OPPO และ IHS Markit เปิดตัวรายงานการวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะในงาน OPPO INNO DAY 2019 เพื่อการพัฒนาระบบ Ecosystem อย่างยั่งยืนสำหรับอนาคตการเชื่อมต่อแบบไร้ขีดจำกัด
- ระบบ Ecosystem ของเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะ ได้รับการคาดการณ์ว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการตลาด และเปิดโอกาสให้กับอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนได้มากยิ่งขึ้น
- ภายในปี พ. ศ. 2566 ประมาณหนึ่งในสี่ของโทรศัพท์มือถือ จะมี 7 พันล้านเครื่องถูกจัดส่งทั่วโลก และจะมีการรวมเทคโนโลยี 5G ไว้ในนั้นด้วย และภายในปี 2568 ทุกสองในสามของสมาร์ทโฟนจะมี AI ฮาร์ดแวร์ ที่ได้รับการสร้างไว้ล่วงหน้า โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของ IHS Markit Forecasts
- Smart Speakers หรือลำโพงอัจฉริยะ จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจาก 100 ล้านเครื่องในปีนี้ เป็นมากกว่า 800 ล้านเครื่องในสามปีข้างหน้า
แบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำระดับโลก OPPO และ IHS Markit ผู้นำด้านการวิเคราะห์ตลาดระดับโลก ร่วมมือกันตีพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับการเชื่อมต่ออัจฉริยะ และมีการนำเสนอที่ OPPO INNO DAY 2019 โดยใช้ชื่อว่า Intelligent Connectivity: เปิดโอกาสด้วยพลัง 5G, AI และ Cloud โดยเอกสารการบรรยายแนวคิดนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบถึงความสำคัญของการเชื่อมต่ออัจฉริยะ ที่จะช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมสามารถพัฒนาระบบการเชื่อมต่อได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ขณะนี้ทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับโอกาสใหม่ๆ ในยุค 5G ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งในเอกสารรายงานฉบับนี้ เชื่อว่าการเชื่อมต่ออัจฉริยะจะถูกขับเคลื่อนโดย AI, Cloud, Edge Computing และ IoT ระบบ Ecosystem ใหม่ของการเชื่อมต่อที่ชาญฉลาด ที่คาดว่าจะเปิดโอกาสทางการตลาดได้อย่างมากมาย และนำมาซึ่งความเป็นไปได้ในทางอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น
การใช้งาน 5G ได้มาถึง หลังจากมีการขยายและพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง
หลังจากหนึ่งปีของการดำเนินการระบบ 5G วันนี้เครือข่าย 5G กำลังเข้าสู่ชีวิตของเราอย่างรวดเร็ว ในเอกสารเรื่องระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะนี้ ตั้งข้อสังเกตว่าปี 2019 เริ่มมีการเปิดตัวระบบ 5G เชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง และภายในเดือนตุลาคม 2562 มีผู้ให้บริการทางเครือข่ายกว่า 50 ราย ได้เปิดตัวบริการระบบ 5G ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน 3GPPใน 27 ตลาดทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีผู้ให้บริการ 328 รายใน 109 ตลาด ที่ทำการลงทุนในระบบ 5G เช่นกัน
ในเอกสารงานวิจัยนี้ ยังมีการชี้แจงเกี่ยวกับการปรับใช้ 5G ในปัจจุบันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก อย่างประเทศจีน และเกาหลีใต้มีการเชื่อมต่อระบบ 5G ความถี่มากถึง 10,000 5G NR/gNBs ซึ่งทำให้สามารรับ-ส่งข้อมูลได้อย่างมหาศาล ส่วนในประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร ซาอุดีอาระเบีย สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา มีการปรับใช้ระบบ 5G โดยมีการเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยการเชื่อมต่อแบบ 100 5G NR/gNBs อย่างไรก็ตามการพัฒนา 5G อย่างยิ่งใหญ่ และการใช้งาน 5G จะเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศจีน
ระบบ 5G จะก่อให้เกิดการรวมระบบการทำงานของ Cloud, AI และ Edge Computing ได้อย่างรวดเร็ว
5G นั้นแตกต่างจากเทคโนโลยีเซลลูล่าร์รุ่นก่อน ๆ เพราะระบบ 5G ได้รับการออกแบบมาตั้งแต่ขั้นแรกเพื่อตอบสนองความต้องการด้านเทคนิคที่แตกต่างกัน ทั้งรูปแบบของอุปกรณ์ที่ใช้งาน แอพพลิเคชั่น และผู้ใช้งาน
ในรายงานยังคาดการณ์ว่า การเชื่อมต่ออัจฉริยะจะขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันของ AI, Cloud และการเชื่อมต่อแบบไร้สาย (รวมถึง 5G) และอุปกรณ์ IoT เพื่อมอบคุณค่าให้กับองค์กรและผู้บริโภค โดยคุณค่าที่ว่านี้อาจรวมไปถึงการช่วยลดต้นทุนการผลิต การเข้าถึงแหล่งรายได้ใหม่ๆ และทำให้ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งานดียิ่งขึ้น
ระบบ AI ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ขณะนี้เราเพิ่งเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “Narrow” หรือ “Weak AI” ในขณะเดียวกัน 5G แอพพลิเคชั่น, Edge Computing และ Cloud Computing จะช่วยให้การประมวลผล AI ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่การใช้แอพพลิเคชั่นในชีวิตจริง จะพัฒนารูปแบบเป็นแบบ Hybrid Cloud-Edge Model ที่ทำให้ระบบ AI ยิ่งมีประสิทธิภาพ
ในรายงานยังตั้งข้อสังเกตว่า เนื่องจากการเชื่อมต่ออัจฉริยะระหว่าง 5G, AI, Cloud Computing และ Edge Computing บริษัทและองค์กรต่างๆ ควรสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมถึงการสนับสนุนการทำงานร่วมกันกับคู่ค้า เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับธุรกิจ
ระบบเครือข่ายการเชื่อมต่ออัจฉริยะที่กำลังจะเกิดขึ้น จะเป็นการเผยศักยภาพที่ยอดเยี่ยม
การพัฒนาระบบอุปกรณ์ 5G Ecosystem ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอุปกรณ์ที่หลากหลาย ตามเอกสารรายงานของกลางเดือนพฤศจิกายน 2562 ผู้ค้ากว่า 72 รายได้นำเสนออุปกรณ์ 183 อย่างที่ทำงานผ่านระบบ 5G อาทิ สมาร์ทโฟน, อุปกรณ์รับสัญญาณ (Customer Premises Equipment(CPE)), หุ่นยนต์อัจฉริยะ, โดรน และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมาย โดยในอุปกรณ์ทั้งหมด 183 อย่าง มีอุปกรณ์มากถึง 40 อย่างที่ได้มีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ตามการคาดการณ์ของ IHS Markit ประมาณหนึ่งในสี่ของโทรศัพท์มือถือ จะมี 1.7 พันล้านเครื่องที่ถูกจัดส่งทั่วโลก และจะมีการรวมเทคโนโลยี 5G ไว้ในนั้นด้วย และภายในปี 2568 ทุกสองในสามของสมาร์ทโฟนจะมี AI ฮาร์ดแวร์ ที่ได้รับการสร้างไว้ล่วงหน้า
นอกจากนี้ ผู้ช่วยดิจิทัลในรูปแบบของลำโพงอัจฉริยะยังคงเป็นที่ต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลก จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจาก 100 ล้านเครื่องในปีนี้ เป็นมากกว่า 800 ล้านเครื่องในสามปีข้างหน้า
ความสามารถของ AI จะถูกรวมเข้ากับอุปกรณ์ความบันเทิงของผู้บริโภคมากขึ้น ตัวอย่างเช่นกล้องที่มีความสามารถ AI จับคู่กับสมาร์ททีวี หรือกล่อง Streaming ที่สามารถใช้การจดจำใบหน้าเพื่อเริ่มการใช้งาน การเข้าถึงช่องที่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้งานโดยตรง AI ยังสามารถระบุช่วงเวลาสำคัญต่างๆ ได้ด้วย เช่น AI สามารถระบุได้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นในสนามแข่งบอลได้
เนื่องจาก Cloud Gaming ได้ลดอุปสรรคสำหรับผู้ใช้งานอย่างการลดต้นทุนฮาร์ดแวร์ Cloud Gaming และ VR/AR จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้งาน สามารถเข้าถึงเกมส์ได้ทุกที่ทุกเวลาที่พวกเขาต้องการด้วยอุปกรณ์ขนาดเล็ก ความล่าช้า (Latency) จะลดลงเพื่อให้สามารถพัฒนาเกม VR/AR ได้อย่างครอบคลุม ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าในตลาดโลกมากกว่า หนึ่งแสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2018 ตามรายงานของเอกสารการเชื่อมต่ออัจฉริยะ
ในยุคของการเชื่อมต่อที่ชาญฉลาด ยังมีการใช้งานที่ก่อให้เกิดประโยชน์หลายรูปแบบ อาทิ สำหรับอุปกรณ์ IoT ที่ใช้วิดีโอในการเฝ้าระวังระหว่างการขับขี่ และในระบบอุตสาหกรรมอัตโนมัติ
รายงานยังเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ใหม่ๆ ไม่ได้ลดบทบาทความสำคัญของสมาร์ทโฟนในชีวิตของผู้บริโภคลง แต่กลับมีบทบาทสำคัญในเวลาที่ผู้บริโภคใช้งานอุปกรณ์ IoT ที่สมาร์ทโฟนยังทำหน้าที่เป็นเกตเวย์สำหรับอุปกรณ์สวมใส่ เช่น Smartwatches และเครื่องตรวจสุขภาพ จอแสดงผลสำหรับข้อมูล และวิดีโอจากอุปกรณ์อื่น ๆ
เทคโนโลยีที่พัฒนาตลอดเวลาเหล่านี้จะเกิดการทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมการใช้งานของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการมอบความท้าทาย และสร้างโอกาสสำหรับองค์กรและอุตสาหกรรมต่างๆ ให้ตระหนักถึงการเชื่อมต่ออัจฉริยะ ซึ่งจะเปิดโอกาสที่กว้างขวางสำหรับบริษัทฮาร์ดแวร์ และอินเทอร์เน็ตระดับโลกดั่งเช่น OPPO
อ่านรายงานฉบับสมบูรณ์ที่นี่