Featured
รีวิว OPPO Pad Air | OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Cancelling Earbuds แท็บเล็ตดีไซน์บาง โฉบเฉี่ยว และหูฟังที่ชวนดำดิ่งสู่ห้วงมิติแห่งพลังเสียง
รีวิว OPPO Pad Air และ OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Cancelling Earbuds สองอุปกรณ์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปสด ๆ ร้อนร้อน เรียกว่าจะมาเสริมการทำงานให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้ง แท็บเล็ตดีไซน์บาง โฉบเฉี่ยว ที่สนุกได้ไม่จำกัด กับ หูฟังไร้สายที่ชวนดำดิ่งสู่ห้วงมิติแห่งพลังเสียงได้อย่างแท้จริง ใครที่กำลังเล็ง ๆ สองชิ้นนี้มาใช้คู่กับสมาร์ทโฟนอยู่ วันนี้เรารีวิวให้ชมกันแบบเต็ม ๆ พร้อมแล้วติดตามครับ!
เราขอแยกเป็นชิ้น ๆ เพื่อความไม่สับสนของข้อมูลผลิตภัณฑ์ละกันเนาะ แต่ต้องบอกเลยว่าทั้งคู่นั้นช่วยส่งเสริมให้การทำงานร่วมกันของ OPPO Ecosystem สมบูรณ์ขึ้นจริง ๆ งั้นมาเริ่มที่ OPPO Pad Air กันก่อนเลยดีกว่าครับ
OPPO Pad Air
สำหรับ OPPO Pad Air ก็ถือว่าเป็นแท็บเล็ตรุ่นแรกจาก OPPO ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย มาพร้อมจุดเด่นในเรื่องดีไซน์ที่น่าพกพาและสเปคที่ครบเครื่องใช้งานได้อย่างหลากหลาย ดั่งสโลแกน “แท็บเล็ตดีไซน์บาง โฉบเฉี่ยว สนุกได้ไม่จำกัด” มีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้เลยครับ
สรุปสเปค OPPO Pad Air
- ขนาดตัวเครื่อง : 240.08 x 154.84 x 6.94 มม.
- น้ำหนัก : ประมาณ 440 กรัม
- หน้าจอ : LCD ขนาด 10.36″ ความละเอียด 2K (2000 x 1200 พิกเซล)
- refresh rate : 60Hz
- CPU : Qualcomm Snapdragon 680 Mobile Platform (6nm)
- GPU : Adreno 650
- RAM : 4GB (+ 3GB RAM Expansion)
- ROM : 64GB
- แบตเตอรี่ : 7,100mAh
- ระบบชาร์จ : ชาร์จไว 18W Fast Charge
- กล้องหน้า : 5MP f/2.2
- กล้องหลัง : 8MP f/2.0
- ระบบปฏิบัติการ : Android 12 ครอบทับด้วย ColorOS 12.1
- สีสัน : Fog Gray
- อุปกรณ์เสริม : รองรับปากกา Stylus
ดีไซน์โฉบเฉี่ยว มอบรูปลักษณ์ดั่งเนินทรายยามพระอาทิตย์ตก
เห็นสเปคคร่าว ๆ ไปแล้ว ทีนี้เรามาดูดีไซน์ตัวเครื่องกันเลยดีกว่า อย่างที่บอกว่า OPPO Pad Air นั้นโดดเด่นในเรื่องดีไซน์อย่างมาก ตามสไตล์ OPPO ที่มักจะแทรกความพิเศษของงานออกแบบเข้ามา ฝาหลังของรุ่นนี้มาพร้อมพื้นผิวแบบ Two-Tone ที่ผสมผสานระหว่างผิวแบบ Sunset dune กับ Reno Glow ได้อย่างลงตัว พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยี 3D finishing แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ที่บริเวณส่วนบนพื้นผิวแบบ Sunset dune ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแถบเนินทรายยามพระอาทิตย์ตกที่สวยงามไร้ที่สิ้นสุด ด้วยกระบวนการ Reno Glow พร้อมการเคลือบ 5 ชั้นและเทคโนโลยี 3D finishing ครั้งแรกในอุตสาหกรรม เป็นดีไซน์ที่น่าทึ่งไม่น้อยเลยล่ะครับ
แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะส่วนล่างที่เป็นพื้นเรียบยังใช้กระบวนการ sandblast ด้วยอนุภาคของรายละเอียดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 0.15 มม. มอบผิวสัมผัสที่มีเลเยอร์มากขึ้น พร้อมรูปลักษณ์แบบโลหะที่โดดเด่นกว่าอีกด้วย
ซึ่งพอรวม 2 พื้นผิวเข้าด้วยกันอย่างประณีตระหว่างแผ่นโลหะและอนุภาคทรายสุดแวววาวที่มีเอฟเฟกต์ 2 แบบที่แตกต่างกัน ก็ทำให้เราเห็นถึงความพิถีพิถันในการออกแบบตัวเครื่องให้โดดเด่นไม่ซ้ำใคร เวลาสัมผัสก็จะได้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากแท็บเล็ตทั่วไปที่มักจะมีฝาหลังเรียบ ๆ พอได้พื้นผิว Sunset dune เข้ามา ระหว่างใช้งานก็ชอบเอานิ้วไปสัมผัสอยู่ตลอด ตรงนี้เราบอกเลยว่าฟินมาก ๆ
ดีไซน์บางเบา จับถือได้อย่างสะดวกสบาย
นอกจากเรื่องผิวสัมผัสที่น่าทึ่งแล้ว ในเรื่องขนาดตัวเครื่องก็ยังเป็นจุดเด่นที่ OPPO Pad Air นำเสนอออกมาได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ตัวเครื่องมาพร้อมน้ำหนักที่เบาประมาณ 440 กรัม พร้อมความบางเฉียบแค่ 6.94 มม. เท่านั้น ทำให้เราสามารถถือใช้งานได้อย่างสะดวกสบายไม่รู้สึกว่าหนักเกินไปถ้าต้องถือใช้งานนาน ๆ
อีกทั้งด้วยผิวสัมผัสที่เป็นแบบด้านทั้งหมดตั้งแต่ฝาหลังไปจนถึงกรอบเครื่อง ยังทำให้เราถือใช้งานได้แบบไม่ต้องกังวลในเรื่องคราบรอยนิ้วมือที่จะมาติดบริเวณตัวเครื่องอีกต่อไป
หน้าจอ 2K HD eye care ขนาดใหญ่ ปกป้องสายตาได้ดี
พลิกกลับมาดูที่หน้าจอกันบ้าง OPPO Pad Air มาพร้อมหน้าจอ 2K HD eye care ขนาดใหญ่ 10.36″ ให้ความเต็มตาในการใช้งานได้เป็นอย่างดี มีขอบหน้าจอที่บางเฉียบเพียง 8 มม. ใช้พื้นที่หน้าจอไปได้มากถึง 83.5% เลยล่ะครับ
ในเรื่องของสีสันก็ต้องชมว่าทำได้ดีเลย มุมมองกว้างใช้ได้ เหมาะสำหรับการใช้งานเพื่อความบันเทิงที่ต้องการความสวยงามคมชัดเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมาพร้อมการแสดงผลสีได้ถึง 1 พันล้านสี ให้ความสมจริงและรายละเอียดที่มากขึ้นไปอีก ใครที่ชอบดูหนังหรือภาพความละเอียดสูงบนจอแท็บเล็ต OPPO Pad Air ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนครับ
ส่วนความสว่างรุ่นนี้ก็มี smart backlight ที่สามารถปรับเพิ่ม-ลดแสงได้ถึง 2,048 โซน ช่วยมอบความนุ่มนวลเวลาใช้งานในหลาย ๆ สภาพแสงได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็นเรื่องการถนอมสายตาก็ยังได้การรับรองจาก TÜV Rheinland ด้าน low blue light eye protection ที่จะช่วยลดอาการปวดตาที่เกิดจากการใช้งานเป็นเวลานานได้ มั่นใจได้เลยว่า ถึงแม้จะใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ ก็ยังสบายตาครับ
ลำโพง Dolby Atmos 4 ตัว มอบประสบการณ์เสียงที่ยอดเยี่ยม
นอกจากภาพจะยอดเยี่ยมด้วยหน้าจอขนาดใหญ่แล้ว ระบบเสียงของ OPPO Pad Air ก็ไม่น้อยหน้าได้ลำโพงสตูดิโอ 4 ตัว พร้อมดีไซน์แบบสมมาตรคือมีทั้งฝั่งซ้าย-ขวาของตัวเครื่องเวลาเราถือใช้งานก็จะได้เสียงที่กระจายออกรอบทิศทาง ให้มิติแบบ 3D นอกจากนี้ยังมีพร้อม sound chamber ขนาดใหญ่ถึง 0.8cc และกำลังไฟ 1W เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเสียงของลำโพงในทุกย่านความถี่
แต่แค่ลำโพง 4 ตัวยังไม่เพียงพอเพราะ OPPO Pad Air ยังมาพร้อมเทคโนโลยี Dolby Atmos และรองรับ Dolby Audio decoding ที่เข้ามาช่วยมอบประสบการณ์เสียงแบบ 3D เมื่อเล่นวิดีโอที่มีการใช้เอฟเฟกต์เสียง Dolby หรือ Dolby Atmos อีกด้วย
เท่าที่ลองฟังก็ยอมรับเลยว่าคุณภาพเสียงจากลำโพง 4 ตัวนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ได้ทั้งความดังและมิติ เอามาดูหนังหรือฟังเพลงนี่ถูกใจแบบสุด ๆ แน่นอนครับ
ตำแหน่งต่าง ๆ วางไว้ได้ดี
ตำแหน่งต่าง ๆ ของ OPPO Pad Air ก็วางไว้ได้ดีเลย เริ่มจากกล้องหน้าที่วางในตำแหน่งเหนือหน้าจอตรงกลางเมื่อใช้งานในแนวนอน ซึ่งเราว่าเหมาะสมดีเลย เพราะทุกวันนี้การใช้งานแท็บเล็ตส่วนใหญ่จะเป็นแนวนอนหมดแล้วเวลาใช้งาน Video Call มองไปที่หน้าจอก็จะรู้สึกว่าสายตามองตรงไปมากกว่าตำแหน่งซ้ายมือด้วยครับ
ส่วนปุ่มกด OPPO Pad Air จะมีปุ่ม Power อยู่ที่มุมซ้ายมือและปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงอยู่ด้านบน หรือถ้าสลับมาใช้งานในแนวตั้งก็จะเป็นปุ่ม Power อยู่ด้านบนและปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงอยู่ฝั่งขวา ใช้งานได้อย่างคล่องตัวไม่อึดอัดครับ
พอร์ตการเชื่อมต่อจะอยู่ที่ด้านล่างตัวเครื่องเป็นพอร์ต USB-C มาตรฐานเพียงพอร์ตเดียว ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.มาให้ครับผม
และที่ด้านข้างเครื่องก็จะมีช่องใส่ microSD ให้เราได้เพิ่มหน่วยความจำภายนอกเพิ่มเติมได้สูงสุด 512GB หาก 64GB ที่ให้มาในเครื่องไม่พอเนาะ ตรงนี้ก็ช่วยให้เราใช้งาน OPPO Pad Air ได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวว่าความจุจะไม่พอให้เก็บเพลง รูป หรือหนังที่ชอบแล้ว
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ OPPO Pad Air ก็ถือว่าออกแบบมาได้ดีสมกับที่เป็นแท็บเล็ตจาก OPPO ที่มักจะมีความโดดเด่นและแตกต่างเสมอ บนรุ่นนี้ได้ฝาหลัง 2 พื้นผิวที่เราชอบมาก รูปลักษณ์ก็ว่าสวยแล้ว พอได้ลองสัมผัสแล้วยิ่งติดใจความนูน 3D ของฝาหลังที่ชวนให้เราลูบซ้ำ ๆ ที่ได้จับเครื่อง อีกทั้งตัวเครื่องยังมีขนาดและน้ำหนักที่บาง-เบาน่าพกพา จะพกติดกระเป๋าไปใช้งานก็ไม่เพิ่มน้ำหนักจนเกินไป จะถือใช้งานนาน ๆ ก็ไม่หนักจนปวดข้อมือ
ประสบการณ์การใช้งานแท็บเล็ตที่ยอดเยี่ยมด้วย ColorOS
มาต่อในเรื่องซอฟต์แวร์และการใช้งานกัน! OPPO Pad Air มาพร้อม ColorOS ที่มีพื้นฐานจาก Android 12 มีการปรับ UI ให้เข้ากับแท็บเล็ตหน้าจอใหญ่มากขึ้น ทั้งไอคอน, Wallpaper, Notification Bar หรือในหน้า Settings ต่าง ๆ เป็นต้นครับ
Gesture มากมาย ช่วยให้ทำงานบนจอใหญ่ง่ายขึ้น
ในเรื่องการใช้งานต่าง ๆ OPPO ก็ออกแบบ Gesture มาให้เราได้ใช้งานง่ายขึ้น อาทิ การแบ่งหน้าจอ, การใช้ Dual Windows หรือเรียกแอปแบบด่วน ๆ ก็ทำได้ง่ายขึ้นกว่าไปอีกด้วยคำสั่งท่าทางดังต่อไปนี้ครับ
Two-finger split screen
เราสามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งาน 2 แอปพร้อมกันบน OPPO Pad Air ง่าย ๆ เพียงแค่ใช้ 2 นิ้วรูดลงมาตรงกลางหน้าจอเท่านั้น ตัวแอปที่เราเปิดอยู่จะถูกพักไว้ที่มุมจอและให้เราได้เลือกแอปต่อไปหรือใช้งานส่วนที่เหลือได้อย่างอิสระ เพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้นจริง ๆ ครับ
Dual windows
นอกจาก Two-finger split screen แล้ว เรายังสามารถใช้งาน 2 แอปหรือ Dual windows ได้ด้วยการแตะที่ไอคอนหน้าต่างคู่ใน Recent App ได้ด้วย พอแตะเข้าไปแล้วตัวแอปที่ใช้อยู่จะพักไปที่มุมจอให้เราเลือกใช้งานแอปถัดไปแบบเดียวกันครับ
Flexible windows
หรือถ้าแบ่งคู่ 2 หน้าจอแล้วใช้พื้นที่เยอะไป อยากแค่ให้แอปลอยอยู่บนหน้าจอเฉย ๆ ตรงนี้ก็มี Gesture ให้ใช้ด้วย เพียงแค่ใช้ 4 หรือ 5 นิ้วของเราจีบเข้าหากันในขณะที่เปิดแอปอยู่ ตัวหน้าต่างจะถูกย่อลงมาเป็น Floating windows ลอย ๆ อยู่ เราจะลากไปที่มุมจอหรือขยายขึ้นอีกเล็กน้อยก็ได้เลย สะดวกสุด ๆ ครับ
Smart Sidebar
ปิดท้ายที่ Smart Sidebar ที่อยู่คู่ ColorOS มานาน แต่พอมาอยู่บนแท็บเล็ตที่หน้าจอใหญ่ขึ้นแบบนี้ก็ใช้งานได้มากขึ้นไปอีก เพราะเราสามารถเลื่อนแถบที่มุมขวาของหน้าจอออกมาแล้วเลือกแอปใด ๆ ในนั้นมาใช้งานได้ทันแบบ Floating windows หรือจะลากมาร่วมกับแอปอื่น ๆ เพื่อเปิดเป็น Dual Windows ก็ได้เช่นกันครับ
ในเรื่องของประสบการณ์การใช้งาน ต้องบอกเลยว่า OPPO คิดมาเป็นอย่างดีให้เราได้ทำงานอย่างคล่องตัว ไม่ว่าจะเปิดแอป สลับไป-มา เลือก 2 แอปมาทำงานในหน้าจอเดียว หรือจะย่อขยายหน้าต่างแอปได้อิสระ ทั้งหมดนี้ถูกคิดมาอย่างดีจนเราแทบไม่ขัดใจเวลาเราจะเลือกใช้เลยจริง ๆ ครับ
ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 680 Mobile Platform
มาต่อในเรื่องประสิทธิภาพ OPPO Pad Air มาพร้อมชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 680 Mobile Platform แบบ Octa-Core ขนาด 6nm คู่กับความจุ 4GB + RAM Expansion สูงสุด 3GB นอกจากนี้ยังมีระบบ AI System Booster 2.1 มอบประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างหลากหลายและลื่นไหล
เราทดสอบคะแนนจาก AnTuTu Benchmark คร่าว ๆ ก็ออกมาที่ 253321 คะแนน
ส่วนคะแนนจาก Geekbench 5 ก็ได้ Single-Core ไปที่ 378 คะแนน และ Multi-Core ที่ 1606 คะแนนครับ เรียกว่าเพียงพอต่อการใช้งานเพื่อความบันเทิงและทำงานแล้วล่ะครับระดับนี้
เล่นเกมกันหน่อย!
ได้สเปคมาแบบนี้การเล่นเกมก็คงเป็นหนึ่งในการทดสอบความแรงของสเปคล่ะเนาะ สำหรับเกมที่เราจะใช้ทดสอบ OPPO Pad Air ในรอบนี้คือ Asphalt 9 และ Apex Legends ครับผม ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาดังนี้
เล่น Asphalt 9 บน OPPO Pad Air
สำหรับเกมแข่งรถภาพสวยการได้เล่นบนหน้าจอขนาดใหญ่นี้ก็คงถูกใจอย่างแน่นอน เราสามารถปรับระดับกราฟิกได้ที่ High Quality หรือสูงสุดเลย ภาพที่แสดงออกมาสวยงามเต็มตามาก ๆ บนจอของ OPPO Pad Air ขนาด 10.36″ นี้ครับ ความลื่นไหลก็อยู่ในเกณฑ์ดีเลยด้วย
เล่น Apex Legends บน OPPO Pad Air
ส่วนเกมยิงแนว Battle Royale อย่าง Apex Legends เราสามารถเลือกกราฟิกได้ที่ Normal และเฟรมเรต High เท่าที่เราลองเล่นก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียวครับ ตัวเกมรันได้อย่างลื่นไหลที่ 40fps แทบทั้งเกม กราฟิกก็สวยกำลังดี แต่อีกจุดที่เราชอบก็คือมิติเสียงของลำโพงที่พอเล่นกับเกมแนวนี้แล้วสุดยอดมาก ๆ รู้ตำแหน่งของศัตรูแบบชุดเจนจริง ๆ ครับ
แบตเตอรี่ 7,100 mAh ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน
ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ OPPO Pad Air มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุเยอะถึง 7,100mAh ถือว่าเยอะมาก ๆ ในบอดี้บางแค่ 6.94 มม.แบบนี้ ด้วยความจุระดับนี้ช่วยให้เราใช้งานได้ตลอดทั้งวันแบบสบายใจ ทาง OPPO เคลมว่าใช้ดูวิดีโอ HD 1080P ได้นาน 12 ชม.หรือ Video Call ผ่าน Zoom ได้นานถึง 15 ชม.กันเลยทีเดียวครับ
ส่วนระบบชาร์จก็ให้มาที่ 18W Fast Charge อาจจะไม่เร็วมากนักเมื่อเทียบกับขนาดแบตฯที่ให้มา แต่ก็ถือว่าชาร์จได้เร็วพอสมควรล่ะครับมาตรฐานนี้
สรุปแล้ว “นี่คือแท็บเล็ตดีไซน์บาง โฉบเฉี่ยว สนุกได้ไม่จำกัดจริง ๆ”
สรุปให้เลยละกันครับ สำหรับ OPPO Pad Air ก็ถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่มีดีไซน์ยอดเยี่ยม โฉบเฉี่ยว บาง-เบา ด้วยพื้นผิวฝาหลังที่ออกแบบมาพิเศษไม่เหมือนใครกับผิว Sunset dune ผสานกับ OPPO Glow ได้อย่างลงตัว ชวนให้สัมผัสและหลงรักได้ทันที่อยู่บนมือ หน้าจอ 2K HD Eye care ที่มอบความเต็มตาในการใช้งานแถมยังถนอมสายตาที่เหนือกว่า มีสเปคที่ตอบโจทย์การใช้งานด้วยชิป Qualcomm Snapdragon 680 Mobile Platform แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,100mAh และที่ขาดไม่ได้ก็คือซอฟต์แวร์ ColorOS ที่ปรับแต่งมาอย่างดี ให้ใช้งานได้อย่างคล่องตัวและสมกับความเป็นแท็บเล็ตอย่างแท้จริง! ใครที่กำลังมองหาแท็บเล็ตคุณภาพดีจากแบรนด์ OPPO อยู่ เราว่า OPPO Pad Air รุ่นนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Canceling Earbuds
มาต่อกันที่หูฟัง OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Canceling Earbuds อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เราจะรีวิวกันในวันนี้ รุ่นนี้มาพร้อมกับสโลแกนว่า “Diving into the Scene” หรือ “ดำดิ่งสู่ห้วงมิติแห่งพลังเสียง“ เน้นเรื่องระบบตัดเสียงรบกวนอย่างจริงจังเลยล่ะครับ เรามาสรุปคุณสมบัติคร่าว ๆ ของรุ่นนี้กันหน่อยครับ…
คุณสมบัติเด่น OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Canceling Earbuds
- ขนาดเคสชาร์จ : ประมาณ 66.84 x 51.45 x 25.04 มม.
- น้ำหนักเคสชาร์จ : 41.8 กรัม
- น้ำหนักหูฟัง : 4.3 กรัม x 2
- ประเภทหูฟัง : True Wireless Earbuds
- ไดรเวอร์ไดนามิก : 12.4 มม.
- Bluetooth : เวอร์ชั่น 5.2
- แบตเตอรี่ : หูฟัง 43 mAh | เคสชาร์จ 440 mAh
- พอร์ตการเชื่อมต่อ : USB-C
- กันฝุ่นกันน้ำ : IP54
- สีสัน : White, Gray
ดีไซน์เคสแบบ Refractive Bubble Case
ได้เวลามายลโฉม OPPO Enco Air2 Pro กันแล้วครับ ตัวเคสของรุ่นนี้จะใช้ดีไซน์แบบ Refractive Bubble ฝาครอบด้วยบนมีความสะท้อนแสงรูปทรงฟองอากาศ 2 ชั้นแบะโปร่งใส คือเวลาเรามองเข้าไปจะเห็นเลยว่าที่ฝาเคสชาร์จจะมีเลเยอร์อยู่ 2 ชั้นให้มิติและให้ความรู้สึกเหมือนฟองอากาศที่น่าสนใจ
ตัวเคสชาร์จยังมีรูปทรงโค้งมนและเพรียวบางน่าสัมผัส OPPO เรียกว่าดีไซน์แบบนี้ว่า Smilling Curve Design คือเมื่อเปิดเคสชาร์จจะมีลักษณะโค้งมนเหมือนรอยยิ้ม และด้วยการออกแบบใหม่นี้ทำให้เมื่อเรามองเห็นหูฟังได้มากถึง 77% เมื่อเปิดฝาเคสขึ้นมา เทียบกับแบบก่อนที่ 50%
หูฟังทรง In-Ear สวมใส่สบาย
ส่วนตัวหูฟังก็มาในทรง In-Ear ที่มีก้านยื่นออกมาเพื่อให้เราจับสวมใส่ได้ง่าย แม้จะเป็นทรง In-Ear แต่ด้วยการออกแบบที่เพรียวบางก็ทำให้เราสวมใส่ได้อย่างสะดวกสบาย ลดแรงกดจากการใส่เป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ตัวก้านหูฟังจะมี Touch Panel ที่ให้เราใช้สั่งงานหูฟังได้แบบสัมผัสอีกด้วย
ฟังได้ไร้กังวลด้วยมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP54
ในเรื่องความทนทาน OPPO Enco Air2 Pro ก็ได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ IP54 กันละอองน้ำหรือฝนได้อย่างมั่นใจ ทำให้เราจะใส่ไปออกกำลังกายหรือใส่ลุยฝนก็ไม่ต้องกลัวว่าหูฟังจะเป็นอะไรครับ
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ OPPO Enco Air2 Pro ก็ถือว่าออกแบบมาได้ดีเลย ด้วยรูปทรงโค้งมนเพรียวบางและความเป็น OPPO ที่แทรกดีไซน์เก๋ ๆ อย่าง Refractive Bubble Case เข้ามาที่ฝาเคสชาร์จและ Smilling Curve Design ที่ทำให้ดีไซน์นั้นโดดเด่นกว่าหูฟังไร้สายรุ่นไหน ๆ เราชอบเลยเป็นดีไซน์ที่ผ่านการคิดมาอย่างพิถีพิถันจริง ๆ
เชื่อมต่อได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
มาต่อในเรื่องการเชื่อมต่อ OPPO Enco Air2 Pro นั้นเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth 5.2 ซึ่งหากเป็นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของ OPPO เองก็จะมีฟีเจอร์ Quick pairing ที่แค่เปิดฝาเคสชาร์จและนำไปใกล้ ๆ ก็จะมี Pop-Up ขึ้นมาให้เราจับคู่ได้ทันที
ประสิทธิภาพเต็มรูปแบบด้วยไดรเวอร์ไดนามิก 12.4 มม.
เชื่อมต่อกันเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลามาลองฟังกันแบบจริงจังสักที OPPO Enco Air2 Pro มาพร้อม Titanized diaphragm drivers ขนาดใหญ่ถึง 12.4 มม. ซึ่งการที่มีไดรเวอร์ขนาดใหญ่ก็ยิ่งเพิ่มการดันอากาศมากขึ้น ทำให้เกิดพลังในการสั่นสะเทือนมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือจะช่วยให้เรื่องของเบสให้มีแน่นมากขึ้น
คุณภาพเสียงที่เราได้ลองฟังต้องบอกว่ามีไดนามิกสูงและเสียงที่สมดุล เสียงแหลมที่ละเอียดอ่อน เสียงเบสที่ทุ้มลึกและทรงพลังใช้ได้เลย และด้วยความเป็นทรงหูฟังแบบ In-Ear ก็ยิ่งให้ความแน่นและเข้าหูมากขึ้น ทำให้เสียงที่ขับออกมานั้นชัดเจน เก็บรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนแน่นอน
นอกจากนี้ OPPO Enco Air2 Pro ยังมาพร้อม Chamber หลังขนาดใหญ่ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มความสม่ำเสมอของประสิทธิภาพเสียงเบสสำหรับผู้ที่ชื่นชอบจังหวะดนตรีหนักแน่น ไม่ว่าจะเป็นเพลงร็อค ป๊อป หรือแดนซ์ ซึ่งเราสามารถเข้าไปเปิดเอฟเฟกต์เสียงเบส Enco Live ที่เพิ่มความทุ้มลึก หนักแน่น และเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นได้ด้วย
ANC ระบบตัดเสียงชั้นยอด ประสบการณ์ระดับ HD
จุดเด่นที่สุดของ OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Canceling Earbuds ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องระบบตัดเสียงรบกวน (ก็ใส่มาในชื่อซะเต็มยศขนาดนี้) OPPO เลือกใส่ชิป Active Noise Cacellation (ANC) แบบ dual-core ที่สามารถจับและปรับสัญญาณรบกวนความถี่ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น เสียงรถไฟฟ้าใต้ดิน, รถโดยสารประจำทาง เสียงจากหอพักหรือสำนักงานให้เงียบสนิทในการใช้งานได้
ทำให้เราเต็มอิ่มไปกับเสียงเพลงหรือเสียงคลิปได้อย่างไม่ต้องมีอะไรมากวนใจ และหากจะพูดคุยกับคนอื่นก็ยังมีโหมด Transparency ที่ช่วยรับเสียงจากภายนอกเข้ามาให้เราพูดคุยกันได้โดยไม่ต้องถอดหูฟังเลย เพียงแค่แตะค้างที่หูฟังก็จะสลับโหมดการทำงานของ ANC กับ Transparency ได้แล้วครับ
ความหน่วงต่ำใส่เล่นเกมได้ด้วย
สำหรับใครที่อยากใช้ OPPO Enco Air2 Pro นี้เล่นเกม ก็ไม่ต้องห่วงในเรื่องความหน่วงเพราะรุ่นนี้มีค่า Latency ที่ต่ำแค่ 94ms จะเลือกเล่นเกมที่มีความไวเสียงสูง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา อย่างเช่นเกมแนวยิง ๆ ถ้าความหน่วงไม่ต่ำพอเราจะได้ยินเสียงของกระสุนดีเลย์ ช้ากว่าภาพที่ยิงออกไปแล้วนิดหน่อย แต่บน OPPO Enco Air2 Pro นั้นมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ยอดเยี่ยม เสียงตามทันแบบสุด ๆ ไม่ขัดใจแน่นอนครับ
แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน
ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ OPPO Enco Air2 Pro มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้อย่างยาวนาน ที่ตัวหูฟังเองสามารถฟังต่อเนื่องแบบไม่เปิด ANC ได้ถึง 7 ชม.และ 5 ชม.เมื่อเปิด ANC ส่วนเคสชาร์จก็ยังมีแบตเตอรี่มากพอที่ช่วยชาร์จให้ใช้งานรวมกันได้สูงสุดถึง 28 ชม.และแน่นอนว่าระบบชาร์จก็มี Flash Charging ที่ชาร์จเพียง 10 นาทีสามารถฟังเพลงต่อเนื่องได้อีก 2 ชม.เลยด้วยครับ
สรุปแล้ว “นี่คือหูฟังไร้สายที่ช่วยให้เราดำดิ่งสู่ห้วงมิติแห่งพลังเสียง”
สรุปให้เลยสำหรับ OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Canceling Earbuds รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นหูฟังไร้สายที่มาพร้อมคุณสมบัติระดับไฮเอนด์อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระบบตัดเสียงรบกวน ANC ชั้นยอด, ไดรเวอร์ขนาดใหญ่ถึง 12.4 มม., มีค่าความหน่วงต่ำ มอบประสบการณ์การฟังเพลงเสมือนดำดิ่งสู่ห้วงมิติแห่งพลังเสียงได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ในเรื่องดีไซน์ก็ยังโดดเด่นด้วย Smilling Curve Design โค้งมนเพรียวบางและมีเอกลักษณ์ ใครที่กำลังมองหาหูฟังไร้สายระดับสูงสักตัวไว้ใช้ในทุกรูปแบบทั้งฟังเพลง คุยโทรศัพท์ หรือเล่นเกม OPPO Enco Air2 Pro รุ่นนี้ก็ตอบโจทย์ได้ครบถ้วนแล้วจริง ๆ ครับ!
เริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้!
สุดท้ายและท้ายสุดของจริงกับราคาของ 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ OPPO Pad Air และ OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Canceling Earbuds ก็มีดังนี้เลยครับ
- OPPO Pad Air ราคา 9,999 บาท
- OPPO Enco Air2 Pro True Wireless Noise Canceling Earbuds ราคา 2,499 บาท
ทั้งคู่เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมเป็นต้นไปที่ OPPO Brand Shop ทุกสาขาและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ