Buying Guides
iPhone กับ Android: อะไรดีกว่าสำหรับคุณ?
เมื่อคิดจะซื้อสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุด ตัวเลือกแรกที่หลายคนอาจตัดสินใจอาจยากที่สุดก็คือ iPhone กับ Android อะไรดีกว่า ซึ่งความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้มีอะไรน่าสนใจบ้างที่จะช่วยให้ทุกคนเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีที่สุด
ภาพรวม iPhone
- ระบบนิเวศของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบปิด มีข้อจำกัดฟีเจอร์เฉพาะ Apple
- ผู้ผลิต: Apple
- ผู้ช่วยในเครื่อง: Siri.
- ทำงานได้กับ: Google Assistant, Amazon Alexa
- ตัวเลือกน้อย
ภาพรวม Android
- ดาวน์โหลดแอพได้ง่ายทั้งจากแหล่งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
- ผู้ผลิต: Google, Samsung และอื่นๆ
- ผู้ช่วยในเครื่อง: Google Assistant
- ทำงานได้กับ: Amazon Alexa, Samsung Bixby
- มีให้เลือกหลายรุ่นและหลายราคา
การตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนครั้งแรกที่ยากที่สุดคือการเลือกเครื่องที่จะซื้อว่าต้องเป็น iPhone หรือ Android ซึ่งทั้งคู่ก็มีฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมและมีความแตกต่างที่ชัดเจนกันมากๆ ซึ่งทำให้ใครที่ใช้งานระบบใดแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนใจไปใช้อีกระบบ
ฮาร์ดแวร์: iPhone กับ Android
ความแตกต่างอย่างแรกเลยก็คือในเรื่องของฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างระหว่าง iPhone และ Android ที่ชัดเจนมากๆ เพราะมีเพียง Apple เท่านั้นที่ผลิต iPhone ดังนั้น ทำให้การทำงานร่วมกันของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ได้รับการควบคุมทั้งหมดจากบริษัทเพียงรายเดียว ในทางกลับกัน Google ให้บริการซอฟต์แวร์ Android แก่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายราย เช่น Samsung, OPPO, vivo และอีกหลายราย จึงทำให้ Android มีหลายขนาด หลายคุณสมบัติ และคุณภาพแตกต่างกันไป
ปัจจุบันสมาร์ทโฟน Android ราคาระดับพรีเมียมนั้นมีคุณสมบัติที่ดีพอๆ กับ iPhone แต่หากพูดถึงรุ่นในระดับราคาที่ถูกกว่าก็จะมีสเปคและคุณสมบัติที่ลดน้อยลงแตกต่างกันไป
หากกำลังจะซื้อ iPhone ก็จะต้องตัดสินใจเพียงแค่เลือกรุ่นที่ต้องการ รุ่นใหม่ รุ่นเล็ก หรือรุ่นใหญ่ แต่หากกำลังเลือกซื้อ Android จะต้องเลือกทั้งยี่ห้อและรุ่น รวมไปถึงสเปคและวัสดุที่มีให้เลือกเยอะมาก เนื่องจากมีผู้ผลิตหลายราย
ระบบปฏิบัติการ: iPhone กับ Android
iPhone
- ระบบปฏิบัติการ iOS ของ Apple
- เวอร์ชันใหม่เปิดตัวทุกปี และส่วนใหญ่ทุกรุ่นจะได้อัปเดทอย่างน้อย 5 เวอร์ชัน
Android
- ทำงานบนพื้นฐาน Android และปรับแต่งโดยผู้ผลิตที่แตกต่างกันเล็กน้อย
- เวอร์ชันใหม่เปิดตัวทุกปีจาก Google แต่ผู้ผลิตอาจไม่ได้อัปเดทให้ทุกรุ่น
สมาร์ทโฟน Android ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android ของ Google ในขณะที่ iPhone ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS ของ Apple โดยทั่วไปแล้วหลักๆ การทำงานจะคล้ายกัน ได้แก่ มีหน้าจอหลักที่มีการจัดเรียงแอปยอดนิยม แอปอรรถประโยชน์ แอปโทรศัพท์เพื่อโทรออก แอปกล้องสำหรับรูปภาพ และแอปส่งข้อความสำหรับส่งข้อความ นอกจากนี้ยังใช้อินเทอร์เฟซแบบสัมผัส และอุปกรณ์บางรุ่นอาจมีฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม เช่น มาตรวัดความเร่งหรือไจโรสโคปสำหรับฟังก์ชันเพิ่มเติม
Apple ออก iOS เวอร์ชันใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงพร้อมอัปเดทคุณสมบัติเพิ่มเติมตลอดทั้งปี ในขณะที่ Android ในอดีตได้มีการออกอัปเดทไม่สม่ำเสมอ (Android 2.0 ออกมาในปี 2009 ในขณะที่ทั้งเวอร์ชั่น 3.0 และ 4.0 ออกในปี 2011) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Android มีวงจรการอัปเดทเป็นประจำปีทุกปีมากขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกรุ่นที่จะได้รับการอัปเดทจากผู้ผลิต
ผู้ผลิต Android บางรายอัปเดทเป็นเวอร์ชันล่าสุดช้า และบางรุ่นก็ไม่ได้อัปเดทเวอร์ชันหลักเลยตั้งแต่วางจำหน่าย ทำให้รุ่นเก่าสูญเสียการสนับสนุนระบบปฏิบัติการล่าสุดไปในที่สุด แต่การสนับสนุนของ Apple นั้นได้ทุกรุ่นและยาวนานกว่า
แอปพลิเคชัน: iPhone กับ Android
iPhone
- เฉพาะบน Apple App Store
- กว่า 2 ล้านแอป
Android
- บน Google Play Store และผ่านแหล่งบุคคลที่สาม
- กว่า 3.5 ล้านแอป
Apple เข้มงวดเกี่ยวกับแอปที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดได้บน App Store ที่อาจดูเหมือนเป็นข้อจำกัด แต่นั่นหมายความว่าผู้ใช้จะมีโอกาสน้อยที่จะดาวน์โหลดมัลแวร์นั่นเอง ในขณะที่มาตรฐานของ Google สำหรับ Android นั้นสามารถเลือกดาวน์โหลดจากแหล่งอื่นนอกเหนือจาก Play Store ได้
ข้อดีอีกอย่างของ App Store จาก Apple คือบริษัทมั่นใจได้ว่าทุกอย่างในนั้นเข้ากันได้กับอุปกรณ์ ในขณะที่ Android นั้นมีผู้ผลิตหลายรายและการคัดกรองที่น้อยของ Play Store ทำให้บางแอปอาจจะไม่รองรับการทำงานร่วมกับบางรุ่น
แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลือกที่ให้ Android มีความสามารถในการดาวน์โหลดแอป จากแหล่งดาวน์โหลดภายนอก Play Store ก็เป็นคุณสมบัติที่ดึงดูดผู้ใช้บางรายได้เหมือนกัน
ระบบนิเวศ: iPhone กับ Android
หลายคนใช้แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์สวมใส่นอกเหนือจากสมาร์ทโฟน สำหรับผู้ใช้งาน Apple จะได้ประสบการณ์การทำงานร่วมกันที่ดีกว่า เนื่องจาก Apple ผลิตคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต นาฬิกา และ iPhone เป็นของตนเองทั้งหมดตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ไปจนถึงซอฟต์แวร์
ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้สามารถใช้ iPhone เป็นรีโมทสำหรับ Apple TV ได้ หรือสามารถปลดล็อก iPhone หรือ MacBook ด้วย Apple Watch และหากต้องการส่งไฟหากันก็ใช้ AirDrop ที่ทำให้การถ่ายโอนไฟล์และลิงก์ระหว่าง iPhone, Mac หรือ iPad ได้ทันทีโดยไม่ต้องส่งผ่านอีเมล รวมไปถึงคุณสมบัติความต่อเนื่องอื่นๆ ช่วยให้เริ่มวิดีโอ YouTube บน Apple TV และเล่นต่อจากจุดที่เราดูค้างไว้บน iPhone และ AirPlay ช่วยให้แชร์หน้าจอ Mac กับ Apple TV หรือใช้ iPad เป็นจอภาพที่สองได้
สำหรับบริการต่างๆ ของ Google เช่น Gmail, Maps, Google Assistant และอื่นๆ ทำงานได้กับอุปกรณ์ Android ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นพวกนาฬิกา แท็บเล็ต โทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ผลิตโดยบริษัทเดียวกันทั้งหมด ก็จะไม่ได้ประสบการณ์การทำงานร่วมกันแบบข้ามอุปกรณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว และมีเพียงไม่กี่บริษัทที่ผลิตสินค้าทั้งหมดเหล่านี้
ราคาสมาร์ทโฟน
Apple วางตำแหน่ง iPhone เป็นอุปกรณ์ระดับพรีเมียม มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่หมื่นกว่าบาทในรุ่นเก่าและราคาสูงกว่านั้นในรุ่นใหม่ ในขณะเดียวกัน Android มีราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น
แม้ว่าผู้ใช้จะมีตัวเลือกในการซื้อ Android ในราคาถูก แต่ก็จะได้รับคุณสมบัติตามราคาที่จ่ายไปเช่นกัน อย่างในรุ่นระดับกลางหรือรุ่นไฮเอนด์ที่มีราคาสูงก็จะได้รับคุณสมบัติที่ดีกว่า เช่น กล้องระดับโปรหรือฟีเจอร์อื่นๆ เพิ่มเติม
ดังนั้นราคาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดการเลือกซื้อสมาร์ทโฟน หากมีงบที่จำกัดหรือเป็นผู้เริ่มต้นใช้งาน ซื้อเพื่อใช้งานทั่วไป รับสาย โทรออก เล่นโซเชียล การเลือกซื้อ Android ที่ถูกกว่าอาจเหมาะกับการใช้งานมากกว่า
สรุปแล้ว ทั้ง iPhone และ Android มีโซลูชันสำหรับผู้ที่มีความต้องการแตกต่างกัน หากตอนนี้เป็นผู้ใช้งาน Apple เช่น Mac, iPad หรือ Apple TV อยู่แล้ว การซื้อ iPhone ก็เป็นทางเลือกที่ดีและง่ายกว่า แต่หากมองหาความยืดหยุ่นในการติดตั้งแอปนอก Store ก็อาจต้องเลือกใช้ Android
บางคนให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ฮาร์ดแวร์มากกว่า ในขณะที่บางคนให้ความสำคัญกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่หรือการเล่นเกมบนมือถือมากกว่า ทั้งสองแพลตฟอร์มต่างก็ให้ทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่แตกต่างกัน อันนี้ก็จะต้องตัดสินใจว่าปัจจัยใดที่สำคัญที่สุด และเลือกโทรศัพท์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด นั่นคือรุ่นที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
แล้วเพื่อนๆ ใช้งานรุ่นไหนกันอยู่บ้าง อย่าลืมกดติดตามแฟนเพจ @iPhoneDroid.net และทวิตเตอร์ @iPhone_Droid จะได้ไม่พลาดข่าวสารดีๆ ด้วยนะครับ