ไลน์เตือน!!! ให้ลูกค้าเปลี่ยนรหัสผ่านหลังโดนแฮ็คครั้งใหญ่ (วิธีเปลี่ยนรหัสผ่านที่นี่)

โดย Surin Khiewsart (Editor)

Screen Shot 2014-06-19 at 3.48.41 PM

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ว่าบริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นสนทนาบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในชื่อ “ไลน์” ออกแถลงการณ์เตือนให้ผู้ใช้บริการราว 300 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในญี่ปุ่น เปลี่ยนรหัสผ่านบัญชีผู้ใช้ของตัวเอง หลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจพบการจารกรรมข้อมูลจากบัญชีผู้ใช้ของไลน์อย่างน้อย 303 บัญชี ระหว่างเดือน พ.ค. ถึงวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในจำนวนบัญชีผู้ใช้ที่ถูกจารกรรมข้อมูลทั้งหมดมี 3 บัญชี เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงินในวงการธุรกิจ และสร้างความเสียหายมหาศาล ซึ่งไลน์ยืนยันจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่

สำหรับแอพพลิเคชั่น ไลน์ เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อปี 2554 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถใช้ได้ร่วมกับระบบปฏิบัติการทุกแบบ โดยสร้างสถิติมีผู้ใช้เกิน 100 ล้านคนในระยะเวลาเพียง 18 เดือน และ 200 ล้านคนในอีก 6 เดือนหลังจากนั้น ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย อินเดีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทย และญี่ปุ่น ปัจจุบันไลน์มีผู้สมัครใช้บริการแล้วราว 300 ล้านคนทั่วโลก ในจำนวนนี้ 50 ล้านคนอยู่ในญี่ปุ่น.

 

วิธีเปลี่ยนรหัสผ่านแอพ LINE 

เมนูภาษาไทย : ให้เข้าไปที่แอพ LINE > การตั้งค่า > บัญชี > เปลี่ยนอีเมล์ของคุณ

เมนูภาษาอังกฤษ : Settings > Accounts > Change Your Email >

change_pass01

 

จากนั้นให้ใส่รหัสผ่านเดิมไปก่อน 1 ครั้ง เลือกตกลงและรอสักครู่

change_pass02

 

หลังจากนั้นระบบจะให้ใส่รหัสผ่านใหม่ ให้ใส่รหัสผ่านลงไปได้เลยเหมือนกัน 2 ครั้ง อย่างน้อย 6 ตัวอักษร กดตกลงแค่นี้ก็สามารถเปลี่ยนรหัสผ่าน LINE ได้แล้วครับ

change_pass03

แนะนำให้เปลี่ยนรหัสผ่านกันด่วน ๆ เลยนะครับ และที่สำคัญอย่าลืมแชร์บอกให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกันด้วยจะได้เปลี่ยนกันได้อย่างทันท่วงที

อัพเดท : สำหรับคนที่ลืมรหัสผ่านเดิมไม่สามารถเปลี่ยนได้ให้เข้าไปดูวิธีการขอรหัสผ่านแอพ LINE ใหม่ ที่นี่

ที่มา – dailynews, iphone-droid.net

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More