Apple News
Kylie Minogue ให้สัมภาษณ์กับ Apple Music เกี่ยวกับอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า ‘DISCO’ พร้อมเล่าถึงสุดยอดเพลงฮิตต่าง ๆ ของเธอ
Kylie Minogue ร่วมสนทนากับ Zane Lowe บน Apple Music เพื่อให้รายละเอียดเกี่ยวกับการทำอัลบั้ม ‘DISCO’ ซึ่งเป็นอัลบั้มใหม่ที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอ โดยมีกำหนดเปิดตัววันศุกร์ที่จะถึงนี้ ศิลปินในตำนานได้พูดถึงการนำเสนอแฟนตาซีของฟลอร์เต้นดิสโก้เต็มรูปแบบในอัลบั้มที่ 15 เล่าถึงเพลงฮิตที่ผ่านมา การแต่งเพลง “Wow” ในอิบิซาร่วมกับ Greg Kurstin และ Karen Poole เส้นทางที่นำพาเธอสู่การทำเพลงอัพบีทที่ว่า เกือบที่จะได้ทำเพลงกับ Prince และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย
ฟังบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ทุกเวลาที่ต้องการบน Apple Music ที่ apple.co/disco-interview
รับชมการสัมภาษณ์บางส่วนได้ที่
Kylie Minogue ให้สัมภาษณ์กับ Apple Music เกี่ยวกับการนำเสนอดนตรีดิสโก้ในอัลบั้ม ‘DISCO’…
ขอเลเซอร์ ขอไฟ ขอฟลอร์สว่าง ๆ แล้วก็เปิดเพลงเลย เปิดไป อย่าหยุด ตลอดไป Infinite…
เพลงดิสโก้ดังๆ หลายเพลงที่เรารู้จักกันนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า มาในแบบวิบวับ และเปล่งประกายด้วยแสงสี แน่นอนว่าประวัติของดิสโก้นั้นเริ่มมาจากความต้องการและความปรารถนาที่จะมีสถานที่ซึ่งเราสามารถปลดปล่อยและเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องสนใจสายตาใคร หรือจะไม่เป็นตัวเองก็ได้ ก็แล้วแต่ว่าชอบแบบไหน และฉันคิดว่า Studio 54 จะเป็นแหล่งรวมแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากตลอดกาล ได้สร้างโลกของตัวเอง
Kylie Minogue ให้สัมภาษณ์กับ Apple Music เกี่ยวกับเส้นทางที่นำพาเธอสู่การทำอัลบั้ม Disco…
ฉันรู้ตัวดีตั้งแต่เริ่มจุดประกาย และพอเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ ได้แต่หวังว่าจะเดินหน้าต่อไป ตอนอัลบั้ม Golden นั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการสำรวจตัวเอง รับมือกับเรื่องนั่นนี่ ฉันดีใจมากที่ได้ไปแนชวิลล์ และใช้เวลาแต่งเพลงอยู่ที่นั่นสองสัปดาห์ การได้อยู่ที่นั่นและได้อยู่กับเพื่อนฝูง เหมือนกับอยู่ในโอเอซิส ได้ซึมซับอะไรหลายอย่างที่ไม่คิดว่าจะต้องการ เหมือนกับได้ดื่มด่ำสิ่งดังกล่าว และนั่นก็ช่วยสะท้อนชีวิตของฉัน ซึ่งพยายามจะกลับมายืนหยัดอย่างมั่นคง เรียกว่า “ว้าว นั่นสมเป็นประสบการณ์ปุถุชนที่ฉันได้เผชิญ ที่ใคร ๆ ก็สัมผัสได้” ต้องเจอกับการเลิกรา ความอับอายพ่ายแพ้ ตอนนั้นกำลังคิดอะไร ทำไมถึงเข้าใจผิดไปขนาดนั้น เริ่มกันใหม่ ดังนั้นฉันจึงมักพูดอย่างระวังว่า นั่นไม่ใช่อัลบั้มแห่งการเลิกรา แต่เป็น… คือฉันกำลังเรียกสำนึกแห่งตนเองกลับคืน กล้าเผชิญความจริง แล้วก็ให้มันจบไป ตอนนี้ฉันตาสว่างแล้ว ทั้งหมดคือเรื่องเกี่ยวกับอัลบั้มนั้น
และสำหรับอัลบั้มนี้ ในปี 2018 ขอโทษที ย้อนไปอีกนิดในปี 2018 ช่วงที่จัดทัวร์อัลบั้ม Golden ซึ่งชัดเจนว่าได้รับอิทธิพลจากดนตรีคันทรี่ และเรื่องราวกว้างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจทั้งหมดในคอนเสิร์ต แต่ที่นั่นคือจุดที่เราได้โลกแห่งจินตนาการ ประมาณว่า Donna Summer อยู่ในแอลเอ และเธอมีงานที่ Studio 54 ซึ่งต้องไปให้ถึงในคืนนั้น แต่เที่ยวบินถูกยกเลิก ก็เลยขึ้นรถบัสไปแทน การเดินทางครั้งนี้ พวกเขาใช้เส้นทางแนชวิลล์ เดี๋ยวก็อยู่ที่บาร์ เดี๋ยวก็อยู่ที่อื่น จนไปถึง Studio 54 ในที่สุด และฉากเล็กๆ ท้ายสุดของคอนเสิร์ต ช่วงก่อนอังกอร์ ก็คือ Studio 54 นั่นเอง ซึ่งเป็นฉบับแฟนตาซีในแบบที่เราคิด และแบบที่เราสามารถขนขึ้นรถบรรทุกและขนกลับได้
และเป็นสถานที่ที่เจ๋งสุดๆ พวกนักเต้นต่างมีคาแรกเตอร์เป็นของตัวเอง พวกเขาดูคล้าย… เราเจอ Elton John ตรงนั้น เราเจอ… คนที่ดูเหมือนกับ Grace Jones, Andy Warhol แต่ไม่ได้เหมือนในเชิงล้อเลียนนะ เหมือนเชิงจิตวิญญาณมากกว่า ถึงแม้ฉันแค่ไปโปรโมทอัลบั้ม Golden แต่ฉันก็รู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าที่นั่นคือสถานที่ที่น่าไป
Kylie Minogue ให้สัมภาษณ์กับ Apple Music เกี่ยวกับการเป็นศิลปินที่หลากหลายแนวเพลง…
ฉันรู้สึกดีใจมากที่คนอื่นมองฉันแบบนั้น เพราะเหมือนฉันเป็น Kylie ที่ร้องแต่เพลงป๊อป ฉันคือ Kylie ที่ร้องแต่เพลงป๊อป แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันหักเลี้ยวรถกี่ครั้งในเส้นทางสายดนตรีป๊อปเส้นนี้ หรืออะไรก็ตามที่คนอื่นเรียกกัน บางครั้งฉันก็เปลี่ยนเลนบ้าง บางครั้งฉันก็ไปแวะจอดที่ปั๊มน้ำมัน ฉันชอบเจอผู้คน ชอบทำงานร่วมกับคนอื่นๆ รับรู้สิ่งที่ไม่พูดออกมาระหว่างศิลปินด้วยกัน สิ่งที่เราไม่พูดถึงแต่เรารู้สึกได้ ราวกับว่าฉันเข้าใจคุณนิดหน่อยนะ หรืออย่างน้อยก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเข้าใจเราเมื่ออยู่ในห้องเดียวกัน ไม่รู้สิ ฉันว่ามันเจ๋งดี เพราะเราต่างพยายามที่จะหาทางด้วยตัวเราเอง การได้ทำงานกับคนอื่นเปรียบเหมือนเครื่องมือที่ทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในป่าที่รกร้างแห่งนี้
Kylie Minogue ให้สัมภาษณ์กับ Apple Music เกี่ยวกับการเกือบได้อัดเพลงร่วมกับ Prince
ฉันเกือบจะได้เจอฝันที่กลายเป็นจริง ซึ่งก็คือ Prince ฉันเคยเจอเขา ตอนที่ฉันอายุ 14 ปี กำลังคลั่งไคล้ดนตรีอย่างหนัก Prince คือคนที่… ใช่เลย แล้วฉันก็ไปดูการแสดงของเขา ช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ที่ Earl’s Court ขอไว้อาลัยให้ Earl’s Court ด้วยค่ะ และก็ได้เจอเขาหลังจากนั้น ฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความกล้ามาจากไหน แต่ฉันก็พูดไปว่า “อ้อ ฉันกำลังจะทำอัลบั้มค่ะ” ฉันจำไม่ได้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง ฉันไม่รู้เลย นั่นเป็นสมัยก่อนที่จะมีมือถือหรืออะไรพวกนั้น ตอนนั้นฉันกล้าบ้าบิ่นเสียจนตัวเองยังงงว่าทำไปได้ไง เอ้อ เราก็แค่นั่งพูดคุยกัน ฉันไม่รู้ว่ามันหมายความว่าไงด้วยซ้ำ แต่เราก็พูดคุยกัน เขายิงคำถามใส่ฉันไม่หยุด เขาถามว่า “เนื้อเพลงคุณอยู่ไหนล่ะ” ฉันก็ “ฉันไม่…” “คุณอยากตั้งไมค์ตรงไหน” มันแปลกที่สุดเลย ฉันน่าจะได้เจอเขาอีกสองครั้งแน่ๆ… น่าจะใช่ พอไม่มีมือถือแล้ว ความทรงจำคนเราก็กระจัดกระจาย ฉันจำไม่ได้ว่าวันไหนเป็นวันไหน หรืออะไรทำนองนั้น ฉันเลยเขียนเนื้อเพลง ตอนนั้นฉันยังแต่งเพลงไม่เป็นด้วยซ้ำ คือฉันอยากแต่งเพลงนะ แต่ไม่ได้ทำ แล้วฉันก็ส่งเนื้อเพลงให้เขา บอกว่าเหมือนคืนวันเก่าๆ เลย ฉันชอบมาก
ฉันจำได้ว่าฉันเคยคุยกับเขาทางโทรศัพท์แล้วก็คิด แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “คนขับรถของผมจะเอาเทปไปให้นะ” คนขับรถมาถึงยังกับฉากในหนังเรื่องโฮมอะโลน เสียงปิ๊งป่องดังขึ้นที่อพาร์ทเมนท์ ฉันอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครมาตื่นเต้นไปด้วย เทปอยู่ในมือของฉันเป็นเทปที่ Prince ร้องเพลง “Baby Doll” ที่ฉันก็ถือว่ามีส่วนร่วมด้วย แต่ผลงานเกิดขึ้นมาได้จริงๆ เพราะเขานอนแค่ 4 ชั่วโมงและทุ่มเทสร้างสรรค์ 20 ชั่วโมงที่เหลือ ฉันเดาเอานะ เราไม่ได้อัดเทปนั่น อันที่จริงฉันก็ไม่รู้หรอก ฉันนำมันไปเสนอบริษัทเพลง คิดว่าพวกเขาน่าจะสนใจ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สน เรื่องมันก็มีแค่นั้น ฉันอาจจะเป็นคนกล้าหาญ แต่ฉันก็ไม่… ฉันไม่รู้ ฉันไม่แน่ใจพอที่จะกล่าวปฏิเสธ
Kylie Minogue บอก Apple Music เกี่ยวกับการรู้ตัวว่าดนตรีเป็นเส้นทางของเธอตั้งแต่อายุยังน้อย…
คุณรู้อะไรไหม ฉันคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉันจำได้ตอนอายุ 8, 9 ขวบถึงแม้จะ 10 ปี ตอนนั้นฉันอายุ 10 ขวบในปี 1978 และฉันได้คุยเรื่องนี้กับ DISCO และโม้ให้เขาฟังว่าฉันมีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ ตอนเด็กๆ ฉันชอบฝันกลางวันอยู่เรื่องนึง น่าจะตอนอายุ 8 หรือ 9 ขวบ ฉันชอบเพ้อว่าพ่อข้างบ้านที่อยู่กับเขาจะมาบอกฉันว่าเขาเป็นโปรดิวเซอร์เพลง ฉันจำได้ลางๆ ประมาณนั้น… แต่ฉันคิดว่าเด็กทุกคนก็เคยมี เด็กๆ ทุกคนก็ต้องการเป็น Rinaldo แห่งโลกฟุตบอล… สำหรับฉันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ฉันจำไม่ได้ว่าอยากเป็นนักแสดงเลยตอนเด็กๆ มีแค่เรื่องเพลงเท่านั้น ฉันจำไม่ได้ว่าอยากดังด้วย ฉันแค่คิดว่าฉันอยากร้องเพลง ฉันใช้เวลานานมากกว่าจะร้องได้
ตอนฉันอายุ 11 ฉันไม่สนเรื่องการแสดงเลย โอกาสมาจากเพื่อนของแม่ ตอนนั้นเขากำลังหาคนแสดงในรายการ เขาขอให้แม่พาฉันและน้องสาวไปออดิชั่น ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการแสดงเลยสักนิด แต่ฉันก็ยังไป แล้วก็ได้บท ฉันมีประสบการณ์บนจอทีวีน้อยนิดมาก ไม่ใช่เพราะฉันติดแม่ ฉันไม่ได้เข้าโรงเรียนการแสดง ฉันไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับการแสดงเลย มีเข้าเรียนคลาสเพลงบ้างตอนอายุ 4 ขวบ ฉันคิดว่านะ ฉันไม่เคยเล่าเรื่องแบบนั้นจริงๆ เอ้อ ลองมาคิดๆ ดู แล้วถ้าต้องเลือกระหว่างเพลงหรือการแสดง เพลงก็คงชนะขาด
Kylie Minogue บอก Apple Music เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของเธอในการทัวร์อัลบั้ม…
ตอนนี้การทัวร์อัลบั้มยังเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับฉัน มีคำถามมากมายทั้ง ถ้า เมื่อไหร่ วิธีไหน ยังไง ทำไม อะไร แต่วิสัยทัศน์ของฉันที่ฉันมี ไม่ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ก็คือโดยปกติแล้วในคอนเสิร์ต… ฉันไม่เคยแสดงในเวทีวงกลม ฉันอยู่ที่นี่มาตลอด และเราอยากให้คุณเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เราอยากให้คุณรู้สึกเหมือนกัน แต่เราก็อยากให้คุณเห็น แต่ฉันรู้สึกเหมือนมีบางส่วนที่เครื่องมือนี้มีส่วนเอี่ยวกับอัลบั้มนี้เยอะมาก แล้วมีอะไรหลายๆ เข้ามารวมกันอย่างช้าๆ และมีส่วนอื่นๆ ที่เข้ามาทำให้โลกใบนี้เริ่ดขึ้นไปอีก ตู้ม และมีลูกบอลดิสโก้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และฉันก็ชอบไอเดียของการแสดงที่ผู้คนแทบไม่รู้สึกว่าต้องมานั่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวที เหมือนเราทุกคนอยู่ในผับขนาดยักษ์
Kylie Minogue บอก Apple Music เกี่ยวกับการเขียนเพลง “Wow” กับ Greg Kurstin โปรดิวเซอร์มือฉมังในอิบิซา…
เพลงนั้นมีกลิ่นอายของ Greg Kurstin อยู่หน่อยๆ Genius. เราเขียนเพลงนั้นขึ้นมา… ทุกอย่างเกิดที่อิบิซา เราช่วยกันทำนู่นนี่นั่นและฝันก็เป็นจริง โอ้ย Greg Kurstin สมชื่อตำนานจริงๆ แต่ฉันมีความทรงจำประทับใจเกี่ยวกับเขา ตอนนั้นฉันป่วย ฉันเป็นมะเร็งเต้านม ฉันก็เข้ารักษาตัวทุกวิธี แล้วฉันก็กลับมาทำอัลบั้มต่อ ฉันแค่อยากทำ ไม่รู้สิ ฉันก็แค่อยากมีอิสรภาพและได้เห็นขอบฟ้า และพยายามหาสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ฉันจึงชวนกันไปที่อิบิซาและเขียนเพลงที่นั่น บางทีพวกเขาอาจจะสงสารฉัน และคิดว่า “โอเค ให้เธอได้พักหน่อย ให้รางวัลเด็กสาวนั่นบ้างสักนิด” ฉันก็เลยไปที่อิบิซากับ Greg Kurstin และ Karen Paul ที่เป็นนักแต่งเพลงที่ยอดเยี่ยม เธอแต่งป๊อปได้เจ๋งสุดๆ ไปเลยค่ะ และพวกเราก็รู้จักกันมานานมาก เราได้เช่าวิลล่าหลังใหญ่ที่มีทิวทัศน์สวยมาก แต่ไมโครโฟนที่ Greg สั่งไว้กลับยังมาไม่ถึง พวกเราก็เลยใช้อันสำรองที่เขาพกใส่กระเป๋าเดินทางมาแทน ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างบ้านๆ เลยค่ะ แล้วห้องที่พวกเราใช้แต่งและอัดเพลงก็คือห้องนอนของเขานั่นแหละค่ะ ซึ่งก็เป็นห้องใหญ่ๆ ที่เห็นวิวได้เกือบ 180 องศา เพราะที่นี่คืออิบิซา อากาศจึงร้อนจัด แต่คุณดันเปิดแอร์ไม่ได้เวลาอัดเพลง พวกเราก็เลยต้องทนร้อนกันค่ะ ฉันคิดว่า Greg ใส่แค่กางเกงว่ายน้ำด้วยซ้ำ ต่อนะคะ เราก็ชมวิวเกาะเล็กๆ แห่งนี้ และทุกวันเราก็จะอยู่ในอาการแบบ “ว้าว ว้าว”
Kylie Minogue ให้สัมภาษณ์กับ Apple Music เกี่ยวกับการแสดงดนตรี Glastonbury ที่ทุบสถิติในปี 2019…
ฉันไม่รู้ว่าจะพูดถึง Glastonbury ได้หมดยังไง เพราะว่ามีหลายเรื่องเหลือเกิน แต่เทศกาลนี้หลอมรวมความเป็นมนุษย์ สายสัมพันธ์ และประวัติศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดนี้สุดยอดไปเลยค่ะ แต่อีกใจหนึ่งฉันก็แอบคิดว่า “โอย อย่าทำเลยดีกว่า” ฉันกังวลกับเรื่องต่างๆ มากมาย ฉันคิดประมาณว่า… “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราเกิดมีช่วงเวลาสติหลุดกันจริงๆ ล่ะ” พวกเขาเห็นการแสดงสุดเจ๋งไปห้าอย่างแล้วบนเวที หลังจาก David Attenborough ซึ่งค่อนข้างดีเลย และคุณก็รู้ว่าฉันกังวลกับเรื่องทางเทคนิคต่างๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้โดยเฉพาะกับพวกอุปกรณ์เทคโนโลยี แต่ แต่อารมณ์ความรู้สึกและความเป็นมนุษย์ที่เห็นได้ในตัวบุคคลไม่มีทางผิดค่ะ แต่แน่นอนว่าฉันไม่น่าจะได้เจอประสบการณ์แบบนั้นอีกครั้งในชีวิตหรอก
Kylie Minogue ให้สัมภาษณ์กับ Apple Music เกี่ยวกับการใช้ชีวิตก่อนยุคโทรศัพท์…
คือฉันดีใจมากๆ เลยค่ะที่ประสบการณ์ชีวิตของฉันส่วนใหญ่เกิดขึ้นก่อนยุคที่จะมีโทรศัพท์และการถ่ายวิดีโอตลอดเวลา ฉันต้องไปที่คลับ เพราะถ้าคุณไม่ไป คุณก็จะไม่มีทางได้สัมผัสประสบการณ์เลย คุณต้องไปเห็นด้วยตัวเองเท่านั้น และฉันก็ชอบแบบนั้นค่ะ แต่ฉันก็ไม่อยากฟังดูเป็นคนแก่ขี้บ่นให้เด็กๆ พูดใส่ว่า “เงียบๆ ไปเถอะ” หรอกนะ “พวกเรารู้น่าว่าไม่มีโทรศัพท์ พวกเรารู้ดีเลย” แต่ฉันกลับชอบที่มันเป็นแบบนั้นนะ ฉันทำสิ่งต่างๆ ได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนถ่ายทอดสดที่ไหนสักแห่ง
Kylie Minogue ให้สัมภาษณ์กับ Apple Music เกี่ยวกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ระหว่างอัดเพลง “Miss A Thing”…
ค่ะ ฉันหมกมุ่นกับเพลงมากจริงๆ แต่ฉันเองก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่พยายามจะเข้าใจโลกหรือรับมือกับทุกเรื่องที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตค่ะ ฉันต้องอยู่บ้านคนเดียวบ่อยๆ และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ฉันรู้สึกกดดันและเหนื่อยมากค่ะ ฉันเอาแต่ทำงาน งาน งาน วุ่นกับตารางเวลาตลอด เดี๋ยวก็ทำอันนั้น เดี๋ยวก็ทำอันนี้ พูดง่ายๆ ก็คือพยายามจัดการทุกอย่างให้ได้ด้วยตัวเองทั้งหมด แล้วก็มีวันหนึ่งที่-
ฉันกำลังทำเพลงที่ชื่อว่า “Miss a Thing” และฉันจะตั้งใจทำงานเสมอ ฉันพยายามสุดความสามารถ แต่วันนั้นฉันกลับทำไม่ได้ ฉันบอกกับ Tate… เขาก็เห็นเหมือนกัน คุณเห็นได้ชัดเลย น้ำตาไม่ได้ไหลสักหยดแต่เขาก็เห็นว่าฉัน… ฉันพยายามแล้ว ฉันพยายามร้องไปให้ถึงคีย์นั้น แต่ฉันก็เครียดและหงุดหงิดมากจนรู้สึกหมดแรง ฉันพูดว่า “วันนี้ฉันทำไม่ได้ค่ะ” ฉันไม่ชอบแบบนั้นเลย ฉันเกลียดมัน ฉันเกลียดที่ต้องพ่ายแพ้
เอ้อ แต่กลายเป็นว่าเขาก็ได้คีย์ที่ต้องการในอีกสองสามวันต่อมา ฉันถามว่า “เสียงจากวันนั้นเหรอ” เขาก็ตอบว่า “ใช่แล้ว” ฉันก็เลยรู้ว่าเป็นเพราะสภาพจิตใจตัวเอง นั่นไม่ใช่เสียงที่ฉันตั้งใจจะร้องจริงๆ หรอก แต่ฉันก็แค่… ค่ะ อยู่ดีๆ มันก็ดีเอง แล้วเธอก็กลับมา