Smart Review
รีวิว iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max หลังใช้งานเกือบ 2 เดือน
รีวิว iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max หลังใช้งานเกือบ 2 เดือน แต่ละรุ่นได้รับการอัปเกรดฟีเจอร์ใหม่หลายด้าน ใช้งานจริงแล้วเป็นอย่างไรบ้าง และเหมาะกับใคร เดี๋ยวมาเล่าในรีวิวนี้ครับ
สรุปสเปค iPhone 16 Pro Max
- หน้าจอ: 6.9 นิ้ว ความละเอียด 1320 x 2868 พิกเซล LTPO Super Retina XDR OLED, 120Hz, HDR10, Dolby Vision
- ระบบปฏิบัติการ: iOS 18.1
- ชิปเซ็ต: Apple A18 Pro
- GPU: Apple GPU
- RAM: 8GB
- ความจุเครื่อง: 256GB/512GB/1TB
- microSD card: ไม่รองรับ
- กล้องหลัง 3 ตัว:
- กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.8
- กล้อง Telephoto 12 ล้านพิกเซล f/2.8
- กล้อง Ultra-wide 48 ล้านพิกเซล f/2.2
- LiDAR Scanner
- กล้องหน้า: 12 ล้านพิกเซล f/1.9
- การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth, NFC และ USB Type-C
- แบตเตอรี่: 4685mAh
สรุปสเปค iPhone 16
- หน้าจอ: 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1179 x 2556 พิกเซล Super Retina XDR OLED, HDR10, Dolby Vision
- ระบบปฏิบัติการ: iOS 18.1
- ชิปเซ็ต: Apple A18
- GPU: Apple GPU
- RAM: 8GB
- ความจุเครื่อง: 128GB/256GB/512GB
- microSD card: ไม่รองรับ
- กล้องหลัง 2 ตัว:
- กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.6
- กล้อง Ultra-wide 12 ล้านพิกเซล f/2.2
- กล้องหน้า: 12 ล้านพิกเซล f/1.9
- การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth, NFC และ USB Type-C
- แบตเตอรี่: 3561mAh
ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
เป็นครั้งแรกที่ iPhone มีหน้าจอใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับ iPhone 16 Pro Max นั่นก็คือ 6.9 นิ้ว ทำให้หลายคนอาจคิดว่าตัวเครื่องใหญ่กว่าเดิมมากหรือไม่ ถ้าใครเคยใช้ iPhone 15 Pro Max ต้องบอกว่าขนาดตัวเครื่องและน้ำหนักแทบไม่แตกต่างกันเลย ฟีลลิ่งไม่ได้แตกต่างมากนัก
สำหรับหน้าจอแสดงผลให้ความรู้สึกว่าใหญ่กว่าเดิมค่อนข้างชัดเจน ดูเต็มตามากขึ้น ด้วยดีไซน์ขอบจอที่บางลงคือบางเฉียบจริงๆ แม้ว่าตัวเลขขนาดหน้าจอจะกว้างขึ้นเพียงเล็กน้อยคือจาก 6.7 นิ้วในรุ่น Pro Max ก่อนหน้า มาเป็น 6.9 นิ้วในรุ่นใหม่ปีนี้ แต่ขนาดตัวเครื่องคือใกล้เคียงเดิม ตรงนี้ประทับใจมาก
วัสดุตัวเครื่องเป็นไทเทเนียม และด้านหลังเป็นกระจกผิวด้าน ซึ่งสีที่ทุกคนเห็นนี้คือสีไทเทเนียมทะเลทราย (Desert Titanium) ไม่ได้ทองอร่ามจนเกินไป หรือสว่างจนจืด อยู่ในโทนกลาง ๆ แต่บางมุมถ้าหลบแสงหน่อยก็จะออกชมพูอ่อน ๆ เหมือน Rose Gold ได้เหมือนกันครับ
ด้านข้างฝั่งซ้ายจะมีปุ่ม Action และด้านข้างขวาจะมีปุ่มที่เพิ่มเข้ามาใหม่ที่เรียกว่าตัวควบคุมกล้อง (Camera Control)
ด้านหลังมีกล้อง 3 ตัว ได้แก่ กล้องหลัก 48 MP, f/1.8, 24mm, กล้อง Telephoto 12 MP, f/2.8, 120mm และกล้อง Ultra wide 48 MP, f/2.2, 13mm ส่วนเซ็นเซอร์อีกอันเป็น LiDAR scanner
ทางด้าน iPhone 16 น้องเล็กที่มีหน้าจอขนาดเท่าเดิมคือ 6.1 นิ้ว ถ้าใครใช้งาน iPhone 15 อยู่แล้วก็อาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างมากนัก เพราะขนาดและน้ำหนักเท่าเดิม
สิ่งที่เปลี่ยนไปและทำให้ดีไซน์ของ iPhone 16 ดูใหม่กว่าคือปุ่ม Action ที่มาแทนสวิตช์เปิด/ปิดเสียง และด้านข้างขวาจะมีตัวควบคุมกล้อง (Camera Control) เหมือนกับในรุ่น Pro
วัสดุตัวเครื่องของ iPhone 16 เป็นอะลูมิเนียม ด้านหลังเป็นกระจกแต่งสี และในรีวิวนี้ก็เป็นสีใหม่ด้วยคือสีน้ำเงินอัลตร้ามารีน (Ultramarine)
นอกจากนี้แล้วสิ่งที่ทำให้ iPhone 16 แตกต่างจาก iPhone 15 ก็คือการจัดเรียงเลนส์กล้องหลังใหม่เป็นแนวตั้ง จากเดิมจะเป็นแนวทแยง โดยเป็นกล้อง 2 ตัว ได้แก่ กล้องหลัก 48 MP, f/1.6, 26mm และกล้อง Ultra wide 12 MP, f/2.2, 13mm
ทั้ง iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max มีกล้องหน้า 12MP TrueDepth และมีระบบ Face ID สำหรับสแกนใบหน้า
ตัวเครื่องได้มาตราฐานการทนฝุ่นและน้ำระดับ IP68 สามารถกันน้ำได้ลึก 6 เมตร นานถึง 30 นาที
มาต่อกันที่หน้าจอแสดงผลของ iPhone 16 Pro Max กันก่อน เป็นรุ่นที่มีจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่สุดใน iPhone จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นชนิด LTPO Super Retina XDR OLED ขนาด 6.9 นิ้ว พร้อม ProMotion หน้าจอมีความละเอียด 2868 x 1320 พิกเซล
จอแสดงผลครอบด้วยกระจก Ceramic Shield รุ่นที่ 3 และยังมีพื้นที่ Dynamic Island บนหน้าจอเหมือนเดิม คาดว่าหลายคนก็น่าจะใช้งานจนชินตากันไปแล้ว โดยหน้าจอรองรับอัตราการรีเฟรช 120Hz, รองรับมาตรฐาน HDR10 และ Dolby Vision นอกจากนี้ยังสามารถปรับ True Tone ได้ด้วย
สำหรับหน้าจอของ iPhone 16 คือ 6.1 นิ้ว จอภาพ Super Retina XDR OLED ความละเอียด 1179 x 2556 พิกเซล ครอบด้วยกระจก Ceramic Shield รุ่นที่ 3 และมี Dynamic Island, รองรับมาตรฐาน HDR10 และ Dolby Vision สามารถปรับ True Tone ได้เช่นกัน
ทั้งสองรุ่นได้หน้าจอความสว่างสูงสุด 1,000 นิต (ทั่วไป), ความสว่างสูงสุดเฉพาะจุด 1,600 นิต (HDR) และความสว่างสูงสุดเฉพาะจุด 2,000 นิต (กลางแจ้ง) ทำให้ใช้งานหน้าจอได้ทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะเวลาดูหน้าจอกลางแจ้งก็จะเห็นได้ชัดเจน
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชันการใช้งาน
iPhone 16 series แกะกล่องออกมาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 18 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ต่างๆ เพียบ และล่าสุดก็ได้อัปเดทเป็น iOS 18.1 ซึ่งมาพร้อม Apple Intelligence ด้วย
ขอเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับหน้าจอหลัก ตอนนี้ทุกคนสามารถย้ายไอคอนไปวางได้ทุกที่โดยจะไม่มีการฟิกให้เรียงต่อกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว รวมถึงสีไอคอนแอปที่เราสามารถกำหนดเองได้ โดยฟีเจอร์นี้ทำได้จากทุกที่จากหน้าจอหลักเพียงแตะพื้นที่ว่างค้างไว้เพื่อเข้าสู่โหมด Jiggle จากนั้นก็ลากไอคอนแอปไปวางเรียงในตำแหน่งที่ต้องการได้เลย อยากให้ตรงกลางว่างๆ เรียงเป็นแนวที่อยากเรียงกันได้เลย
หน้าจอหลักที่เราใช้งานกันบ่อยๆ ยังมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องวิดเจ็ต (Widget) โดยเวลาที่เราอยู่ในโหมด Jiggle จะสามารถปรับขนาดของวิดเจ็ตได้ ย่อให้เล็ก ลากขยายให้ใหญ่ หรือจะแตะค้างที่วิดเจ็ตแล้วเลือกขนาดได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าเริ่มต้น ขนาดเล็ก แบบยาว หรือขนาดใหญ่
ในหน้าล็อกสกรีนก็สามารถปรับแต่งได้หลากหลายและง่ายมากขึ้น โดยเมื่ออยู่ในหน้าล็อกสกรีน แล้วแตะจอค้างไว้เพื่อปรับแต่ง จะเห็นว่าสามารถแก้ไขไอคอนแอปได้ เผื่อใครไม่ได้ใช้ไฟฉายหรือกล้องบ่อยๆ ก็เลือกใส่แอปที่ต้องการได้
ที่ชอบมากๆ คือตัวแผง Control Center ที่มี UI สวยงามน่าใช้ เมื่อก่อนถ้าใครอยากแต่งหน้าจอ iPhone แต่ไม่สามารถทำได้ ซึ่งตอนนี้คือ Apple ทำออกมาให้ดูสวยน่าใช้ เชื่อว่าหลายคนน่าจะชอบตรงนี้เหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีไอคอนปุ่มปิดเครื่องอยู่มุมขวาบนมาให้ด้วย ทำให้สามารถกดปิดเครื่องได้ง่ายมากขึ้นโดยไม่ต้องกดปุ่มที่อยู่ด้านข้าง
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน iOS 18 ที่ถือว่าเป็นการเพิ่มความส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานอีกระดับคือการล็อกแอปพลิเคชั่นด้วย Face ID โดยเมื่อเราแตะค้างที่ไอคอนแอปก็จะมีตัวเลือก Require Face ID อย่างเช่นในแอป Photos โดยระบบก็จะบอกว่ามีแอปไหนบ้างที่เข้าถึงรูปภาพโดยที่ไม่ต้องใช้ Face ID อยู่ในตอนนี้ เราสามารถไปตั้งค่าได้ในส่วนของความเป็นส่วนตัว
อนิเมชั่นตอนกดปุ่มต่างๆ ที่ด้านข้างเครื่อง จะแสดงการบีบนูนขึ้นมาที่ขอบด้านข้างหน้าจอตรงปุ่มที่กด แม้จะไม่ได้มีผลอะไรในการใช้งาน แต่มันทำให้รู้สึกว่า Apple ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
ในแอป Message ใช้งานสนุกและมีชีวิตชีวามากขึ้น มีการจัดรูปแบบตัวอักษร เช่น ตัวหนา ขีดเส้นใต้ ตัวเอียง หรือขีดฆ่า ใส่เอฟเฟ็กต์ที่มีลูกเล่นได้หลากหลายแบบ
ในส่วนของ Tapback ก็สามารถใช้กับอิโมจิหรือสติกเกอร์อะไรก็ได้ มีสันสันสวยงาม เหมือนแสดงความรู้สึกกลับไปกับข้อความนั้น ทำให้คุยและเข้าใจในความรู้ที่ตรงกันได้ขึ้น
ในแอปเครื่องคิดเลขตอนนี้ได้มีการเพิ่มตัวเลือกฟังก์ชั่นการใช้งานโดยแตะไปที่ปุ่มไอคอนเครื่องคิดเลขมุมซ้ายล่าง จะมีเมนูขึ้นมาให้เลือกรูปแบบการใช้งานได้ ได้แก่ พื้นฐาน เชิงวิทยาศาสตร์ และก็โน้ตคณิตศาสตร์ หรือว่า Math Notes รวมไปถึงเลือกใช้ตัวแปลงหน่วยต่างๆ ได้ด้วย
สำหรับตัวแปลงหน่วย ใช้สำหรับแปลงค่าเงิน หรือจะเลือกหมวดหมู่อื่นๆ ก็ทำได้ ก็จะมีทั้งมุม พื้นที่ แปลงหน่วยข้อมูล พลังงาน แรง เชื้อเพลิง และปัดไปทางซ้ายก็จะมีอีกหลายหมวดหมู่เลย ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องหาไปแอปมาติดตั้งเพิ่มให้ยุ่งยากแล้ว
ที่ชอบมากๆ เลยคือ โน้ตคณิตศาสตร์ หรือว่า Math Notes ที่จะช่วยคำนวณโจทย์คณิตสาตร์ได้แบบทันที ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่พิมพ์หรือเขียนด้วยลายมือ อันนี้เจ๋งมากๆ แม้ว่าจะมีแอปหลายตัวที่ทำแบบนี้ได้เยอะแยะ แต่ตอนนี้ทำได้จากแอปเครื่องของ iPhone เลย หลายคนก็น่าจะชอบโดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา หรือคนที่ทำงานเกี่ยวกับด้านนี้
ส่วนเครื่องคิดเลขเชิงวิทยาศาสตร์ อันนี้ก็เคยมีอยู่แล้วตอนเราใช้งานในแนวนอน แต่ตอนนี้เลือกใช้ในแนวตั้งได้เลย ไม่ต้องหมุนเครื่องแนวนอน
เมนูการตั้งค่าหรือว่า Settings ถ้าเราปัดหน้าจอขึ้นจนสุดจะเห็นเมนูใหม่ที่ชื่อ แอป จากเดิมใน iOS เวอร์ชั่นก่อนหน้าอย่าง iOS 17 ก็จะเรียงรายการแอปที่เราติดตั้งทั้งหมดไว้เลย ปัดกันเมื่อยถ้าใครมีแอปเยอะ แต่ iOS 18 เปลี่ยนใหม่ เพิ่มเมนูรวมแอปแบบนี้มาให้ พอเข้าไปในนี้ก็จะมีการจัดเรียงตามตัวอักษร และค้นหาได้ง่ายมากขึ้น
ในส่วนของเมนู iCloud หน้าตาก็เปลี่ยนไปเยอะเลย ถ้าใครสมัตร iCloud+ ก็จะมีไอคอนแสดงที่มุมขวาบน มีแถบบอกพื้นที่จัดเก็บว่าใช้ไปเท่าไหร่ เมนูต่างๆ ดูน่าใช้ขึ้น
สำหรับแอปโทรศัพท์ ตอนนี้ในหน้าจอ Keypad เวลาเรากดเบอร์จะมีรายชื่อเบอร์ที่เรากำลังกดขึ้นมาด้วย ถ้าเป็นรายชื่อที่ต้องการก็สามารถแตะเพื่อโทรออกได้เลย
ด้วยความฉลาดของ Apple Intelligence ทำให้แอปโทรศัพท์สามารถบันทึกเสียงการสนทนาได้หลังจากรับสาย และคู่สายจะได้รับการแจ้งเตือนว่ากำลังถูกบันทึกเสียงอยู่ด้วย
แอปรหัสผ่าน ช่วยให้สามารถเข้าถึงรหัสผ่าน, พาสคีย์, รหัสผ่าน Wi-Fi และรหัสยืนยันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นแอปนี้ยังเตือนเกี่ยวกับจุดอ่อนที่พบได้โดยทั่วไป เช่น รหัสผ่านที่เดาง่าย หรือใช้ซ้ำๆ กันหลายที่ รวมถึงรหัสผ่านที่ปรากฏในข้อมูลที่ทราบว่ามีการรั่วไหล
ฟีเจอร์ใหม่อีกอันหนึ่งบน Safari ที่ชอบมากคือ Distraction Control เวลาเราเข้าเว็บไซต์ต่างๆ บางเว็บก็จะมีรายการหรือกล่อง Pop up ต่างๆ ขึ้นมาเยอะ บางทีก็รบกวนการใช้งาน เราสามารถเลือกซ่อนได้ โดยแตะไปที่ไอคอนเมนูที่อยู่ด้านซ้ายของแถบบาร์ จากนั้นก็เลือกไปที่ “ซ่อนรายการที่รบกวน” พอเรากลับมาดูหน้าเว็บอีกครั้ง แล้วแตะไปยังส่วนต่างๆ ก็จะมีตัวเลือกเมนู “ซ่อน” ขึ้นมา เราก็แตะซ่อนได้เลย แล้วส่วนนั้นก็จะสลายกลายเป็นฝุ่นหายไปเลย
ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจใน iOS 18.1 อย่างฟีเจอร์ Clean Up ลบวัตถุที่ไม่ต้องการในรูปภาพได้ เพียงแตะ วงกลม หรือป้ายวัตถุที่ต้องการลบ ซึ่งฟีเจอร์นี้ใช้งานได้บนรุ่นอื่นๆ ด้วย ได้แก่ iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max และ iPhone 16 series ทุกรุ่น
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ชุดแรกของ Apple Intelligence ที่มาพร้อม iOS 18.1 จะยังไม่รองรับภาษาไทย แต่สามารถใช้งานได้เมื่อตั้งค่าภาษาของเครื่องและ Siri เป็นภาษาอังกฤษแบบสหรัฐอเมริกา (U.S. English)
การเชื่อมต่อ
iPhone 16 ทุกรุ่นรองรับ Wi-Fi 7 แบบดูอัลแบนด์ และ Bluetooth 5.3 พร้อมรองรับ LE อีกทั้งยังมี NFC บนบอร์ดสำหรับใช้ในการทำสิ่งต่างๆ เช่น Apple Pay และการแชร์รายชื่อผู้ติดต่อ Name Drop นอกจากนี้ยังมีชิป Apple Ultrawideband (UWB) รุ่นที่ 2 ช่วยให้สามารถค้นหา Find My ได้อย่างแม่นยำด้วยลูกศรบอกทิศทาง และมีระยะในการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับชิป Apple U1
พอร์ต USB-C บน iPhone 16 Pro และก็ Pro Max ได้เป็นมาตรฐาน USB 3.2 และรองรับความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงถึง 10Gbps แต่ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus รองรับมาตรฐาน USB 2.0 ที่มีความเร็วการถ่ายโอนข้อมูล 480Mbps
ไดรฟ์ USB, เครื่องอ่านการ์ด และฮาร์ดไดรฟ์ เสียบเข้ากับ iPhone 16 ได้เลย โดยจะแสดงในแอป Files โดยอัตโนมัติ และแอปกล้องถ่ายรูปยังจดจำที่เก็บข้อมูลภายนอกที่เข้ากันได้ และสามารถส่งออกวิดีโอ ProRes ได้จากตรงนี้ด้วย ถือว่าตอบโจทย์สายครีเอเตอร์ที่ต้องการใช้ที่เก็บข้อมูลภายนอกได้สะดวกและง่ายมากขึ้น
iPhone 16 ทุกรุ่นยังเป็น USB Host สามารถเชื่อมต่อเมาส์และคีย์บอร์ดได้ คีย์บอร์ดเริ่มทำงานทันที โดยต้องเปิดใช้งานตัวเลือก Assistive Touch ในการตั้งค่า
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
iPhone 16 Pro Max ใช้ชิป Apple A18 Pro เป็นชิปที่ถือว่าเร็วแรงที่สุดของ Apple ที่มีการใช้งานบน iPhone โดยมี CPU 6-core กับ GPU 6-core สร้างขึ้นบนกระบวนการผลิตขนาด 3nm และมี Neural Engine 16-core ใหม่ ในขณะที่ iPhone 16 ใช้ชิป A18 ที่มี GPU 5-core ส่วนหน่วยความจำ RAM ให้มาขนาด 8GB ทุกรุ่น
โดยผลการทดสอบด้วย Geekbench 6 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผล การทดสอบนี้จะทำการประมวลออกมาเป็นตัวเลขแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Single-Core และ Multi-Core หากได้คะแนนยิ่งสูงประสิทธิภาพการทำงานจะยิ่งดี iPhone 16 Pro Max ทำคะแนน Single-Core ได้ 3,375 คะแนน และ Multi-Core ทำได้ 8,320 คะแนน
ทางด้าน iPhone 16 ทำคะแนน Single-Core ได้ 3,156 คะแนน และ Multi-Core ทำได้ 8,069 คะแนน
ผลการทดสอบด้วย AnTuTu 10 เพื่อวัดประสิทธิภาพโดยรวมของอุปกรณ์ ยิ่งคะแนนสูงประสิทธิภาพยิ่งดี คะแนนจะคำนวณจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ประสิทธิภาพของ CPU, ประสิทธิภาพของ GPU ประสิทธิภาพของหน่วยความจำ และประสิทธิภาพของพื้นที่เก็บข้อมูล
iPhone 16 Pro Max ทำคะแนน AnTuTu 10 ได้ที่ 1,701,115 คะแนน
iPhone 16 ทำคะแนน AnTuTu 10 ได้ที่ 1,650,192 คะแนน
iPhone 16 Pro Max ทดสอบเกมแนว Battle Royale อย่างเกม PUBG Mobile สามารถตั้งเฟรมเรทระดับ Ultra Extreme 120FPS ได้ ภาพเกมสีสวยสดใสและการเลื่อนดูภาพ เปลี่ยนมุมมองไปมาทำได้อย่างลื่นไหล รวมไปถึงการตอบสนองต่อการสัมผัสก็ทำได้รวดเร็วดี
เกมแข่งรถอย่าง Asphalt Legends Unite สามารถตั้งค่าได้สูงสุดทั้งหมดทั้งภาพและเฟรมเรท 60FPS ภาพในเกมสีสันสวยงาม คมชัด และลื่นไหล ไม่มีสะดุดเลย
สำหรับเกม ROV ก็สามารถตั้งค่าได้สูงสุดและเฟรมเรท 120FPS ลื่นไหล เฟรมเรทวิ่งระหว่าง 113-119FPS ภาพไม่มีสะดุดเลยแม้ตอนร่วมทีมไฟต์และปล่อยสกิลกันรัวๆ
iPhone 16 Pro Max มีแบตเตอรี่ขนาด 4685mAh ซึ่งมากกว่า iPhone 15 Pro Max อยู่ที่ 240mAh เท่าที่ใช้งานมาต้องบอกว่าแบตเตอรี่อึดขึ้น ใช้งานทั่วไปได้นานทั้งวัน โดยตามสเปคสามารถชาร์จแบตได้ 50% ในเวลา 30 นาทีด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20W แต่ถ้าใช้อะแดปเตอร์ขนาด 30W ก็ทำให้ชาร์จได้เร็วขึ้น ในขณะที่ iPhone 16 มีแบตเตอรี่ 3561mAh
ทดสอบชาร์จ iPhone 16 Pro Max เริ่มจากแบตเตอรี่ 15% ใช้เวลาเพียง 12 นาที ก็ได้แบตเตอรี่อยู่ที่ 39% ซึ่งก็ถือว่าเร็วใช้ได้เลย เผื่อใครเร่งรีบแล้วมีเวลาชาร์จประมาณ 10 นาทีก็จะได้แบตเพิ่มขึ้นประมาณนี้ครับ
สำหรับการชาร์จไร้สาย iPhone 16 ทุกรุ่นด้วย MagSafe รองรับชาร์จสูงสุด 25W แนะนำให้ใช้ร่วมกับอะแดปเตอร์ขนาด 30W ขึ้นไปเพื่อให้ชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพ ในขณะที่การชาร์จผ่านแท่นชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi2 ก็จะชาร์จได้สูงสุดที่ 15W
นอกจากนี้ก็มีตัวเลือก Battery Health เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้มากขึ้น โดยสามารถตั้งค่าขีดจำกัดการชาร์จได้ระหว่าง 80% ถึง 100% และสามารถดูจำนวนรอบการใช้งานและสุขภาพแบตเตอรี่ได้ในการตั้งค่าแบตเตอรี่
กล้องถ่ายรูป
iPhone 16 Pro Max มีการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ที่ชัดเจน รวมไปถึงซอฟต์แวร์ด้วย โดยสิ่งหนึ่งที่เพิ่มมาในรุ่นใหม่ครั้งแรกคือตัวควบคุมกล้อง (Camera Control) แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพของกล้องถ่ายรูป แต่ปุ่มฮาร์ดแวร์พิเศษที่อยู่ทางด้านขวาของเครื่องนี้ก็ช่วยให้กดควบคุมกล้องได้จริง รวมถึงมีเซ็นเซอร์วัดแรงกดเมื่อกดเบาๆ และความไวต่อการสัมผัสสำหรับการปัด ทำให้มีฟังก์ชันมากมายให้เลือกใช้ และจะมีฟังก์ชันอื่นๆ ตามมาอีกมากมายในการอัปเดทในอนาคต
ตัวควบคุมกล้อง (Camera Control) เป็นประโยชน์มากตอนที่ต้องควบคุมกล้องในขณะถือใช้งานมือเดียว โดยใช้ปลายนิ้วชี้ในการกดหรือเลื่อนไปยังโหมดต่างๆ แต่ก็จะมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือขนาดมือของแต่ละคนไม่เท่ากัน การควบคุมกล้องด้วยปุ่มตรงนี้อาจไม่ได้สะดวกมากนักหากเป็นคนมือเล็ก หรือถ้ามือใหญ่มากๆ ปลายนิ้วชี้ก็อาจจะเลยปุ่มไปมากและทำให้ควบคุมยากเช่นเดียวกัน อันนี้คือในสถานการณ์ที่ใช้มือเดียวนะ แต่ถ้าใช้สองมือแล้วถือถ่ายก็ไม่ติดปัญหาตรงนี้ครับ
สำหรับโมดูลกล้องหลักไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเซ็นเซอร์คือยังคงเป็น 48MP สำหรับถ่ายในโหมด ProRAW ซึ่งจะได้ไฟล์ภาพขนาดใหญ่ เผื่อใครต้องการนำไปปรับแต่งขั้นสูงหรือใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น และรูรับแสงกว้างขึ้นเป็น f/1.6
ตัวกล้องหลักในโหมดภาพถ่ายปกติทำให้การถ่ายภาพในระยะปกติที่ 1x หรือจะเลือกเป็นระยะ 1.2x/1.5x กล้องจะเก็บภาพมาที่ความละเอียด 24MP ทำให้ภาพมีความละเอียดที่คมชัดหรือครอปภาพเพิ่มเติมก็ยังได้ไฟล์ที่ยังคมชัดอยู่ และระยะ 2x จะได้ที่ความละเอียด 12MP
ในเรื่องคุณภาพของภาพถ่าย iPhone 16 Pro Max ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของ iPhone คือภาพที่ได้จะไม่ได้มีสีอิ่มตัวแบบจัดๆ หรือสีที่สดมากนัก แต่ถ้าใครอยากได้สีสันมากขึ้นก็สามารถปรับเปลี่ยนการตั้งค่าสีและโทนสีได้ใน Photographic Style และได้มีการปรับปรุงในเรื่อง Smart HDR ใหม่ ทำให้ประมวลผลสีกับแสงได้ดีขึ้น ตัวโทนของภาพ รวมถึง Dynamic Range ก็ดีขึ้น
Photographic Style หรือรูปแบบภาพถ่าย อาจเรียกได้ง่าย ๆ ว่าคุมโทนรูปถ่ายนั่นเอง เราสามารถเลือกจากรูปแบบที่ตั้งไว้ ได้แก่ ความต่างระดับสีสูง สดใส โทนอุ่น หรือ โทนเย็น เพื่อให้แอปกล้องปรับใช้ตัวเลือกตามที่ต้องการทุกครั้งที่เราถ่ายรูปในโหมดรูปภาพ
กล้อง Telephoto เซ็นเซอร์ RGB 12MP รองรับการซูมแบบออปติคอล 5x ต้องบอกเลยว่าทำได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในเรื่องของโทนสีที่ใกล้เคียงกับกล้องหลัก ภาพถ่ายในแสงปกติคมชัดดีมาก สามารถนำไปใช้งานได้ถึงระยะ 10x เลย ในขณะที่การถ่ายในที่แสงน้อย ตัวกล้องจะมีการประมวลผลเยอะพอสมควร ได้ภาพคมชัด แต่อาจจะมี Noise ในภาพอยู่บ้างในบางสถานการณ์
กล้อง Ultra Wide ใช้เซ็นเซอร์แบบ Quad Bayer 48MP แทนที่เซ็นเซอร์ RGB แบบเดิม 12MP ทำให้เก็บรายละเอียดและให้ไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มีโทนสีที่ใกล้เคียงกับกล้องหลักมาก และสามารถใช้เป็นกล้อง Macro ได้เหมือนเดิม
สำหรับโหมด Portrait สามารถถ่ายหน้าชัด-หลังเบลอในระยะไหนก็ได้ เมื่อกล้องตรวจจับได้ว่าเป็นภาพคน ซึ่งภาพในโหมดนี้ก็เชื่อใจได้ตามสไตล์ของ iPhone และหลังจากถ่ายภาพแล้ว ก็สามารถเข้าไปเลือกปรับความเบลอทีหลังเองได้
กล้องหน้าของ iPhone 16 Pro Max แม้จะเป็นเซ็นเซอร์ตัวเดิม แต่ก็มีการปรับซอฟต์แวร์ใหม่ให้ผิวของคนมีความซอฟต์ลง การรับแสงก็ปรับให้เข้ากับใบหน้าได้ดี และออโต้โฟกัสยังช่วยให้ถ่ายภาพในมุมที่แปลกตาในระยะใกล้ได้อีกด้วย
iPhone 16 Pro Max สามารถบันทึกวิดีโอได้สูงสุดถึง 4K@60fps สำหรับกล้องหลังสามตัวและกล้องหน้า อีกทั้งยังมีโหมด 30fps และ 24fps ให้เลือกใช้ด้วย และครั้งนี้มีการอัปเกรดกล้องหลักด้านหลังให้สามารถบันทึกวิดีโอ 4K@120fps ได้ด้วยทั้งการซูม 1x และ 2x
นอกจากนี้ ยังมีโหมด PAL (25fps และ 100fps) ให้เลือกใช้งานเช่นกัน โดยหากต้องการบันทึกวิดีโอ 4K@60fps ขึ้นไป จะต้องใช้รูปแบบ HEVC/h.265 แบบ High Efficiency หรือถ้าใช้ความละเอียดกับเฟรมเรทที่น้อยกว่านี้ก็สามารถเลือกใช้ได้ทุกรูปแบบ และยังมีตัวเลือกการบันทึก Dolby Vision ให้เลือกใช้งานอีกด้วย
ฟีเจอร์ที่ใช้งานแล้วประทับใจมากอีกหนึ่งฟีเจอร์คือ Audio Mix หรือการผสมเสียง โดยสามารถใช้ตัวเลือกเสียงพูดที่ต่างกัน 3 แบบ ซึ่งสามารถทำได้หลังจากถ่ายวิดีโอเสร็จแล้ว แบ่งออกเป็น
- ภายในเฟรม บันทึกเฉพาะเสียงของคนที่อยู่ในกล้อง ถึงแม้คนที่อยู่นอกเฟรมกล้องจะพูดอยู่ในขณะบันทึกก็ตาม
- สตูดิโอ ปรับเสียงพูดให้เหมือนกับคุณกำลังบันทึกเสียงในสตูดิโอระดับมืออาชีพที่ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ทำวล็อกหรือพ็อดคาสท์ เพราะเสียงที่คุณบันทึกจะฟังเหมือนกับมีไมโครโฟนจ่ออยู่ใกล้ๆ ปากของผู้พูดนั่นเอง
- ภาพยนตร์ เป็นการบันทึกเสียงพูดทั้งหมดรอบตัวและนำมารวมเข้าด้วยกันที่ด้านหน้าของจอ เหมือนกับการปรับเสียงเพื่อใช้ในภาพยนตร์ประมาณนั้นเลยครับ
สรุปรีวิว iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max
iPhone 16 Pro Max เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกความต้องการ แม้จะเป็น iPhone ที่ราคาสูงที่สุด แต่ก็จัดเต็มทุกด้านที่สุดทั้งชิปเซ็ต A18 Pro ที่ดีที่สุดในตอนนี้บน iPhone หรือจะเป็นกล้องถ่ายรูปถ่ายสนุกหลายระยะ กรอบตัวเครื่องไทเทเนียมแข็งแกร่งทนทาน และยังมีจอแสดงผลที่ใหญ่ที่สุดบน iPhone นั่นก็คือ 6.9 นิ้ว หากไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณแล้วล่ะก็ iPhone 16 Pro Max คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ในขณะที่ iPhone 16 เป็นรุ่นล่าสุดที่ถูกที่สุด ด้วยขนาดตัวเครื่องกะทัดรัด พกพาง่าย ถือใช้งานมือเดียวสะดวก อีกทั้งได้ชิปเช็ต A18 ซึ่งรองรับฟีเจอร์ใหม่ๆ และใช้งานได้ยาวๆ อีกหลายปี