรมชาติ, ไทเทเนียมน้ำเงิน (สีที่รีวิว), ไทเทเนียมขาว และไทเทเนียมดำ

  • รุ่น 256GB ราคา 48,900 บาท
  • รุ่น 512GB ราคา 57,900 บาท
  • รุ่น 1TB ราคา 66,900 บาท

สรุปแล้ว “นี่คือไอโฟน Pro Max ที่ยกเครื่องมาตามคำเรียงร้องของแฟน ๆ อย่างแท้จริง”

สรุปแล้ว iPhone 15 Pro Max ก็ถือเป็นไอโฟนรุ่นท็อปสุดในปีนี้ที่อัปเกรดมาได้ตรงใจแฟน ๆ อย่างแท้จริงเลยล่ะครับ แม้ภายนอกจะดูไม่ได้เปลี่ยนไปมาก แต่ก็มีจุดที่เปลี่ยนแล้วถูกใจผู้ใช้อย่างเรา ๆ อยู่แทบทุกจุด ตั้งแต่กรอบเครื่องแบบใหม่ “ไทเทเนียม” ที่ช่วยลดน้ำหนักตัวเครื่องจนถือใช้งานได้สบายขึ้น พอร์ต USB-C ที่สะดวกขึ้นทั้งการชาร์จและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมได้มากกว่าเดิมมาก ปุ่ม Action ใหม่ที่เปลี่ยนรูปแบบการทำงานบางอย่างของเราให้ง่ายขึ้น ชิปตัวแรงที่อัปเกรดจนสามารถเล่นเกมแรง ๆ ระดับ AAA ได้ในอนาคต หรือจะเป็นกล้องที่ถ่ายได้สวยถูกใจ มีระยะ 5x ให้ซูมได้ถึงใจเสียที ทุกอย่างที่ว่ามานี้เป็นจุดที่ได้ใช้งานจริงแทบทั้งหมด ใครที่รอการอัปเกรดใหม่นี้ ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่ไม่อยากอัปเกรดแล้วมั้งครับ ชอบก็จัดได้เลย!

มี iPhone 14 Pro Max อยู่ควรเปลี่ยนไหมล่ะ ?

แถมให้อีกความเห็นจากเรา เพราะเชื่อว่ามีเยอะแน่ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรไปต่อที่ iPhone 15 Pro Max หรืออยู่กับ iPhone 14 Pro Max เดิมดี ซึ่งอ่านมาถึงตรงนี้ก็น่าจะพอรู้แล้วว่ารุ่นใหม่มีอะไรที่เปลี่ยนหรืออัปเกรดขึ้นมาบ้างเนาะ เราเลยอยากให้พิจารณาดูก่อนว่าที่เพิ่มเข้ามานั้นจำเป็นมาก-น้อยแค่ไหน ถ้าน้ำหนักไม่ใช่ปัญหา พอร์ต USB-C ก็ไม่ได้ช่วยให้เราใช้งานได้มากขึ้น หรือกล้องก็ไม่ค่อยซูมไปเยอะอยู่แล้ว เราว่าถือ 14 Pro Max ต่ออีกสักปีก็เป็นตัวเลือกที่รับได้เลย เพราะส่วนต่างที่จะไปรุ่นใหม่ก็ไม่น้อยเลย (เป็นหมื่น) แต่…ถ้างบประมาณไม่ใช่ปัญหา เราว่าการเขยิบไปได้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดก็น่าสนใจเหมือนกันนะ ตรงนี้ลองชั่งน้ำหนักดูเอาเนาะ

หวังว่าบทความรีวิว iPhone 15 Pro Max นี้ของเราจะเป็นประโยชน์ให้คนที่กำลังตัดสินใจไม่มากก็น้อยนะครับ ส่วนบทความต่อไปจะมีรีวิวอะไรให้อ่านอีก ก็รอติดตามกันได้เลยครับ

Android News28 นาที ago

Dave2D ทำการทดสอบ Snapdragon 8 Elite ได้การประหยัดพลังงานสูงขึ้นถึง 43%

นับว่าเป็นการอัปเกรด...

Android News1 ชั่วโมง ago

คาดหวัง ! Ice Universe เผย One UI 7.0 จะมีแอนิเมชันและการเปลี่ยนฉากต่างๆ ที่ยอดเยี่ยมมาก

หลังจากที่เคยมีรายงา...

Android News2 ชั่วโมง ago

Redmi Note 14 5G Series ยืนยันเปิดตัวในอินเดียวันที่ 9 ธ.ค. มาพร้อมสโลแกน “Super Camera, Super AI”

Xiaomi ได้ประกาศวันเ...

Apple News3 ชั่วโมง ago

ลือ ! Apple กำลังสร้าง ‘LLM Siri’ ในปี 2026 บน iOS 19

ตามรายงานของ Bloombe...

Android News18 ชั่วโมง ago

เช็คกัน !! OPPO เผยตารางอัปเดต ColorOS 15 บน Android 15 ทั่วโลก

ในวันนี้ OPPO ได้เปิ...

Apple News18 ชั่วโมง ago

อย่างสวย ! YouTuber โชว์ดีไซน์ iPhone 17 Air กล้องหลัง 1 เลนส์ พร้อมจอ Dynamic Island

เราได้ยินมาแค่ข่าวลื...

HUAWEI IdeaHub HUAWEI IdeaHub
IT News19 ชั่วโมง ago

หัวเว่ยเผยโฉม IdeaHub รุ่นเรือธงพร้อมอัดโปรเด็ดหนุนผู้นำจออัจฉริยะเพื่อออฟฟิศยุคใหม่

หัวเว่ยเปิดตัว IdeaH...

Smart Review21 ชั่วโมง ago

รีวิว ASUS Vivobook S 14 OLED (S5406) โน้ตบุ๊คดีไซน์มินิมอล l Intel Core Ultra 7 258V l ใช้นานสุด 27 ชม. และคีย์บอร์ดมีไฟ RGB !

รีวิว ASUS Vivobook ...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก