
ในตอนนี้ Nokia ได้กลับมาเข้าสู่ตลาดของหูฟังไร้สายอีกครั้งครับ โดยครั้งนี้เราได้จัดรีวิวเต็มๆ ของ Nokia Essential True Wireless Earphones E3500 หูฟังไร้สายฟีเจอร์จัดเต็ม แบตเตอรี่อึดพร้อมใช้งานได้ครบวัน แต่มาในราคาที่สุดคุ้มมากๆ ครับ
สเปค Nokia Essential True Wireless Earphones E3500
- น้ำหนักเคส : 32 กรัม
- น้ำหนักหูฟัง : ข้างละ 5 กรัม
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.0
- ระยะการเชื่อมต่อ : สูงสุด 10 เมตร
- ไดรเวอร์เบส : 10 มม.
- คลื่นความถี่ : 20Hz – 20,000Hz
- การชาร์จ (เคส) : USB Type-C
- กันน้ำ/ฝุ่น : IPX5
- แบตเตอรี่เคส : 360mAh
- แบตเตอรี่หูฟัง : ข้างละ 48mAh
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- เคสชาร์จหูฟัง Nokia E3500
- ตัวหูฟัง Nokia E3500
- สาย USB Type-A to Type-C
- จุกยางหูฟังขนาด S, M และ L
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
- ข้อมูลการรับประกันสินค้า


ดีไซน์ตัวเคสมีความเบาและเล็กมาก
ใครที่ชอบพกหูฟังเพื่อใช้งานตลอดวัน ตัวเคสของ Nokia E3500 ก็จัดมาให้ตามความเหมาะสมครับ มีทั้งความเบาและกะทัดรัดมากๆ เอาใส่ในกระเป๋าใบเล็กได้แบบสบาย ไม่กินพื้นที่แน่นอนครับ


และยิ่งเฉพาะตัวเคสที่ไม่ได้ใส่หูฟังเข้าไปด้วยก็ยิ่งเพิ่มความเบาขึ้นไปอีก เพราะใช้วัสดุพลาสติกที่ยังคงมีความแข็งแรงครับ

ตัวเคสจะมีพอร์ต USB Type-C สำหรับชาร์จที่ด้านหน้า ซึ่งจะไม่รองรับการชาร์จแบบไร้สายครับ

หูฟังน้ำหนักเบาเท่ากระดาษ A4 !!
นอกจากที่เคสชาร์จจะเบามากแล้ว ตัวหูฟังทั้ง 2 ข้างก็มาในน้ำหนักเพียงข้างละ 5 กรัมเท่านั้น ซึ่งเบาเท่ากับกระดาษ A4 เลยทีเดียว จุดนี้ช่วยให้ใช้ได้สบายหูและไม่รู้สึกปวดหูจนเกินไปเวลาใส่ไปนานๆ

ขณะที่ดีไซน์ของหูฟังแม้ว่าจะดูมีขนาดที่ใหญ่ก็แต่เหมาะกับสรีระการสวมใส่ในใบหูที่ทำได้แน่นและไม่หลุดง่ายๆ

ตัวหูฟังยังมาพร้อมมาตรฐานกันน้ำที่ IPX5 ซึ่งใช้งานได้ระหว่างฝนตกหรือกันละอองน้ำได้แบบสบายเลย

ทั้งนี้ ที่ตัวหูฟังจะมีตัวลำโพงที่ด้านหน้า ทั้งยังมีไมโครโฟนให้ข้างละ 2 ตัวด้วยครับ

และตรงก้านสามารถสัมผัสเพื่อควบคุมได้แบบสบายๆ เพราะมีขีดที่บอกว่ากดบริเวณนี้เพื่อกันพลาดครับ

การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน
หากเราเชื่อมเป็นครั้งแรกเราต้องนำหูฟังขึ้นมาใส่ และกดที่ก้านสัมผัสทั้ง 2 ข้างค้างไว้ประมาณ 2 วินาทีก่อน จากนั้นจะมีเสียง “Power On” จากนั้นให้กดต่อไปอย่าเพิ่งปล่อยนิ้วจนมีเสียงขึ้นว่า “Pairing Mode” แล้วจึงปล่อยนิ้วได้ครับ ต่อไปก็ให้เราเปิดบลูทูธบนสมาร์ทโฟน (ได้ทั้ง Android และ iOS) และเชื่อมต่อได้ตามปกติเลยครับ

การควบคุมหูฟัง
- กด 1 ครั้ง (ข้างไหนก็ได้) : เล่น/หยุดเพลง หรือรับสายโทรศัพท์
- กด 2 ครั้ง (ข้างขวา) : เล่นเพลงถัดไป หรือวางสาย
- กด 2 ครั้ง (ข้างซ้าย) : เปลี่ยนเป็นโหมด Ambient หรือเปลี่ยนกลับ
- กด 3 ครั้ง (ข้างไหนก็ได้) : Voice Assistant
- กดค้าง 2 วินาที (ข้างซ้าย) : ลดเสียงเพลง
- กดค้าง 2 วินาที (ข้างขวา) : เพิ่มเสียงเพลง
- กดค้าง 2 วินาที (ข้างไหนก็ได้) : ตัดสาย

ใช้ผู้ช่วยเสียงควบคุมได้ทันที
เมื่อเรากดที่ตัวหูฟัง 3 ครั้งจะเป็นการเรียก Google Assistant หรือ Siri ขึ้นมาใช้งานเป็นผู้ช่วยเสียงได้ครับ โดยเราสามารถสั่งเพื่อเปิดเพลงผ่าน Spotify หรือ YouTube Music ได้ทันที รวมไปถึงการใช้งานแผนที่เพื่อขอเส้นทางได้เช่นกันครับ

ใช้งานได้ครบทุกวงจร
เมื่อเรามีหูฟังสักตัวก็จะเน้นใช้งานที่ทำได้ครบตลอดวันและหลายกิจกรรม ไม่ว่าจะเล่นเกม, ฟังเพลงชิวๆ หรือในตอนออกกำลังกายครับ โดยถ้าใครมาสายฟังเพลงหรือออกกำลังกายน่าจะถูกใจแน่นอน เพราะได้ไดรเวอร์เบสใหญ่ 10 มม. ที่ให้เสียงเบสมาค่อนข้างแน่นเลยครับ รวมถึงการได้มิติของเสียงที่เพิ่มขึ้นด้วย ใครที่ชอบฟังเพลงแนวร็อคที่มีเบสหนักๆ ก็น่าจะชอบหูฟังตัวนี้พอสมควรเลยครับ

แถมเมื่อใส่เข้าไปแล้ว เสียงรบกวนภายนอกจะได้ยินน้อยลงมากๆ ทำให้เราฟังเพลงได้เต็มอรรถรสสุดๆ และที่ชอบอีกอย่างคือโหมดตัดเสียงรบกวนไม่ได้ทำให้รู้สึกปวดหูจนเกินไปครับ แต่เรายังสามารถเปิดโหมด Ambient เพื่อให้ได้ยินเสียงรอบข้างเป็นปกติในบางเวลา เช่น ตอนที่กำลังเดินข้างถนน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้ดีครับ

ส่วนใครที่ใช้ในตอนเล่นเกมก็ถือว่าทำได้เยี่ยมครับ เพราะค่าความหน่วงค่อนข้างน้อยมากๆ เสียงกับภาพไปตรงกัน ซึ่งถ้าเล่นเกมแนว FPS อย่าง PUBG Mobile หรือ Call Of Duty: Mobile จะยิ่งเห็นได้ชัดเจน

พูดคุยได้ชัดเจนด้วยไมโครโฟนถึง 4 ตัว
นอกจากการฟังเพลงจะทำได้เต็มที่แล้ว การคุยโทรศัพท์ก็สำคัญไม่แพ้กันครับ โดยเจ้าหูฟัง Nokia E3500 ตัวนี้ก็จัดไมโครโฟนข้างละ 2 ตัว รวมเป็น 4 ตัวมาให้ เวลาพูดคุยโทรศัพท์ ปลายสายจะได้ยินชัดเจน ทั้งยังมีเทคโนโลยี Qualcomm cVc (Clear Voice Capture) เพื่อช่วยประมวลผลและตัดเสียงรบกวนภายนอกออกไปได้ครับ
ทั้งนี้ ตัวไมโครโฟนถือว่าทำได้ดีเวลาเดินในที่คนเยอะๆ หรือกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ แต่ถ้าเจอลมแรงๆ อย่างตอนนั่งมอเตอร์ไซค์ก็อาจสู้แรงลมไม่ได้ครับ

แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุดถึง 25 ชั่วโมง
ส่วนใครกังวลเรื่องแบตเตอรี่สามารถชาร์จ 1 ครั้งสามารถใช้งานได้นานถึง 7 ชั่วโมงครับ แต่ถ้าพกเคสชาร์จ และตัวเคสแบตเต็มด้วยก็จะชาร์จได้ต่อประมาณ 3 ครั้ง ทำให้ใช้ได้นานสุดกว่า 25 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จเคสให้เต็ม 1 รอบก้ใช้ประมาณ 2 ชั่วโมงครับ
โดยจะมีไฟ LED สีขาวเพื่อบอกสถานะแบตเตอรี่ของเคสระหว่างที่เราชาร์จด้วย ดังนี้
- กระพริบ 1 ครั้ง : แบตใกล้หมด
- กระพริบ 2 ครั้ง : แบตประมาณ 30%
- กระพริบ 3 ครั้ง : แบตประมาณ 50%
- กระพริบ 4 ครั้ง : แบตประมาณ 80%
- ไฟติดตลอด : แบตเต็ม 100%

สรุปการใช้งาน
สำหรับ Nokia E3500 โดยรวมเป็นหูฟังไร้สายอีกรุ่นที่ใช้งานได้ดีสมราคาครับ ตั้งแต่ดีไซน์ที่มีความทันสมัย พร้อมด้วยความอึดของแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานครับ ซึ่งจริงๆ Nokia E3500 น่าจะเป็นหูฟังที่ผู้ใช้งานแบบทั่วไปชอบตรงที่ฟีเจอร์ให้มาครบ มีการตัดเสียงรบกวน สามารถควบคุมได้จากการสัมผัสที่ตัวก้าน และให้เสียงเพลงที่อยู่ในระดับที่ดี แต่ถ้าใครต้องการเน้นเสียงเพลงแบบขั้นสูงก็อาจจะไม่ถูกใจบ้างครับ แต่หลักๆ แล้วด้วยราคาเท่านี้และได้ฟีเจอร์ต่างๆ มาครบถ้วนก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาแล้วครับ

ราคา
หูฟังไร้สาย Nokia รุ่น E3500 มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน, ดำ และขาว โดยวางจำหน่ายในราคาเพียง 2,790 บาท และสามารถหาซื้อได้ที่ : https://www.facebook.com/MoretoLifeGadget