Featured
รีวิว OPPO Reno10 5G | OPPO Reno10 Pro 5G สมาร์ทโฟน The Portrait Expert ที่ “ใกล้กว่า โดดเด่นกว่า” ด้วย Telephoto Portrait Camera ครั้งแรกบนสมาร์ทโฟนราคา ระดับกลาง!
รีวิว OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G สองสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก OPPO Reno10 Series 5G ที่จะมายกระดับ The Portrait Expert ของ OPPO ให้เหนือระดับยิ่งขึ้นด้วย Telephoto Portrait Camera ครั้งแรกในสมาร์ทโฟนระดับกลาง ที่ทำให้เราได้ “ใกล้กว่า โดดเด่นกว่า” พร้อมดีไซน์สดใหม่และสเปคที่น่าสนใจเช่นเคย
การใช้งานจะถูกใจเราแค่ไหน และกล้องที่เป็นมิติใหม่ของ The Portrait Expert จะสมคำร่ำลือเพียงใด ติดตามได้ในรีวิวฉบับเต็มของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G นี้ได้เลยครับ!
สรุปสเปค OPPO Reno10 5G
- หน้าจอ : AMOLED 3D Curved Screen ขนาด 6.7″
- ความละเอียด : FHD+ (2412 x 1080 พิกเซล) แสดงผลที่ 10bit (1.07 พันล้านสี)
- Refresh rate : 120Hz
- CPU : MediaTek Dimensity 7050 Mobile Platform (6nm)
- RAM : 8GB (+ 8GB RAM Expansion)
- ROM : 256GB
- microSD : รองรับสูงสุด 2TB
- แบตเตอรี่ : 5,000mAh
- ระบบชาร์จ : ชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC™
- กล้องหน้า : 32MP f/2.4
- กล้องหลัก : 3 ตัว
- กล้องหลัก 64MP (เซ็นเซอร์ OV64B ขนาด 1/2″) f/1.7, PDAF
- กล้อง Tele Portrait 2X 32MP (เซ็นเซอร์ IMX709 RGBW) f/2.0
- กล้อง Ultra Wide 8MP (เซ็นเซอร์ IMX355) f/2.2
- ระบบปฏิบัติการ : Android 13 ครอบทับด้วย ColorOS 13
- สีสัน : Ice Blue, Silvery Grey
สรุปสเปค OPPO Reno10 Pro 5G
- หน้าจอ : AMOLED 3D Curved Screen ขนาด 6.7″
- ความละเอียด : FHD+ (2412 x 1080 พิกเซล) แสดงผลที่ 10bit (1.07 พันล้านสี)
- Refresh rate : 120Hz
- CPU : Qualcomm Snapdragon 778G 5G Mobile Platform (6nm)
- RAM : 12GB (+ 8GB RAM Expansion)
- ROM : 256GB
- microSD : รองรับสูงสุด 2TB
- แบตเตอรี่ : 4,600mAh
- ระบบชาร์จ : ชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC™
- กล้องหน้า : 32MP f/2.4
- กล้องหลัก : 3 ตัว
- กล้องหลัก 50MP (เซ็นเซอร์ IMX890 ขนาด 1/1.56″) f/1.8, PDAF, OIS
- กล้อง Tele Portrait 2X 32MP (เซ็นเซอร์ IMX709 RGBW) f/2.0
- กล้อง Ultra Wide 8MP (เซ็นเซอร์ IMX355) f/2.2
- ระบบปฏิบัติการ : Android 13 ครอบทับด้วย ColorOS 13
- สีสัน : Glossy Purple, Silvery Grey
แกะกล่อง OPPO Reno10 5G | Reno10 Pro 5G
ก่อนอื่นเราขอมาแกะกล่องแบบเร็ว ๆ กันก่อน OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G มาในกล่องสีขาวเหมือนกัน มีชื่อรุ่นระบุไว้ที่ด้านบนเด่น ๆ อย่างที่เห็นนี้เลยครับ
เปิดกล่องชั้นออกเราจะเจอกับกล่องสีขาวอยู่ที่มีโลโก้ OPPO ภายในเหมือนทุกที ในนี้จะมีอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นให้มาครบ 6 อย่างเหมือนกันดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง OPPO Reno10 5G | Reno10 Pro 5G
- เคสซิลิโคนใส
- สายชาร์จ USB type-A to type-C
- อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC™ | 80W SUPERVOOC™
- เอกสารคู่มือ
- เข็มจิ้มถาดซิม
The Portrait Expert ใกล้กว่า โดดเด่นกว่า
ไหน ๆ ก็เกริ่นมาแล้วว่า OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G นั้นชูจุดเด่นเรื่อง The Portrait Expert พร้อมยกระดับด้วยกล้อง Telephoto Portrait Camera ที่ทำให้เราได้ “ใกล้กว่า โดดเด่นกว่า” ที่เคย เรื่องแรกที่จะพูดถึงเลยขอเป็นเรื่องกล้องก่อนเลยละกันครับ ทั้ง 2 รุ่นได้กล้องหลังมา 3 ตัวครบช่วง แต่จะมีสเปคที่แตกต่างกันเล็กน้อยดังนี้ครับ
สเปคกล้อง OPPO Reno10 5G
- 64MP กล้องหลัก Ultra-Clear (เซ็นเซอร์ OV64B ขนาด 1/2″) f/1.7, PDAF
- 32MP กล้อง Tele Portrait Camera 2X (เซ็นเซอร์ IMX709 RGBW) f/2.0
- 8MP กล้อง Ultra Wide (เซ็นเซอร์ IMX355) f/2.2
สเปคกล้อง OPPO Reno10 Pro 5G
- 50MP กล้องหลัก Ultra-Clear (เซ็นเซอร์ IMX890 ขนาด 1/1.56″) f/1.8, PDAF, OIS
- 32MP กล้อง Tele Portrait Camera 2X (เซ็นเซอร์ IMX709 RGBW) f/2.0
- 8MP กล้อง Ultra Wide (เซ็นเซอร์ IMX355) f/2.2
จะเห็นว่า OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G นั้นได้ชุดกล้องมาคล้ายกันเลย จะต่างกันแค่กล้องหลักเท่านั้นที่ OPPO Reno10 5G ใช้ 64MP ส่วน OPPO Reno10 Pro 5G ใช้ 50MP ส่วนกล้องเสริมอีก 2 ตัวได้กล้อง Tele Portrait Camera และ Ultra Wide มาเหมือนกันครับ
32MP Telephoto Portrait Camera ครั้งแรกของสมาร์ทโฟนราคาระดับกลาง กับกล้องพอร์ตเทรตซูมได้!
จุดเด่นของทั้ง OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G รอบนี้ก็คือกล้อง Telephoto Portrait Camera ความละเอียด 32MP นี่แหละ เพราะนี่ถือเป็นคร้ังแรกของสมาร์ทโฟนราคาระดับกลางท่ีทำให้ถ่ายภาพพอร์ตเทรตแบบซูมออปติคอลได้ 2 เท่า และยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ RGBW IMX709 ขนาดใหญ่ และความละเอียดสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนกลุ่มราคาน้ี มอบการถ่ายภาพพอร์ตเทรตสวย ใบหน้าเป็นธรรมชาติ ทำให้คนโดดเด่น มีมิติใกล้กับวิว คมชัด เก็บทุกรายละเอียดได้ชัดเจน
อย่างที่เราบอกในทุกรีวิวว่าการที่มีระยะให้เลือกมากกว่า 1x ในโหมด Portrait นั้นเป็นข้อดีมาก เพราะจะทำให้เราเข้าใกล้ตัวแบบได้มากขึ้น แถมพอเป็นระยะ 2x ที่ระยะ 47 มม. (ใกล้เคียงกับเลนส์ Portrait ระยะ 50 มม.ของกล้อง) ก็จะได้มิติภาพที่พอดี Perspective ของภาพไม่ผิดเพี้ยนไป ซึ่งพอใช้งานร่วมกับโหมด Portrait ของ OPPO ที่เราสามารถปรับความเบลอของฉากหลังเพิ่มเติมได้เองเหมือนกล้อง DSLR แล้วยิ่งทำให้ภาพนั้นโดดเด่นขึ้นไปอีก หรือถ้าใครอยากได้การละลายแบบสวยจบก็เลือกไปที่โหมด Bokeh Flare Portrait ได้เลยครับ
ซึ่งผลลัพธ์ที่ถ่ายได้จากกล้อง Telephoto Portrait Camera ก็ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมจริง ๆ ครับ พอเข้าใกล้ได้มากขึ้นก็ดึงแบบให้โดดเด่นกว่าที่เคย การละลายฉากหลังถ้าลองปรับให้พอดีสัก f/2.0 – f/2.8 ก็จะได้มิติที่สมจริงเหมือนใช้กล้อง DSLR เลย ส่วนเรื่องความเนียนของใบหน้าก็ต้องบอกว่าทำได้ธรรมชาติ เพราะตัวกล้องไม่ได้ปรับจนเว่อเกิน อยู่ในเกณฑ์ที่สวยกลมกล่อม แต่ถ้าใครที่อยากเพิ่มความเนียนก็มีฟีเจอร์ AI Portrait Retouching ให้เราเลือกระดับความเนียนใสเพิ่มเติมได้อีกครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายเปรียบเทียบของ OPPO Reno10 5G vs OPPO Reno10 Pro 5G
Ultra-Clear Portrait Camera กับกล้องหลักยอดเยี่ยม
แม้ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G จะชูกล้อง Telephoto Portrait Camera แต่ในระยะ 1x กล้องของทั้งคู่ก็ยังถ่ายทอดความเป็น The Portrait Expert ได้ดี เพราะได้ชุดกล้องคุณภาพสูง Ultra-Clear Portrait แบ่งเป็น 64MP (เซ็นเซอร์ OV64B ขนาด 1/2″) และ 50MP (เซ็นเซอร์ IMX890 ขนาด 1/1.56″) คุณภาพเรียกว่าสมกับรุ่นเริ่มต้นและรุ่น Pro จริง ๆ
ฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่การปรับความเบลอของฉากหลังหรือ Bokeh Flare Portrait ก็มีให้เลือกใช้เหมือนตอนเราเลือกระยะ 2x เลย ซึ่งถ้าเราเลือกปรับระดับความเบลออย่างเหมาะสม สัก f/4.0 – f/5.6 ก็จะได้ทั้งความเบลอที่เป็นธรรมชาติในแบบที่ระยะ 1x ควรเป็นแล้ว ภาพที่ได้ก็จะละมุนตาแบบที่ไม่หลอกจนเกินไป อีกทั้งฮาร์ดแวร์กล้องหลัก Ultra-Clear Portrait ที่ยอดเยี่ยมเองยังเสริมให้ภาพถ่ายระยะเต็มตัวออกมาสวยกว่าที่เคยด้วยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายเปรียบเทียบของ OPPO Reno10 5G vs OPPO Reno10 Pro 5G
AI Color Portrait ลูกเล่นโหมด Portrait ดึงแบบให้เด่นจากฉากหลังก็มี
นอกจาก Bokeh Flare Portrait หรือการปรับระยะละลายหลังเองแล้ว OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ยังมีโหมด AI Color Portrait ที่ช่วยละลายฉากหลังเป็นสีขาวดำที่ช่วยดึงแบบให้เด่นไปอีกรูปแบบด้วย ซึ่งฟิลเตอร์นี้เราสามารถใช้ได้ทั้งระยะ 1X และ 2X เลยด้วย ช่วยเพิ่มความสนุกในการถ่ายพอร์ตเทรตเพิ่มอีกเยอะเลย ยิ่งถ้าแบบใส่ชุดสีสันสด ๆ ก็โดดเด่นสุด ๆ ครับ
Portrait Video ก็มี ละลายฉากหลังสวยแบบ Bokeh Flare ด้วยวิดีโอ
ยุคนี้แล้วจะสวยอยู่แค่ภาพนิ่งคงกระไรอยู่ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G มีฟีเจอร์ Portrait Video ที่ให้เราถ่ายวิดีโอแบบละลายฉากหลังสวย ๆ ไม่แพ้ภาพนิ่งได้ด้วย เข้าไปเลือกที่ไอคอนฟิลเตอร์แล้วปรับไปที่ Bokeh Flare Portrait ได้เลย หรือจะเลือกปรับความเบลอเองก็ได้ครับ โหมดนี้ยิ่งใช้งานร่วมกับกล้อง Telephoto Portrait Camera ระยะ 2X ยังสวยละมุนเข้าไปใหญ่
เท่าที่ลองก็บอกเลยว่าได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเลยครับ ละลายหลังสวย ใบหน้ายังเนียนไม่แพ้ภาพนิ่ง เก็บบรรยากาศความละมุนละไมได้ในรูปแบบวิดีโอ แต่ก็ยังมีจุดสังเกตเล็ก ๆ คือเมื่อเปิดฟีเจอร์ Bokeh Flare แล้วความละเอียดของวิดีโอจะถูกลดลงเหลือแค่ 720p/30fps ถ้าได้สัก 1080p คงสวยแจ่มกว่านี้อีกเนาะ
เซลฟี่ได้คมชัดด้วยกล้องหน้า 32MP
ถ่ายพอร์ตเทรตได้ครบถ้วนไปแล้วทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ เรื่องเซลฟี่ก็เป็นเรื่องที่ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G เก่งไม่แพ้กัน ทั้งคู่มาพร้อมกล้องหน้า 32MP เหมือนกัน แต่เซ็นเซอร์ที่ใช้ภายในจะแตกต่างกันนิดหน่อยดังนี้ครับ
- OPPO Reno10 5G ใช้กล้องหน้า 32MP เซ็นเซอร์ OV32C, f/2.4
- OPPO Reno10 Pro 5G ใช้กล้องหน้า 32MP เซ็นเซอร์ IMX709 RGBW, f/2.4, AF
ดูจากสเปคแล้วก็ใกล้เคียงกันเลยใช่ไหมล่ะ ในเรื่องคุณภาพก็ทำได้ดีทั้งคู่ ความละเอียดเยี่ยม เก็บใบหน้าเนียนพร้อมฟีเจอร์ AI Portrait Retouching เหมือนกัน แต่ OPPO Reno10 Pro 5G จะได้เปรียบกว่านิดหน่อยตรงเซ็นเซอร์ใหญ่กว่าและมีระบบ Autofocus ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G
โหมดปกติ ที่หันมาเน้นความสมจริงมากขึ้น
ถ่ายพอร์ตเทรตกับเซลฟี่ไปแล้ว คราวนี้ถึงคราวถ่ายภาพทั่วไปกันบ้าง อย่างที่เราได้เห็นตัวอย่างภาพพอร์ตเทรตสวย ๆ ไปแล้ว ภาพทั่วไปก็หายห่วงครับ เก็บรายละเอียดได้สวยครบเครื่องเหมือนกัน แต่ซอฟต์แวร์ของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G จะต่างไปจากรุ่นก่อน ๆ เพราะรอบนี้จะเน้นในเรื่องความสมจริงมากขึ้น โหมด AI Scene Recognition ที่เคยเป็นตัวเลือกนั้นหายไปแล้วครับ
แต่คุณภาพก็ยังเก็บมาครบทั้ง Dynamic Range หรือสีสัน เพราะยังมีฟีเจอร์ AutoHDR อยู่ โทนสีจะออกไปทางสมจริงและใกล้เคียงกับตาเห็นมากขึ้นในทุกกล้อง สีไม่สดจนเว่อเกิน ในขณะที่รายละเอียดและการควบคุมแสงก็ยังอยู่ในระดับน่าพอใจครับ คิดว่านี่เป็นทิศทางใหม่ของ OPPO ที่ปรับซอฟต์แวร์กล้องมาให้ใช้งานจริงจังมากขึ้นนั่นเองครับ!
Ultra Night mode กลางคืนยังประทับใจไม่เปลี่ยน
ส่วนการถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือกลางคืน OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็ยังมี Ultra Night mode มาให้เราเลือกใช้งานเหมือนเดิม โหมดนี้จะเป็นการเก็บภาพหลาย ๆ สภาพแสงและประมวลผลร่วมกันจนได้ภาพกลางคืนที่มีมิติ สีสันสวยงาม รวมทั้งยังลด Noise ให้ภาพคมชัดอีกด้วย
โดยรวมในเรื่องกล้องก็ต้องยอมรับว่า OPPO นั้นเก่งเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะพอร์ตเทรตที่เป็น The Portrait Expert ได้แบบไม่ต้องสงสัย แถมรอบนี้ได้กล้อง Telephoto Portrait Camera ระยะ 2X มาเสริมระยะให้ “ใกล้กว่า โดดเด่นกว่า” อีก ทำให้ผลลัพธ์น่าทึ่งขึ้น ดูเป็นมือโปรมากขึ้นไปอีก ได้ซอฟต์แวร์อันเก่งกาจในการปรับแต่งใบหน้าเนียน ละลายหลังสวย ลงตัวในแบบที่หาได้ยากในสมาร์ทโฟนกลุ่มราคานี้จริง ๆ ครับ
ดีไซน์ใหม่ระดับพรีเมี่ยม
ได้เห็นความสามารถกล้องที่เป็นจุดเด่นของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G กันแล้ว แต่บอกเลยว่าเรื่องดีไซน์ 2 รุ่นนี้ก็โดดเด่นไม่แพ้กันเพราะอัปเกรดดีไซน์ให้พรีเมี่ยมขึ้นด้วย 3D Dual-Curved ที่สวยลงตัวทั้งรูปลักษณ์และการสัมผัส ซึ่งทั้งคู่ใช้ดีไซน์ที่ลงตัวเหมือนกัน
ใช่แล้วครับ ภายนอกของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G นั้นเหมือนกันเป๊ะ ขนาดหน้าจอ ขนาดตัวเครื่อง ใช้ดีไซน์แบบ 3D Dual-Curved คือหน้าจอโค้งและฝาหลังโค้งรับรูปมือ ช่วยให้เราจับถือ ฝาหลังใช้กระบวนการ OPPO Glow อันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้ทั้งความนุ่มนวลเวลาสัมผัสและละเอียดอ่อน
สีไฮไลท์ที่แตกต่างกัน
อ่าว…แล้วงี้เราจะแยก 2 รุ่นนี้ยังไงดีล่ะ ? จุดแตกต่างของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็คือ “สีไฮไลท์” ครับ โดยทั้งคู่จะมีให้เลือกรุ่นละ 2 สีแบ่งเป็น
- OPPO Reno10 5G มีให้เลือก 2 สี สีฟ้า Ice Blue และสีเทา Silvery Grey
- OPPO Reno10 Pro 5G มีให้เลือก 2 สี สีม่วง Glossy Purple และสีเทา Silvery Grey
สีไฮไลท์ของ OPPO Reno10 5G จะเป็นสีฟ้า Ice Blue ที่ได้แรงบันดาลใจจากเส้นแสงคล้ายแสงตะวันที่ส่องผ่านน้ำแข็งสีน้ำเงินที่ทำให้เส้นสีมีชีวิตชีวา อีกทั้งกระบวนการ OPPO Glow แบบใหม่ที่มีการจัดเรียงโครงสร้างคริสตัลระดับจุลภาคที่สม่ำเสมอมากขึ้นบนเอฟเฟกต์ผิวด้านท่ีละเอียดย่ิงขึ้น ทำให้เวลาเราจับถือได้ความนุ่มนวลขึ้นชั้นเจอครับ เป็นสีที่ดูอ่อนโยนและลงตัวมาก ๆ
ส่วนสีไฮไลท์ของ OPPO Reno10 Pro 5G ก็จะเป็นสีม่วง Glossy Purple สีใหม่ระดับพรีเมี่ยมของ Reno Series ท่ีสร้างจากโทนสีม่วงเมทัลลิคหรูหราให้ความรู้สึกที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ฝาหลังจะมีการเคลือบเงาได้ผิวสัมผัสแบบมันวาวแฝงไปด้วยความระยิบระยับภายใน แต่ความรู้สึกเวลาจับถือก็ยังนุ่มนวลได้อย่างน่าทึ่งจริง ๆ ครับ
แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบสีแฟนซีมากนักก็ยังมีตัวเลือกเป็นสีเทา Silvery Grey ให้เลือก สีนี้จะเน้นสุขุมขึ้นแต่ก็ยังแฝงความโดดเด่นด้วยกระบวนการ OPPO Glow ที่ซ้อนทับเข้าไปกับฐานสีเทาเพื่อสร้างพื้นผิวโลหะท่ีสงบและผ่อนคลายได้ดีด้วย
การจัดวางกล้องที่เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างที่บอกว่าดีไซน์ของทั้งคู่เหมือนกันเลย โมดูลกล้องก็โดดเด่นด้วยการจัดวางกล้องที่เชื่อมต่อกันของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G มีการออกแบบสองส่วนที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ครึ่งบนเป็นโลหะลาย CD ภายในมีกล้องหลักและไฟแฟลช ครึ่งล่างทำจากวัสดุกระจกสีดา มีกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera และกล้อง Ultra-Wide-Angle Camera สีทูโทนที่ตัดกันและวัสดุที่ผสมผสาน พร้อมข้อความกำกับว่า AI Portrait Camera ที่เข้ากันได้ดีในทุกสี
บางเฉียบและน้ำหนักแบบที่ Reno Series ถนัด
ความบาง-เบานั้นเป็นจุดเด่นที่ OPPO Reno Series ทำได้ดีมาตลอด ซึ่งบน OPPO Reno10 5G มีความบางเพียง 7.99 มม.และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็ยังทำได้ดีมาก มีความบางเพียง 7.89 มม. และด้วยความโค้งแบบ 3D Dual-Curved นอกจากจะทำให้ตัวเครื่องดูบางลงแล้ว ยังทำให้ถือได้สบายมืออีกด้วย
ส่วนน้ำหนักก็เบาเพียง 185 กรัมเท่านั้น หยิบจับครั้งแรกก็รู้สึกได้ทันทีว่าถือใช้งานสบายแน่นอน ไม่ว่าเราจะถือเล่นโซเชี่ยลนาน ๆ หรือถ่ายรูปต่อเนื่องก็ไม่ปวดข้อมือ เป็นอีกจุดที่ชอบมาก ๆ และ OPPO Reno Series ถนัดมาตลอด
หน้าจอ 120Hz 3D Curved
พลิกกลับมาดูที่หน้าจอกันบ้าง OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G มาพร้อมหน้าจอ AMOLED 3D Curved ขนาด 6.7″ ที่แสดงผลได้เต็มตาดีมาก เพราะมีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 93% ขอบด้านซ้าย-ขวาที่บางเพียง 1.57 มม. และขอบจอด้านล่างที่บางเพียง 2.32 มม. เรียกว่าชิดขอบกันสุด ๆ
ในเรื่องการแสดงผล OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็มีความละเอียด FHD+ (2412 x 1080 พิกเซล) สามารถแสดงสีสันได้ถึง 1 พันล้านสี พร้อมความสว่างแบบ HDR สูงสุด 950 nits มอบประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์ที่ยอดเยี่ยม ทั้งมิติของภาพและสีสันที่ครบถ้วน
นอกจากนี้หน้าจอของ OPPO Reno10 5G ยังมี Refresh rate สูง 120Hz ใช้งานได้อย่างลื่นไหลมาก ๆ ตอบสนองทุกการใช้งานอย่างดี อีกทั้งความทนทานยังผ่านการชุบด้วยกระจกครอบ AGC Dragontrail Star 2 เพื่อให้ต้านทานการตกได้ดีขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับ Corning® Gorilla® Glass 5 ด้วย
รอบเครื่องลงตัวกับตำแหน่งปุ่มกดแบบใหม่
มาดูรอบเครื่องกันเพิ่มเติมหน่อยละกันครับ ตำแหน่งปุ่มกดของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G จะปรับมาไว้ด้านขวามือของตัวเครื่องทั้งหมด เป็นครั้งแรกของ OPPO Reno Series หลังจากที่วางซ้าย-ขวามาโดยตลอดครับ ซึ่งตำแหน่งนี้ก็เป็นมาตรฐานใหม่ที่ใช้มากันสักพักแล้ว ความสะดวกในการกดก็ดีเยี่ยมครับ
ดีไซน์ด้านบนของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G จะเป็นแบบโค้งมน มีลวดลายระยิบระยับเพิ่มความสวยงามเข้าไปอีก พร้อมไมโครโฟนตัวตัดเสียงรบกวน และ IR Blaster สำหรับใช้งานเป็นรีโมทควบคุมอุปกรณ์อื่น ๆ ด้วยครับ
ส่วนด้านล่างก็มีพอร์ตการเชื่อมต่อหลักเป็น USB-C ช่องใส่ซิม, ไมโครโฟนและลำโพงหลักของตัวเครื่องครับ
ช่องใส่ซิมการ์ดของรุ่นนี้จะอยู่ที่ด้านล่างตัวเครื่องอย่างที่เห็นไป ซึ่งถาดซิมจะเป็นแบบ Hybrid Slot คือใส่ได้ 2 ซิม แต่หากจะใส่ microSD ก็ต้องเลือกใส่ในช่องซิม 2 แทนนั่นเองครับ โดยเราสามารถเพิ่ม microSD ได้มากถึง 2TB กันเลยล่ะครับ
ลำโพงคู่ Stereo พร้อมระบบ Ultra Volume
ส่วนเรื่องเสียง OPPO Reno10 5G ก็ได้ลำโพงสเตอริโอคู่ พร้อมระบบ Ultra Volume ที่เพิ่มความชัดเจนของเสียงแหลมสูง โดยสามารถเพิ่มระดับเสียงได้ถึง 200% เมื่อใช้หูฟังหรือลำโพงโดยไม่ทำให้คุณภาพเสียง ลดลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลดเสียงรบกวนและการลดเสียงสะท้อน ทำให้เราได้รับเสียงรอบทิศทางและสามารถดำดิ่งสู่คอนเทนต์ที่ชอบได้ดียิ่งขึ้น
แต่…OPPO Reno10 Pro 5G เป็นลำโพงเดี่ยว !? แม้เราจะบอกว่าภายนอกทั้งคู่ได้รูปลักษณ์มาเหมือนกัน ซึ่งจากที่เราไล่ดีไซน์กันมาก็มีจุดแตกต่างน้อยมาก นอกจากเรื่องสีสันแล้วก็มาเจออีกจุดคือลำโพงนี่แหละครับ ที่รุ่น Pro นั้นได้ลำโพงมาตัวเดียวให้เสียงแบบ mono ต่างจากรุ่น OPPO Reno10 5G ที่ได้ลำโพงคู่มา ทำให้มิติเสียงแอบน้อยกว่าพอสมควร แอบงงเหมือนกันทำไมไม่ให้มาเหมือนกันล่ะ !?
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็ทำได้น่าประทับใจเหมือนเดิมครับ DNA ของ OPPO Reno Series ที่เน้นความบาง-เบาอยู่ครบ แถมได้ดีไซน์ 3D Dual-Curved ที่มอบสัมผัสการจับถือที่ดีเยี่ยม ฝาหลัง OPPO Glow อันโดดเด่นและสีสันใหม่ที่หรูหราระดับพรีเมี่ยมอย่าง สีฟ้า Ice Blue และ Glossy Purple อีกด้วย!
ประสิทธิภาพที่ลื่นไหลด้วยชิปเซ็ตระดับ 6nm
มาต่อในเรื่องประสิทธิภาพ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ได้ชิปเซ็ตทรงพลังระดับ 6nm มาทั้งคู่ แต่รุ่นจะต่างกันดังนี้ครับ
- OPPO Reno10 5G ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 Mobile Platform Octa-core 2.6GHz
- OPPO Reno10 Pro 5G ใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 778G 5G Mobile Platform Octa-core 2.4GHz
ซึ่งประสิทธิภาพต้องบอกว่าทำได้ดีมากในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับกลางครับ มอบความลื่นไหลและการจัดการพลังงานที่ดี
หน่วยความจำขนาดใหญ่พร้อม RAM Expansion
เรื่องหน่วยความจำ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G จะได้ RAM มาแตกต่างกันนิดหน่อยคือ 8GB กับ 12GB ตามลำดับ แต่ทั้งคู่ยังมีฟีเจอร์ RAM Expansion เพิ่มแบบจำลองได้อีกสูงสุด 8GB กับ 12GB เลย เรียกว่าถ้าเปิดใช้งานรวมกันก็สูงสุดถึง 24GB แล้ว หายห่วงเรื่องความลื่นไหลไปได้เลย ส่วน Storage ภายในทั้งคู่ได้มา 256GB เหมือนกันครับ ถ้าคิดว่ายังไม่พอก็เพิ่มเข้าไปได้อีก 2TB ผ่าน microSD อย่างที่บอกไปครับ
ผลทดสอบเป็นไงบ้าง 2 รุ่นนี้!?
เห็นสเปคคร่าว ๆ ของทั้ง 2 รุ่นไปแล้ว ถ้าจะให้เห็นความแรงคร่าว ๆ ก็คงต้องมาทดสอบผ่านแอป Benchmark กันหน่อย โดยคะแนนจาก AnTuTu Benchmark v10 ของทั้งคู่ก็ออกมาดังนี้เลยครับ
- OPPO Reno10 5G = 458170 คะแนน
- OPPO Reno10 Pro 5G = 575088 คะแนน
ส่วนฝั่ง Geekbench 6 ก็ไม่ธรรมดา ทั้งคู่ได้คะแนนดังนี้เลยครับ
- OPPO Reno10 5G = Single-Core 959 คะแนน | Multi-Core 2354 คะแนน
- OPPO Reno10 Pro 5G = Single-Core 1011 คะแนน | Multi-Core 2779 คะแนน
ลองเล่นเกมกันหน่อยดีกว่า
ต่อมาก็เป็นการทดสอบลการเล่นเกมจริง เกมที่เราจะใช้ทดสอบ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G จะมี 3 เกมฮิตอย่าง Asphalt 9, PUBG Mobile และ Genshin Impact เลยครับ และผลก็ออกมาดังนี้
เล่น Asphalt 9 บน OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G
เริ่มที่ Asphalt 9 ก่อนเลย ทั้งคู่สามารถปรับระดับกราฟิกได้ที่ High Quality หรือสูงสุดเหมือนกันครับ แต่บน OPPO Reno10 Pro 5G จะปรับตั้งค่าได้มากกว่านิดหน่อย เพราะเปิด 60fps ได้ ในขณะที่ OPPO Reno10 5G จะได้แค่ 30fps ครับ แต่ประสบการณ์การเล่นก็ถือว่าทำได้ประทับใจทั้งคู่ ภาพสวยเต็มตาบนหน้าจอขนาดใหญ่ สีสันและการแสดงผลครบถ้วน
เล่น PUBG บน OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G
ต่อกันกับเกม PUBG Mobile ในเกมนี้ทั้งคู่ปรับระดับกราฟิกและเฟรมเรตได้เหมือนกันคือ HDR + Ultra เรียกว่าเป็นระดับที่มอบประสบการณ์การเล่นได้เป็นอย่างดี และเท่าที่เราลองเล่นก็ลื่นไหลในระดับ 30fps ภาพกราฟิกสวยเต็มตา การควบคุมที่หน้าจอยอดเยี่ยมครับ
เล่น Genshin Impact บน OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G
ปิดท้ายที่เกมฟอร์มยักษ์อย่าง Genshin Impact ทั้งคู่ปรับตั้งค่าได้หลายระดับ แต่เท่าที่ลองเล่นจริงจังแล้วพบว่า บน OPPO Reno10 5G จะเหมาะกับระดับ Low ส่วน OPPO Reno10 Pro 5G เหมาะกับระดับ Medium ครับ ซึ่งในการตั้งค่านี้จะให้ความลื่นไหลที่ยอดเยี่ยม เล่นได้แบบไม่เจออาการกระตุกหนัก ๆ เลย ใครที่เป็นสาย Genshin ทั้งคู่ก็สามารถเล่นได้แต่ต่างกันที่ระดับกราฟิกนิดหน่อยครับ
ระบบชาร์จไว SUPERVOOC เร็วถึงใจ
ส่วนระบบชาร์จไวของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็ได้ความเร็วสูงระดับ SUPERVOOC™ มาทั้งคู่ แต่สเปคจะแตกต่างกันนิดหน่อยแบ่งเป็น
- OPPO Reno10 5G ระบบชาร์จไว 67W SUPERVOOC™ | ชาร์จเต็มใน 47 นาที
- OPPO Reno10 Pro 5G ระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC™ | ชาร์จเต็มใน 28 นาที
อย่างที่เห็นครับระบบชาร์จไวของทั้งคู่จัดเต็มมาก ๆ ช่วยให้เราใช้งานในเวลาเร่งด่วนได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องคอยรอชาร์จกันนาน ๆ อีกต่อไป!
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh บน OPPO Reno10 5G
เรื่องแบตเตอรี่ทั้งคู่ได้ความจุมาแตกต่างกันเล็กน้อย โดย OPPO Reno10 5G ได้มามากถึง 5,000mAh ก็แอบทึ่งเหมือนกันที่อยู่ในขนาดบาง ๆ แค่ 7.99 มม.ได้ยังไง แถมยังมาพร้อม Battery Health Engine เอกสิทธิ์เฉพาะ OPPO ที่มอบอายุการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ ขยายอายุได้ถึง 1,600 รอบ (สมาร์ทโฟนทั่วไป 800 รอบ) ทำให้แม้จะชาร์จไวขนาดนี้ แต่ก็ยังทนทานใช้งานได้นานแบตฯไม่เสื่อมเร็วแน่นอนครับ
ชิปจัดการพลังงาน SUPERVOOC S บน OPPO Reno10 Pro 5G
ฝั่ง OPPO Reno10 Pro 5G จะได้แบตเตอรี่มาที่ 4,600mAh น้อยกว่ารุ่นน้องนิดหน่อย แต่ก็ได้ชิปจัดการพลังงาน SUPERVOOC S มาทดแทน ซึ่งชิปตัวนี้จะรวม 6 ฟังก์ชั่น ได้แก่ การชาร์จ, การคายประจุ, การถอดรหัส, การรีเซ็ต, การป้องกันแบตเตอรี่ และเบรกเกอร์ไว้ในชิปเดียว เป็นสถาปัตยกรรมที่ช่วยลดพื้นที่ใช้สอยของส่วนประกอบในการชาร์จได้รวดเร็วถึง 45% ในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพการคายประจุแบตเตอรี่เป็น 99.5% เลยทีเดียวครับ
สรุปแล้วในเรื่องประสิทธิภาพของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็เป็นจุดที่เราได้เห็นความต่างกันอยู่ ทั้งชิปเซ็ตที่อาจจะให้การตั้งค่าของเกมแตกต่างกัน, ความจุแบตเตอรี่ที่ต่างกันมีผลในการใช้งานบางส่วน, หรือระบบชาร์จไว เป็นต้น แต่โดยรวมแล้วประสิทธิภาพของทั้งคู่ก็ยังยอดเยี่ยมมอบประสบการณ์ที่ลื่นไหลและตอบสนองได้ดีในทุกการใช้งานแบบที่ OPPO ตั้งใจครับ แม้จะเป็นรุ่นที่เน้นเรื่องกล้องเป็นหลักแต่ประสิทธิภาพก็หายห่วงได้!
ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุด ColorOS 13.1 บน Android 13
ส่วนในเรื่องซอฟต์แวร์ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ได้ระบบปฏิบัติการล่าสุด ColorOS 13.1 (บนพื้นฐาน Android 13) มาตั้งแต่แกะกล่องเลย ทั้งความลื่นไหลและหน้าตา UI ดีไซน์ 3D ของไอคอนต่าง ๆ มีความโค้งมนน่าใช้งาน สีสันสดใส รวมถึง Widget ต่าง ๆ อีกทั้งยังมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อไร้รอยต่อ อาทิ
Multi-Screen Connect
ฟีเจอร์ Multi-Screen Connect ทำให้ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น PC หรือแท็บเล็ตได้อย่างลื่นไหล ช่วยให้ทำงานผ่านหลายหน้าจอพร้อมกันได้อย่างง่ายดาย ถ่ายโอนไฟล์ ซิงค์การแจ้งเตือนได้ แบบไร้สายเป็นต้น
เชื่อมต่อกับหูฟัง OPPO ได้ง่าย สลับอุปกรณ์อัตโนมัติ
ด้วยการเชื่อมต่อที่ลื่นไหล เพียงลงช่ือเข้าใช้บัญชี HeyTap บนอุปกรณ์หลายเครื่อง และแชร์การเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายของ OPPO เมื่อเชื่อมต่อกับระบบบัญชี OPPO แล้ว หูฟังไร้สายจะสามารถใช้งานสลับระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ ตามการเล่นเสียงนอกจากนี้หูฟังไร้สายยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ 2 เครื่องพร้อมกันได้อีกด้วย
Smart Always-On Display
ด้วย Smart Always-On Display ใหม่ ตอนนี้เราสามารถควบคุม Spotify และตรวจสอบแอปจัดส่งอาหารอย่าง Zomato และ Swiggy ได้โดยไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง เพราะ Smart AOD จะทำการแจ้งเตือนตามเวลาจริงที่ติดตามสถานะการสั่งซื้อของคุณ เราจึงไม่ต้องคอยเช็กหน้าจอตลอดเพื่อดูว่าอาหารท่ีสั่งมาส่งแล้วหรือยังนั่นเอง
IR Remote Control
OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G เป็น 2 สมาร์ทโฟนแรกของ OPPO ที่วางจาหน่ายทั่วโลกที่มาพร้อม IR Infrared ด้วยฟีเจอร์ท่ีมีประโยชน์นี้เราสามารถใช้มือถือควบคุมเครื่องปรับอากาศ ทีวี กล่องรับสัญญาณ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ ใช้อินฟราเรดในบ้านได้โดยตรง
ราคาและโปรโมชั่น OPPO Reno10 Series 5G
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เรามาสรุปราคาและโปรโมชั่นของ OPPO Reno10 Series 5G กันเลยดีกว่า รอบนี้เปิดตัวมาด้วยกัน 3 รุ่นคือ OPPO Reno10 5G, OPPO Reno10 Pro 5G (2 รุ่นที่เราได้รีวิวไป) และ OPPO Reno10 Pro+ 5G รุ่นที่ขายไทยจะมีความจุเดียวเลยแต่ละรุ่นมีให้เลือก 2 สีดังนี้ครับ
- OPPO Reno10 5G (8GB + 256GB) มีให้เลือก 2 สี สีฟ้า Ice Blue, สีเทา Silvery Grey ราคา 13,990 บาท
- OPPO Reno10 Pro 5G (12GB + 256GB) มีให้เลือก 2 สี สีม่วง Glossy Purple, สีเทา Silvery Grey ราคา 17,990 บาท
- OPPO Reno10 Pro+ 5G (12GB + 256GB) มีให้เลือก 2 สี สีม่วง Glossy Purple, สีเทา Silvery Grey ราคา 27,990 บาท
และมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ที่สั่งซื้อ OPPO Reno10 Series 5G ล่วงหน้าระหว่างวันนี้ – 26 กรกฎาคม 2566 รับฟรีทันทีของสมนาคุณรวมมูลค่าสูงสุด 12,698 บาท ประกอบไปด้วย
- Camping Chair มูลค่า 1,499 บาท
- OPPO E-VIP Card มูลค่าสูงสุด 10,000 บาท
- OPPO Band มูลค่า 1,199 บาท
สรุปแล้ว “นี่คือสมาร์ทโฟน The Portrait Expert ที่ดีที่สุดใกล้กว่า โดดเด่นกว่าในราคาไม่ถึง 20,000 บาท”
สรุปแล้ว OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็ถือเป็นสมาร์ทโฟน The Portrait Expert ใหม่ที่มอบประสบการณ์กล้องพอร์ตเทรตเหนือระดับ สมสโลแกน “ใกล้กว่า โดดเด่นกว่า” ได้อย่างดีเยี่ยม ในงบไม่ถึง 20,000 บาท! ทั้งคู่ครบเครื่องในเรื่องการถ่ายภาพคนที่สวยเก่งตามแนวทางที่ OPPO ถนัด รอบนี้ได้กล้อง Telephoto Portrait Camera เข้ามาเพิ่มมุมมองใหม่ สวยและลงตัวกว่าเดิม ในขณะที่ดีไซน์อีกหนึ่งจุดเด่นของ OPPO Reno Series ก็ยังทำได้ยอดเยี่ยม สวยทั้งรูปลักษณ์และการใช้งานจริง สเปคที่ให้มาไม่เป็นรองคู่แข่ง ชิปเซ็ต 6nm, หน้าจอ 120Hz 3D-Curved ที่ลื่นไหล แสดงผลยอดเยี่ยม, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่พร้อมชาร์จไวระดับ SUPERVOOC เรียกว่าเป็นอีกความลงตัวที่ OPPO มอบให้แฟน ๆ ในราคาที่เป็นมิตรสุด ๆ ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนถ่ายพอร์ตเทรตสวย สเปคดี การใช้งานครบ ลองมองเข้าไปที่ OPPO Reno10 Series 5G ใกล้ ๆ สิครับ โดดเด่นกว่ารุ่นไหน ๆ แล้วจริง ๆ!