Smart Review
รีวิว Obi Worldphone SF1 ดีไซน์เพรียวบาง กระจกหน้าจอยกสูง และแบตฯ 3000mAh ชาร์จเร็ว
Obi Worldphone SF1 สมาร์ทโฟนที่มีดีไซน์กระจกหน้าจอแบบยกสูง มีขนาดหน้าจอ 5 นิ้ว Full HD และตัวเครื่องเป็นโลหะขึ้นรูปแบบยูนิบอดี้ ขับเคลื่อนด้วขุมพลังจาก Qualcomm MSM8939 พื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่อง 16 GB กับแรม 2 GB และแบตเตอรี่ขนาด 3,000 mAh รองรับเทคโนโลยีการชาร์จ Quick Charge 1.0
สรุปข้อมูลสเปค Obi Worldphone SF1
- ขนาดตัวเครื่อง 146 x 74.8 x 8 มม.
- น้ำหนัก 147 กรัม
- ใช้งานได้ 2 ซิม (micro SIM + nano SIM)
- หน้าจอแสดงผล 5 นิ้ว Full HD
- ชิปเซ็ต Qualcomm MSM8939 Snapdragon 615
- ซีพียู 64-bit Octa-core 1.5GHz (Quad-core 1.5GHz Cortex A53 และ Quad-core 1.0GHz)
- จีพียู Adreno 405
- แรม 2GB
- ความจำภายในตัวเครื่อง 16GB เพิ่มได้ด้วย microSD card สูงสุด 64GB
- กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัส พร้อมแฟลช LED
- กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED
- รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านเครือข่าย 3G/4G LTE, WiFi 802.11 a/b/g/n, Bluetooth 4.0
- รองรับระบบ GPS, A-GPS
- รันระบบปฏิบัติการ Android 5.0.2 Lollipop
- แบตเตอรี่ 3,000 mAh (ถอดเปลี่ยนเองไม่ได้) รองรับเทคโนโลยีการชาร์จ Quick Charge 1.0
แกะกล่อง Obi Worldphone SF1
Obi Worldphone SF1 มาในกล่องแบบแท่งทรงสูงพลาสติก มีฝาครอบแบบใส ซึ่งเห็นตัวเครื่องตั้งแต่ยังไม่แกะออกจากล่อง ภายในจะมีตัวเครื่อง Obi Worldphone SF1 พร้อมแบตเตอรี่ในตัว, อะแดปเตอร์, สาย microUSB, เข็มจิ้มถาดใส่ซิม และคู่มือการใช้งาน
ดีไซน์ ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
Obi Worldphone SF1 มีดีไซน์ที่แปลกตาด้วยกระจกหน้าจอที่ยกสูงลอยขึ้นมาประมาณ 0.2 มม. โดยตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งตัวและขัดเงาบางเพียง 7.8 มม. เมื่อรวมกับกระจกหน้าจอที่ยกสูงก็อยู่ที่ 8 มม. ลักษณะของผิวตัวเครื่องให้สัมผัสที่ไม่ลื่นมือ ซึ่งผิวลักษณะนี้จะช่วยในเรื่องของคราบมันโดยเฉพาะการลดคราบที่เกิดจากรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
ขอบตัวเครื่องของรุ่นนี้มีความโค้งมนทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ทำให้การจับใช้งานถนัดมือมากขึ้น โดยสีตัวเครื่องหลักจะเป็นสีดำ ตัดกับสีขอบบนกับขอบล่างตัวเครื่องที่เป็นเงินออกไปทางสีเทาสเปซเกรย์ ซึ่งรุ่นในรีวิวนี้เรียกว่าสี Silver Grey ในส่วนของน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 147 กรัม
หน้าจอของ Obi Worldphone SF1 มีขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p ซึ่งมีความหนาแน่นของพิกเซลประมาณ 443 พิกเซลต่อนิ้ว ในเรื่องของความคมชัดนั้นถือว่าคมชัดมาก โดยแผงหน้าจอเป็นเทคโนโลยี IPS ที่ใช้เทคโนโลยีจาก JDI in-cell คือการรวมเซ็นเซอร์ของระบบสัมผัสเอาไว้ในเนื้อกระจกเพื่อช่วยในเรื่องของความบางเบา และรับการสัมผัสได้ดีมากขึ้น แล้วครอบหน้าจอด้วยกระจก Gorilla Glass 4
เหนือหน้าจอช่องสำหรับเสียงลำโพงสนทนา, เลนส์กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และแฟลช LED สำหรับกล้องหน้า
ล่างหน้าจอไม่มีปุ่มใด ๆ ซึ่งค่อนข้างเหลือมีพื้นที่ว่างไว้เยอะเหมือนกัน โดยปุ่มนำทางทั้ง 3 ปุ่ม ได้แก่ ปุ่มย้อนกลับ, ปุ่มโฮม และปุ่ม Recent App จะอยู่บนหน้าจอแสดงผล
ขอบด้านบนตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. และไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวนรอบข้าง
ขอบด้านล่างตัวเครื่องมีช่องสำหรับเสียงลำโพง, ไมโครโฟนสำหรับเสียงสนทนา และพอร์ตเชื่อมต่อขนาด microUSB (รองรับ OTG) สำหรับชาร์จไฟให้แบตเตอรี่หรือถ่ายโอนข้อมูลผ่านสายเคเบิล
ขอบทางด้านขวาไม่มีปุ่มใด ๆ จะมีเพียงช่องสำหรับจิ้มถาดใส่ซิม ซึ่งรุ่นนี้รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด โดยช่องซิม 1 รองรับขนาด micro SIM และช่องซิม 2 รองรับขนาด nano SIM หรือจะใส่ microSD card แทนก็ได้ ความจุสูงสุด 64GB
ขอบทางด้านซ้ายมีปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่ม Power สำหรับปิด/เปิดตัวเครื่องหรือปิด/เปิดหน้าจอ
ด้านหลังมีเลนส์กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์จาก Sony IMX214 ค่ารูรับแสง f/2.0 และมีแฟลช LED ส่วนฝาหลังไม่สามารถแกะเปิดได้ ภายในมีแบตเตอรี่ขนาด 3,000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว Quick Charge 1.0
อินเตอร์เฟซและฟังก์ชั่นการใช้งาน
Obi Worldphone SF1 รันระบบปฏิบัติการ Android 5.0.2 Lollipop หน้าตาอินเตอร์เฟซดูแปลกใหม่ในบางเมนู แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คงหน้าตาเดิม ๆ แบบ Material Design โดยในหน้าล็อคสกรีนสามารถปลดล็อคหน้าจอโดยการแตะที่ไอคอนในวงกลมแล้วปัดขึ้น หรือแตะแล้วลากไปที่ไอคอนโทรศัพท์เพื่อปลดล็อคเข้าเมนูการโทร และลากไปที่ไอคอนกล้องถ่ายนรูปเพื่อเข้าใช้งานแอพกล้องได้ทันที
เมื่อเข้ามาในหน้าจอหลักหรือหน้าโฮมจะพบกับไอคอนแอพพลิเคชั่นที่จัดเรียงเป็นแถวยาวลงมา 2 แถว ตรงนี้เราสามารถแตะค้างแล้วลากเพื่อย้ายตำแหน่งจัดวางเองได้ รวมไปถึงลากเพื่อลบออกจากหน้าโฮมก็ได้เช่นกัน ส่วนการเลื่อนหน้าจอก็ปัดไปทางซ้ายหรือขวา นอกจากนี้ก็มีไอคอนบอลลูนแสดงตัวเลขการแจ้งเตือนที่ไอคอนแอพพลิเคชั่นด้วย
เมื่อแตะค้างบริเวณพื้นที่ว่างในหน้าโฮม จะมีเมนูให้เลือกปรับแต่งส่วนนี้ได้ ได้แก่ เปลี่ยนภาพวอลเปเปอร์, เพิ่มวิดเจ็ต, เข้าไปสู่การตั้งค่า และเข้าไปสู่เมนูจัดการแอพพลิเคชั่น นอกจากนี้แล้วเมื่อลากขึ้นมาก็จะพบกับเมนูการปรับแต่งหน้าโฮมอื่น ๆ ได้แก่ แถบการค้นหา, เอฟเฟ็กต์เมื่อเลื่อนหน้าจอ เป็นต้น
App Drawer จัดเรียงแบบ 4 x 6 แถว เมื่อแตะค้างที่ไอคอนแอพพลิเคชั่นสามารถลากเพื่อดูข้อมูลหรือลบการติตตั้งได้ (เฉพาะแอพพลิเคชั่นที่ติดตั้งเพิ่มเติมมาเครื่อง ส่วนแอพพลิเคชั่นระบบไม่สามารถลบออกได้)
ลากแถบบาร์ด้านบนลงมาจะเป็นในส่วนของการแจ้งเตือนต่าง ๆ และแผง Control panel สำหรับปิด/เปิดการใช้งานเมนูต่าง ๆ เพื่อความรวดเร็วโดยไม่ต้องเข้าเมนูการตั้งค่าให้ยุ่งยาก
เมื่อแตะที่ปุ่ม Recent App (ปุ่มขวาสุด) จะเป็นส่วนของรายการแอพพลิเคชั่นที่เปิดใช้งานอยู่ล่าสุด สามารถแตะที่รายการเพื่อเข้าใช้งานต่อหรือปิดใช้งานก็ได้ รวมไปถึงเข้าไปเคลียร์หน่วยความจำแรมโดยการแตะที่เมนู Task Manager
ในส่วนของเมนูการตั้งค่า (Settings) จะแบ่งเป็น 2 แท็บ คือ Common จะเป็นส่วนของเมนูการตั้งค่าที่ใช้งานบ่อย ๆ สามารถเลือกมาไว้ในส่วนนี้ได้ และอีกแท็บคือ All Settings ซึ่งก็คือเมนูการตั้งค่าทั้งหมดของเครื่อง
ฟีเจอร์ท่าทางอัจฉริยะหรือ Smart Function ที่น่าสนใจของ Obi Worldphone SF1 ได้แก่
- Pick-up Call : เมื่ออยู่ในหน้ารายชื่อเบอร์โทร ยกโทรศัพท์มาแนบหูเพื่อโทรออกได้ทันที โดยไม่ต้องกดปุ่มโทรออก
- Flip mute : คว่ำหน้าจอโทรศัพท์เพื่อปิดเสียงสายเรียกเข้า ซึ่งจะไม่กดวางสาย แค่ปิดเสียงเท่านั้น
- Flip speaker : รับสายเรียกเข้าแล้ว เมื่อคว่ำหน้าจอโทรศัพท์จะเป็นการเปิดลำโพง
- Snap page : ปัดมือเหนือ Proximity sensor เพื่อจับภาพหน้านั้น ๆ
- Snap photo : ปัดมือเหนือ Proximity sensor เพื่อจับรูปภาพ
- Enable bottom notification : เปิดใช้งานการแจ้งเตือนโดยลากจากขอบจอด้านล่างขึ้นมา
เมนูการแสดงผล นอกจากจะปรับระดับความสว่างหน้าจอได้แล้ว ยังเข้าเลือกสไตล์หรือหน้าตาของอินเตอร์เฟซได้ด้วย ได้แก่ Obi Lifespeed (หน้าตาแบบที่เปิดใช้งานครั้งแรก) และ Android default style (หน้าตา รวมถึงไอคอนแอพพลิเคชั่นระบบจะเปลี่ยนไปเป็นไอคอนมาตรฐานของ Android)
Obi Worldphone SF1 รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด โดยช่องซิม 1 รองรับขนาด micro SIM และช่องซิม 2 รองรับขนาด nano SIM (ใส่ microSD card แทนได้) ซึ่งทั้ง 2 ช่องรองรับทั้ง 2G/3G/4G แล้วค่อยไปเลือกใช้งานเครือข่ายในเมนูการตั้งค่าได้ว่าต้องการให้ช่องซิมใดใช้งาน 3G/4G ส่วนอีกช่องก็จะสลับไปใช้งาน 2G อัตโนมัติ
สำหรับเครือข่าย 3G รองรับทุกเครือข่ายในไทยบนคลื่นความถี่ 850/900/1900/2100 MHz และ 4G รองรับ FDD คลื่นความถี่ 1800MHz (เครือข่าย dtac) กับ TDD คลื่นความถี่ 2300MHz ซึ่งจะเห็นว่าไม่รองรับ 4G คลื่นความถี่ 2100MHz (TrueMove H)
หากต้องการเชื่อมต่อข้อมูลเครือข่าย 4G ก็ต้องใช้กับซิม dtac เท่านั้นที่เปิดให้บริการ 4G บนคลื่นความถี่ 1800MHz ซึ่งคลื่นความถี่ทั้ง 3 ค่ายน่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในต้นปีหน้านี้ แต่ถ้าไม่ใช้งาน 4G อยู่แล้วก็สามารถเลือกใช้งาน 3G ได้ทุกเครือข่าย
Obi Worldphone SF1 มีระบบเสียง Dolby Audio Surround 7.1 ซึ่งทำงานเมื่อใช้งานกับหูฟัง เสียงที่ได้จะเป็นเสียงรอบทิศทางคล้ายระบบเสียงในโรงภาพยนต์
Obi Worldphone SF1 มีแบตเตอรี่ 3,000 mAh พร้อมโหมดประหยัดพลังงาน ซึ่งจะช่วยลดการใช้งานพลังงานโดยลดการทำงานของระบบ ซึ่งปิดการทำงานเบื้องของแอพพลิเคชั่นทั้งหมด และจำกัดการสั่นด้วย
ตรวจสอบเซ็นเซอร์ด้วย Android Sensor Box และมัลติทัช
- Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
- Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอและแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
- Orientation Sensor ระบบปรับมุมมองการแสดงผลหน้าจออัตโนมัติ
- Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน
- Gyro Sensor ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ 3 แกน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และ
ความยืดหยุ่นหลากหลายในการควบคุม - Sound Sensor ตรวจวัดระดับเสียง
- Magnetic Sensor ตรวจวัดความเข้มสนามแม่เหล็ก
- รองรับมัลติทัชสูงสุด 5 จุด
กล้องถ่ายรูป
Obi Worldphone SF1 มีเลนส์กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์จาก Sony IMX214 ค่ารูรับแสง f/2.0ระบบออโต้โฟกัส และแฟลช LED โดยแอพกล้องที่ติดตั้งมาให้เป็นของ Snapdragon จัดเรียงเมนูการใช้งานซ้ายขวาเหมือนกับกล้องถ่ายรูปในรุ่นอื่น ๆ ซึ่งหน้าตาจะคล้าย ๆ กับของ i-mobile หากใครเคยใช้ก็น่าจะคุ้นตา
กล้องหลังถ่ายภาพได้ขนาดสูงสุด 13 ล้านพิกเซลในอัตราส่วน 4:3, เลือก ISO ได้สูงสุด 800 และเปิด HDR ได้ นอกจากนี้ก็รองรับการแนบตำแหน่งแผนที่ลงในภาพถ่าย และระบบตรวจจับใบหน้า ซึ่งจากการทดสอบใช้งานพบว่าระบบโฟกัสค่อนข้างช้าไปหน่อย
ตัวกล้องมาพร้อมกับ IQ Camera ซึ่งก็มีฟีเจอร์ดังนี้
- ReFocus ถ่ายแล้วเลือกจุดโฟกัสภายหลัง
- ChromaFlas เป็นการถ่ายภาพสองครั้งอย่างรวดเร็ว ภาพหนึ่งแบบใช้แฟลช และอีกภาพไม่ใช้ แล้วนำภาพทั้งสองมาประมวลผลรวมกันเพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด
- OptiZoom เป็นการจำลองการซูมความละเอียดสูงแบบออพติคัล เพื่อลดการแตกของภาพถ่าย
กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED ถ่ายภาพได้ขนาดสูงสุด 5 ล้านพิกเซลในอัตราส่วน 4:3 ซึ่งตัวกล้องไม่มีโหมดหน้าสวยให้ แต่ก็สามารถดาวน์โหลดแอพกล้องตัวอื่นจาก Play Store มาใช้งานได้
กล้องหลังรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุด 1080p ส่วนกล้องหน้าบันทึกวิดีโอได้สูงสุด HD 720p
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปจุดเด่น
- หน้าจอขนาด 5 นิ้ว IPS Full HD
- ระบบปฏิบัติการ Android 5.0.2 Lollipop
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด 3G/4G
- ชิปประมวลผล 64-bit Octa-core 1.5GHz
- แรม 2GB
- ความจำตัวเครื่องให้มา 16GB เพิ่มความจำภายนอกได้ด้วย microSD สูงสุด 64GB
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ใช้งานหลากหลาย
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ 3,000 mAh รองรับระบบชาร์จ Quick Charge 1.0
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ฝาหลังและแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนเองไม่ได้
- รองรับ 4G เฉพาะคลื่นความถี่ 1800MHz ซึ่งก็มี dtac ที่เปิดบริการแล้ว และ 2300MHz
- ไม่รองรับ NFC
Obi Worldphone SF1 รุ่นความจุ 16GB จะเริ่มวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการบนเว็บไซต์ Lazada ในราคา 7,290 บาท โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนธันวาคมนี้ รอติดตามกันได้ที่นี่
ขอบคุณ Obi Worldphone