Connect with us

Smart Review

รีวิว OPPO Reno13 Series 5G สมาร์ตโฟนนำทุกเทรนด์ด้วย OPPO AI พร้อมการอัปเกรดประสบการณ์ถ่ายภาพด้วย AI Livephoto ที่ดีที่สุด

Published

on

มาแล้ว! รีวิว OPPO Reno13 Series 5G สมาร์ตโฟนนำทุกเทรนด์ด้วย OPPO AI จัดมาให้ครบ 2 รุ่น คือ OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ชูโรงด้วยดีไซน์ที่มีความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์แบบปีกผีเสื้อ พร้อมฟังก์ชันกล้องขั้นเทพอย่าง AI Livephoto ที่รอบนี้มาพร้อมการอัปเกรดสูงกว่าเดิมด้วยความคมชัดที่มากขึ้นและเลือกภาพที่ต้องการได้แบบไม่มีจํากัด รวมถึงการถ่ายภาพใต้น้ำได้สบายๆ ด้วยมาตรฐานกันน้ำ-กันฝุ่น IP69 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ถูกใส่เข้ามาในสมาร์ตโฟนราคาระดับกลางจาก OPPO

สรุปสเปค OPPO Reno13 F 5G

  • ขนาดรอบตัวเครื่อง : 162.2 x 75.05 x 7.76 มม.
  • น้ำหนัก : 192 กรัม
  • หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) รองรับ Refresh Rate 120Hz, 100% sRGB, DCI-P3 ความสว่างสูงสุด 1200 นิต และพื้นที่ต่อสัดส่วนหน้าจอ 92.2%
  • CPU : Qualcomm Snapdragon 6 Gen 1 Octa-core ความเร็วสูงสุด 2.2GHz
  • GPU : Adreno 710
  • RAM : 12GB แบบ LPDDR4X
  • ROM : 256/512GB แบบ UFS 3.1
  • กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์ ดังนี้
    • เลนส์หลักความละเอียด 50MP รูรับแสง f/1.8, รองรับกันสั่น OIS
    • เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8MP รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 112 องศา
    • เลนส์ Macro ความละเอียด 2MP รูรับแสง f/2.4
  • กล้องหน้าความละเอียด 32MP รูรับแสง f/2.4
  • ระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย ColorOS 15
  • รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 (802.11ac), Bluetooth 5.1, NFC, 5G และพอร์ต USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 5800mAh รองรับ 45W SUPERVOOC

สรุปสเปค OPPO Reno13 5G

  • ขนาดรอบตัวเครื่อง : 157.90 x 74.73 x 7.24 มม.
  • น้ำหนัก : 181 กรัม
  • หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.59 นิ้ว ความละเอียด 1.5K (2760 x 1256 พิกเซล), 460PPI รองรับ Refresh Rate 120Hz, 3840Hz PWM Dimming ความสว่างสูงสุด 1200 นิต และแสดงผลสี 1.07 พันล้านสี
  • CPU : MediaTek Dimensity 8350 Octa-core ความเร็วสูงสุด 3.35GHz
  • GPU : ARM Turse G615
  • RAM : 12GB LPDDR5X
  • ROM : 256/512GB UFS 3.1
  • กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์ ดังนี้
    • เลนส์หลักความละเอียด 50MP รูรับแสง f/1.8, รองรับกันสั่น OIS
    • เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8MP รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 116 องศา
    • เลนส์ Monochrome ความละเอียด 2MP รูรับแสง f/2.4
  • กล้องหน้าความละเอียด 50MP รูรับแสง f/2.0
  • ระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย ColorOS 15
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11ax), Bluetooth 5.4, NFC, 5G และพอร์ต USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 5600mAh รองรับชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC

แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล

แกะกล่อง OPPO Reno13 Series 5G

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องของ OPPO Reno13 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ให้มาครบทุกอย่าง ไม่ต้องหาเพิ่มเติมแล้วครับ ดังนี้

  • ตัวเครื่อง OPPO Reno13 5G หรือ Reno13 F 5G พร้อมติดฟิล์มกันรอย
  • อะแดปเตอร์ 80W SUPERVOOC (OPPO Reno13 5G) หรืออะแดปเตอร์ 45W SUPERVOOC (Reno13 F 5G)
  • สาย USB Type-A to Type-C
  • เข็มเปิดถาดซิม
  • เคสใส
  • คู่มือการใช้งานเบื้องต้น

กล้องทรงพลัง มอบประสบการณ์ทื่อัปเกรดไปอีกขั้นด้วย AI

พลังกล้อง OPPO Reno13 Series 5G ยังคงจัดเต็มเหมือนเดิม โดย OPPO ได้อัปเกรด OPPO AI เข้ามาใช้งานในซีรีส์นี้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งยังเป็นกล้องที่ถ่ายพอร์ตเทรตได้ยอดเยี่ยมเหมือกัน ซึ่งสเปคกล้องของแต่ละรุ่น เราสรุปไว้ให้อีกรอบตามนี้เลย

OPPO Reno13 F 5G

  • เลนส์หลัก 50MP, f/1.8, รองรับกันสั่น OIS
  • เลนส์ Ultra-Wide มุมกว้าง 112 องศา 8MP, f/2.2
  • เลนส์ Macro 2MP, f/2.4
  • กล้องหน้า 32MP, f/2.4

OPPO Reno13 5G

  • เลนส์หลัก 50MP, f/1.8, รองรับกันสั่น OIS
  • เลนส์ Ultra-Wide มุมกว้าง 115 องศา 8MP, f/2.2
  • เลนส์ Monochrome 2MP, f/2.4
  • กล้องหน้า 50MP, f/2.4

AI Livephoto เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นภาพที่มีชีวิตได้เพียงคลิกเดียว

ฟีเจอร์ AI Livephoto ถือเป็นตัวชูโรงใน OPPO Reno13 Series 5G ซึ่งจะเป็นการถ่ายภาพนิ่งตามปกติแต่จะเพิ่มความทรงจำได้ด้วยรูปแบบของภาพเคลื่อนไหวด้วยการเก็บภาพเคลื่อนไหวตั้งแต่ 1.5 วินาทีก่อน และ 1.5 วินาทีหลังกดชัตเตอร์ รวมทั้งหมดเป็น 3 วินาที โดย AI จะทำการเลือกภาพปกที่เหมาะสม รวมถึงแต่ละเฟรมที่มีการเคลื่อนไหวจะถูกปรับแต่งความคมชัดด้วยทั้งหมด ทำให้ไม่ว่าเราจะเลือกภาพปกใหม่ภาพไหนก็ตาม ก็จะได้รับความคมชัดทั้งหมดแน่นอนครับ

การใช้ประโยชน์ของ AI Livephoto คือสามารถเปลี่ยนภาพถ่ายธรรมดาให้มีชีวิตขึ้นมาได้ โดยสามารถใช้ได้ในสถานการณ์ที่มีการเคลื่อนไหว เช่น ใบไม้ร่วง ฟองสบู่ ผีเสื้อบิน หรือสัตว์ต่างๆ เป็นต้น ช่วยให้เราเก็บครบทุกซีนไม่มีพลาด สามารถเลือกภาพที่ต้องการได้ไม่จำกัด ด้วยอัลกอริทึม AI จะช่วยเพิ่มความละเอียดของภาพและมีเทคโนโลยี Pro XDR จะช่วยเพิ่มรายละเอียดและความมีชีวิตชีวา เรียกได้ว่าเก็บครบทุกช่วงเวลาสำคัญด้วยความคมชัดสุดๆ

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ OPPO Reno13 Series 5G เป็นสมาร์ตโฟน Android เพียงรุ่นเดียวที่รองรับการถ่ายและแชร์ Livephoto แบบข้ามแพลตฟอร์มไปยัง iOS ได้ด้วย

เปรียบเทียบภาพก่อนใช้ (ซ้าย) / หลังใช้ AI Livephoto (ขวา)

นอกจากจะถ่ายภาพแบบ Livephoto ได้แล้ว เราก็สามารถเปลี่ยนเป็นวิดีโอสั้น 3 วินาทีได้ง่ายๆ เช่นกัน ซึ่งสามารถเข้าไปได้ที่ แอปรูป > เลือกภาพ > เพิ่มเติม (จุด 3 จุด) > บันทึกเป็นวิดีโอ

นอกจาก AI Livephoto ในการใช้งานเรื่องกล้องในโหมดนี้ก็ยังให้ภาพที่มีความสวยงาม ทั้งการย้อนแสงก็ทำได้ดีด้วย Auto HDR เห็นชัดทั้งฉากหน้าและฉากหลัง รวมถึงการรับแสงและโทนสีของภาพถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม ขณะที่การประมวลผลภาพหลังการถ่ายก็ทำได้รวดเร็วเช่นกันครับ และภาพที่ได้จากทั้ง 2 รุ่นก็สวยงามไม่แพ้กันเลยครับ

ถ่าย Portrait ได้สวย ครบทุกระยะ

ในการถ่ายภาพ Portrait ยังคงเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ OPPO Reno13 Series เช่นเคยครับ โดยทั้ง 2 รุ่นมีทั้งหมด 3 ระยะให้ใช้งานกัน ตามนี้เลยครับ

  • OPPO Reno13 F 5G : 1x (27mm), 1.2x (35mm) และ 2x (54mm)
  • OPPO Reno13 5G : 1x (26mm), 1.3x (35mm) และ 2x (51mm)

ซึ่งแต่ละระยะก็สามารถถ่ายได้สวยและดูเป็นธรรมชาติมากๆ โดยเฉพาะการใช้ระยะ 2x จะยิ่งทำให้ฉากหลังถูกเบลอและชูให้ตัวบุคคลเด่นมากขึ้นไปอีกขั้นด้วยครับ ทั้งนี้ สีผิวของบุคคลก็มีความเป็นธรรมชาติของแต่ละบุคคลด้วย ไม่ได้ปรับให้เหมือนกันหมด และการละลายฉากหลังก็ธรรมชาติ ไล่เลเยอร์การเบลอได้เป็นอย่างดี และเสริมด้วยฟิลเตอร์แบบ Master Filters ที่มี 3 แบบ ทำให้ภาพถ่ายมีมิติมากขึ้น ได้แก่ Film CC (สดใส), Film NC (มรกต) และ Film NH (ใส)

แก้ไขภาพให้สมบูรณ์แบบด้วย AI Editor

OPPO Reno13 Series 5G ได้มาพร้อมกับฟีเจอร์ AI Editor ที่เป็นตัวช่วยให้เราได้ตกแต่งและแก้ไขภาพให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งหลังจากที่เราถ่ายภาพมาจาก AI Livephoto แล้วก็สามารถนำมาปรับแต่งแก้ไขให้เป็นไปตามใจของเราทได้มากที่สุด ซึ่งรุ่นนี้ OPPO จัดมาครบเต็มรูปแบบทุกการใช้งาน โดยจะมีทั้งหมด 4 แบบ ตามนี้เลยครับ

AI Clarity Enhancer : เพิ่มคาวมคมชัดของภาพที่ถูกถ่ายให้คมชัดมากขึ้นกว่าเดิมในระดับ Ultra HD ซึ่งสามารถครอปภาพต่างๆ ได้แบบไม่เสียรายละเอียดด้วยฟีเจอร์นี้ครับ

AI Eraser 2.0 : สามารถลบคนทั้งหมดในภาพได้เกลี้ยง พร้อมเพิ่มเติมแต่งวัตถุในภาพให้อัตโนมัติ

AI Unblur : เป็นการยกเลิกการเบลอของภาพที่มีการเคลื่อนที่เร็ว เช่น สัตว์เลี้ยง หรือภาพบุคคลที่มีการเคลื่อนไหวในตอนที่ถ่ายรูป

AI Reflection Remover : ลบแสงสะท้อนผ่านกระจกให้คมชัด

AI Studio เปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นความพิเศษได้ง่ายๆ

OPPO Reno13 Series 5G มาพร้อมกับแอปพลิเคชั่น AI Studio โดยจะเป็นแอปที่เสริมลูกเล่นด้าน AI ในภาพถ่ายให้มีความโดดเด่นมากขึ้น ซึ่งหลักๆ จะมี 3 แบบให้เลือก ดังนี้

  • AI Motion : สามารถเปลี่ยนภาพถ่ายปกติให้เป็นภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย AI
  • AI Portrait : เพิ่มใบหน้าของตัวเองหรือเพื่อนๆ ที่มากกว่า 2 คนได้ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะมีการอัปเดตเพิ่มเติมในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ครับ
  • AI Reimage : เปลี่ยนภาพถ่ายธรรมดาให้พิเศษมากขึ้นด้วยฟิลเตอร์ต่างๆ โดยปรับตั้งแต่สีสัน ความนุ่มนวล และความเป็นศิลปะมากขึ้น

ถ่ายภาพใต้น้ำด้วยมาตรฐานกันน้ำ IP69

นี่ถือเป็นครั้งแรกของการถ่ายภาพใต้นํ้าในสมาร์ตโฟนราคาระดับกลางจาก OPPO ราวกับเป็น “หนึ่งสมาร์ตโฟนพร้อมครึ่ง Go Pro” ด้วยโหมดถ่ายภาพใต้นํ้าพิเศษที่ช่วยให้ถ่ายภาพใต้นํ้าได้คมชัด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายภาพในน้ำจืด เช่น สระว่ายน้ำ ทะเลสาบในระดับสูงสุด 2 เมตร เป็นเวลานานสุดถึง 30 นาที โดยในโหมดนี้ยังมีการปรับแสงและสีสันเพื่อชดเชยความต่างของแสงใต้น้ำด้วย ขณะที่การควบคุมการถ่ายก็สามารถใช้ปุ่มด้านข้างในการถ่ายภาพได้ง่ายมากๆ ครับ

การเปิดฟังก์ชันระบายน้ำออก (เพื่อออกจากโหมดใต้น้ำ) ก็ให้กดปุ่ม Power ค้างไว้ 3 วินาที ก็จะมีการเล่นเสียงความถี่สูงเพื่อให้น้ำที่เกาะอยู่ในเครื่องระบายออกมาได้

Ultra-Wide เลนส์มุมกว้างเก็บภาพได้ครบ

เลนส์มุมกว้างพิเศษ 112 องศา (OPPO Reno13 F 5G) และ 115 องศา (OPPO Reno13 5G) เก็บภาพได้ครบถ้วน โดยมีความละเอียด 8MP เท่ากันทั้ง 2 รุ่น ผลลัพธ์ทำออกมาได้ประทับใจ โดยมีซอฟต์แวร์ช่วยปรับปรุงภาพ เก็บแสงและเงาได้ดี รวมถึงสีสันที่มีความสดใสครับ

เซลฟี่สวยธรรมชาติ

หากพูดถึงการเซลฟี่ ต้องมีสมาร์ตโฟน OPPO อยู่ในใจแน่นอน ได้ภาพเซลฟี่ถูกใจ การปรับแต่งใบหน้าทำได้เป็นธรรมชาติ โดยยังคงความสวยงามและเอกลักษณ์ของแต่ละคนอยู่ครับ ทั้งนี้การเบลอฉากหลังก็ทำได้ดี ตัดขอบได้เนียนๆ เลยทีเดียว

ดีไซน์อันโดดเด่นสุดเทรนดี้ด้วยเอกลักษณ์ “ปีกผีเสื้อ”

OPPO Reno13 5G และ OPPO Reno13 F 5G มีความโดดเด่นตั้งแต่แรกเห็นด้วยดีไซน์ที่มีฝาหลังลวดลายปีกผีเสื้อที่ล้ำสมัย ซึ่งดีไซน์นี้จะมาในรูปแบบปีกครึ่งหนึ่งเพื่อเป็น Couple Item ให้คู่รักหรือคู่เพื่อนสำหรับนำอีกครึ่งมาประกบจนทำให้เป็นปีกผีเสื้อที่สมบูรณ์ครบถ้วน

ดีไซน์ที่สวยโดดเด่นอันเป็นเอกลักษ์ “ปีกผีเสื้อ” สุดเทรนดี้ของทั้ง 2 รุ่นจะมีตัวเลือกแบบเฉพาะ โดย OPPO Reno13 F 5G จะอยู่ในสีม่วง Plume Purple ที่มีลวดลายปีกผีเสื้อสวยงาม และจะสะท้อนให้เห็นเด่นชัดเมื่อโดนแสงแดดในมุมมองต่างๆ ครับ

ทั้งนี้ก็ยังมีอีก 2 สีที่โดดเด่นไม่แพ้กัน คือ สีฟ้า Luminous Blue ที่ได้วงแหวน Luminous Loop และสีเทา Graphite Gray ที่มีความเรียบหรูแมตช์ทุกสไตล์

ขณะที่ OPPO Reno13 5G จะมีเอกลักษณ์ด้วยปีกผีเสื้อในสีขาว Plume White มีความสวยงามแบบบริสุทธิ์และพรีเมียมมากจริงๆ

และก็ยังมีสีฟ้า Luminous Blue พร้อมวงแหวน Luminous Loop มาเป็นอีกตัวเลือกครับ

นอกจากลวดลายปีกผีเสื้อแล้ว วัสดุที่ใช้ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ตั้งแต่การใช้ดีไซน์แบบขอบเหลี่ยม สวยงามและพรีเมียม ได้ความแข็งแรง ทนทาน และทนต่อรอยขีดข่วนด้วย

OPPO Reno13 F 5G มีความบางเพียง 7.76 มม. เท่านั้น (สีฟ้า Luminous Blue บาง 7.82 มม.) ทำให้การจับถือต่างๆ กระชับมือ และคล่องตัวมากๆ ในขณะที่ OPPO Reno13 5G จะมีความบางเฉียบเพียง 7.24 มม. ซึ่งเป็นการออกแบบที่ประณีตมากๆ

OPPO Reno13 5G (ซ้าย) / OPPO Reno13 F 5G (ขวา)

ครั้งแรกในสมาร์ตโฟนระดับเดียวกันที่มีเป็นหนึ่งสมาร์ตโฟนพร้อมครึ่ง Go pro

ทั้ง 2 รุ่นนี้ยังมาพร้อมมาตรฐานกันน้ำ-กันฝุ่น IP69 ซึ่งเป็นการป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบมากๆ สามารถทนต่อน้ำร้อน การแช่น้ำ หรือละอองน้ำได้แบบสบายเลยทีเดียว ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกในสมาร์ตโฟนระดับเดียวกันที่มีกล้องถ่ายภาพใต้น้ำอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจเลยคือการเป็นหนึ่งสมาร์ตโฟนพร้อมด้วยครึ่ง Go Pro หรือก็คือการเป็นสมาร์ตโฟนในตัวอยู่แล้ว และก็สามารถลุยน้ำได้กับการคล้ายใช้งาน Go Pro ในตัวด้วยครับ

อัปเกรดหน้าจอ AMOLED 120Hz คมชัดสูงสุด 1.5K

หน้าจอแสดงผลรุ่นนี้ได้รับการอัปเกรดขึ้นมาเหมือนกัน โดย OPPO Reno13 F 5G จะได้ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นมาเป็น 6.67 นิ้ว มีความละเอียด Full HD+ ซึ่งเรื่องสีสันก็จัดเต็มในราคาสุดคุ้มเพราะได้พาเนล AMOLED และความสว่างสูงสุด 1200 นิตเหมือนรุ่นพี่เลยครับ

OPPO Reno13 5G ได้หน้าจอขนาด 6.59 นิ้ว และที่อัปเกรดขึ้นมาคือความละเอียดหน้าจอเป็น 1.5K (2760 x 1256 พิกเซล) รวมถึงการแสดงผลสีมากถึง 1.07 พันล้านสี

ความไหลลื่นของหน้าจอก็รองรับสูงสุดที่ Refresh Rate 120Hz ซึ่งสามารถปรับได้แบบอัจฉริยะตามการใช้งานเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ได้ หรือใครจะเปิดแบบ 120Hz ตลอดเวลาก็ได้เหมือนกันครับ

พาชมรอบเครื่อง

มาดูรอบเครื่องกันต่อครับ ทั้งคู่จะเหมือนกันแทบทั้งหมด ตั้งแต่ด้านบนหน้าจอที่ได้กล้องหน้า Punch Hole โดยมีความละเอียด 50MP (OPPO Reno13 5G) หรือ 32MP (OPPO Reno13 F 5G) พร้อมด้วยลำโพงสนทนาและเป็นลำโพงคู่สเตอริโอ!!

ด้านขวาเครื่องมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power

OPPO Reno13 F 5G (ซ้าย) / OPPO Reno13 5G (ขวา)

ขอบด้านล่างจะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ 2 ช่อง ซึ่งในรุ่น OPPO Reno13 5G จะไม่มีช่องใส่ MicroSD Card มาให้ แต่ OPPO Reno13 F 5G ช่องที่ 2 จะเป็น Hybrid ให้เลือกซิมที่ 2 หรือ MicroSD Card สูงสุด 1TB ครับ โดยจะมีไมโครโฟนตัวที่ 1, พอร์ต USB-C และลำโพงสเตอริโออีกตัว

ภาพช่องใส่ซิม 1 (บน) / ภาพช่องใส่ซิม 2 (ล่าง)

ขอบด้านบนเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่ 2 เพื่อตัดเสียงรบกวน โดยในรุ่น OPPO Reno13 5G ได้เพิ่มเซ็นเซอร์ IR Blaster เพื่อใช้ในการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

ท้ายสุดที่ด้านหลังมีโมดูลกล้องหลังที่เห็นชัดๆ คือเลนส์หลักและ Ultra-Wide ขณะที่เลนส์ที่ 3 จะอยู่มุมซ้ายบน และมีไฟแฟลช LED ทรงกลมมาให้เหมือนกันครับ

ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน

มาพร้อม ColorOS 15 ที่ฟีเจอร์จัดเต็ม!

OPPO Reno13 5G และ OPPO Reno13 F 5G แกะกล่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย ColorOS 15 โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ให้ใช้งานต่างๆ เพียบ โดยเฉพาะเรื่องของ OPPO AI รวมถึงความเสถียรก็ยังได้รับการปรับปรุงมาได้อย่างเหมาะสม ใช้งานลื่นๆ

และที่ต้องพูดถึงคือแอปพลิเคชั่น Fineasy, สินเชื่อความสุข รวมถึงแอพฯ เงินกู้ต่างๆ จะไม่มีติดตั้งมาแล้วในทุกเครื่องที่วางจำหน่ายครับ

จัดเต็มด้วยลำโพงสเตอริโอคู่

เรื่องของลำโพงสเตอริโอคู่ทำให้เราใช้งานได้แบบเต็มอรรถรส รวมถึงการเปิดระดับเสียงพิเศษ Ultra Volume ที่รีดพลังของลำโพงได้แบบจัดเต็มสูงสุดถึง 300% ถูกใจผู้ที่ชื่นชอบเสียงดังกระหึ่ม ไม่ว่าจะเป็นการดูคอนเทนท์ต่างๆ หรือการเล่นเกม เติ่มอิ่มผ่านลำโพงของ OPPO Reno13 5G และ OPPO Reno13 F 5G แน่นอน

ส่งไฟล์ให้ iPhone ได้ง่ายเพียงแค่แตะไม่กี่ครั้ง

การส่งไฟล์หรือรูปภาพต่างๆ ไปให้ iPhone ในตอนนี้ก็หมดปัญหาแล้ว เพียงแค่ติดตั้งแอปพลิเคชั่น O+ Connect บน iPhone เท่านั้น (ดาวน์โหลดเพิ่มเติมจาก App Store) ซึ่งการใช้งานถือว่าง่ายมากๆ เพียงแค่เรากดแชร์ภาพจาก OPPO Reno13 5G หรือ OPPO Reno13 F 5G > เลือก “แชร์กับ iPhone” ทำการนำส่วนบนของทั้ง 2 เครื่องมาติดกัน และยืนยันการเชื่อมต่อบนอุปกรณ์ iOS เพียงเท่านี้ไฟล์ก็จะถูกแชร์ไปยัง iPhone ได้แล้วครับ

เพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายไปอีกขั้นด้วย AI LinkBoost 2.0

ทั้ง 2 รุ่นนี้ได้อัปเกรดการเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี AI LinkBoost 2.0 ที่ให้เราได้ใช้งานเครือข่ายแบบต่อเนื่อง เสถียร และลดความหน่วง โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีผู้คนเยอะๆ อยู่ในชั้นใต้ดิน หรือในที่แออัดครับ เรียกว่า OPPO Reno13 5G และ OPPO Reno13 F 5G สามารถรับและส่งข้อมูลเครือข่ายได้แข็งแกร่งในพื้นที่จุดอับสัญญาณ

เสริมพลังด้วย OPPO AI ที่ฉลาดและประมวลผลเร็วขึ้น

AI Toolbox 2.0 เป็นหนึ่งใน OPPO AI ที่เป็นฟีเจอร์อัจฉริยะเพื่อช่วยในเรื่องการเขียนหรือการพิมพ์ข้อความต่างๆ เพียบ ซึ่งจะมีหลักๆ 3 แบบ ดังนี้

AI Writer : ฟีเจอร์นี้จะเป็นการให้แก้ไข เขียน ขัดเกลาและย่อความได้ตามใจชอบ โดยมีให้เลือกทั้งแบบทางการ ไม่ทางการ และแบบสุภาพ โดยการช่วยเขียนจะมีทั้งการสร้างประโยคใหม่เลย หรือจะเลือกให้ AI พิมพ์แคปชั่นก่อนที่จะโพสต์ก็ได้เหมือนกันครับ

AI Reply : ในฟีเจอร์นี้จะเป็นการตอบกลับอัจฉริยะด้วย AI ใครที่นึกไม่ออกว่าจะตอบกลับข้อความที่คนอื่นส่งมาอย่างไรดี ก็สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ในการแนะนำคำตอบได้ด้วยครับ

AI Summary : การสรุปข้อมูลด้วย AI ก็เป็นไปตามชื่อเลยครับ หากเราเข้าเว็บไซต์เพื่อค้นหาข้อมูลที่สนใจ ก็สามารถใช้งานฟีเจอร์นี้สรุปมาเป็นข้อๆ ซึ่งการทำงานถือว่าเร็วและใช้งานได้ง่ายเลยทีเดียวครับ

วงเพื่อค้นหา (Circle to Search)

ในปีนี้ OPPO Reno13 Series 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์ Circle to Search ที่ร่วมกับ Google Gemini ซึ่งจะเป็นการวงสิ่งที่ต้องการบนหน้าจอเพื่อค้นหาได้ทันที ลดขั้นตอนการใช้งานได้แบบสะดวกสุดๆ ซึ่งการใช้งานก็ง่ายมาก เพียงแค่แตะหรือกดปุ่มโฮมหรือแถบนำทางค้างไว้เพื่อเรียกใช้ Circle to Search

ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่

จัดเต็มด้วยชิปเซ็ตตัวกลางขั้นเทพจาก MediaTek และ Qualcomm

ขอเริ่มกันด้วย OPPO Reno13 F 5G ได้ชิป Qualcomm Snapdragon 6 Gen 1 ซึ่งเป็น CPU ตัวกลางที่ใช้งานทั่วไปได้ไหลลื่นมีทั้งหมด 8 คอร์ (Octa-Core) ความเร็ว Clock สูงสุดที่ 2.2GHz จัดการความร้อนได้ยอดเยี่ยม และประหยัดพลังงานสุดๆ ด้วยสถาปัตยกรรมขนาดเล็กเพียง 4nm เท่านั้น

ขณะที่ OPPO Reno13 5G ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล MediaTek Dimensity 8350 Octa-core ความเร็ว Clock สูงสุด 3.35GHz มีขนาดเล็กเพียง 4nm เท่านั้น ประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย ทั้งยังสามารถใช้งานได้ไหลลื่นและจัดการเรื่องความร้อนได้เป็นอย่างดี

ขยาย RAM ได้สูงสุดอีก 12GB

RAM ที่มากับเครื่อง 12GB ทั้ง 2 รุ่น และสามารถเพิ่ม RAM เสมือนได้อีกสูงสุด 12GB รวมเป็น 24GB ช่วยให้การทำงานในพื้นหลังทำได้มากขึ้นไปด้วย

ผลการทดสอบบน AnTuTu v10

  • ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu v10.3.8 ของ OPPO Reno13 F 5G ได้มาที่ 618,403 คะแนน
  • ผลคะแนนการทดสอบด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu v10.3.8 ของ OPPO Reno13 5G ได้มาที่ 1,141,571 คะแนน
OPPO Reno13 F 5G (ซ้าย) / OPPO Reno13 5G (ขวา)

ผลการทดสอบบน Geekbench 6

  • ผลคะแนนด้าน CPU บน Geekbench 6 จาก OPPO Reno13 F 5G ทำ Single-Core ไปที่ 933 คะแนน และ Multi-Core ที่ 2,704 คะแนน
  • ผลคะแนนด้าน CPU บน Geekbench 6 จาก OPPO Reno13 5G ทำ Single-Core ไปที่ 1,330 คะแนน และ Multi-Core ที่ 4,032 คะแนน
OPPO Reno13 F 5G (ซ้าย) / OPPO Reno13 5G (ขวา)

ทดสอบการเล่นเกม

ROV

การทดสอบการเล่นเกม ROV ทั้ง 2 รุ่นทำออกมาได้ดีตามที่คาดเอาไว้เลย สามารถเปิดกราฟิกทุกอย่างสูงสุดได้ทั้งหมด ภายในเกมเฟรมเรทวิ่ง 59-60fps ตลอดทั้งเกม และก็ไม่มีดรอปลงไปมากกว่านี้แล้วครับ ขณะที่การเชื่อมต่อเครือข่ายก็ทำได้ยอดเยี่ยม ไม่มีหน่วงแน่นอนครับ เรียกว่าการเล่นเกม ROV นั้นเสถียรขั้นสุด

PUBG Mobile

ในการเล่นเกมแนว FPS เราได้ลองเล่นเกม PUBG Mobile ซึ่งสามารถปรับภาพได้ในระดับ HDR HD และเฟรมเรทที่ Ultra ซึ่งการเล่นทำได้ลื่นๆ ความไวในสัมผัสการเคลื่อนไหวติดนิ้ว และการกดยิงหรือการใช้ไอเท็มต่างๆ ก็ตอบสนองได้ทันทีครับ ที่สำคัญยังได้ประโยชน์จากลำโพงสเตอริโอคู่ที่ให้มาอีกด้วย เพราะเสียงมีมิติ รับรู้ได้ถึงตำแหน่งของศัตรูแบบชัดๆ เลยครับ

แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ชาร์จเร็วสูงุสด 80W SUPERVOOC

OPPO Reno13 5G ให้แบตเตอรี่มากถึง 5600mAh ซึ่งเป็นความจุที่สูงมากๆ กับตัวเครื่องที่เบาและบางสุดๆ ซึ่งการใช้งานแบบทั่วไปสามารถอยู่ได้ตลอดวัน ขณะที่การชาร์จเร็วอยู่ที่ 80W SUPERVOOC ซึ่งใช้เวลาในการชาร์จจาก 20% ถึง 100% ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีเท่านั้น

สำหรับ OPPO Reno13 F 5G นั้นได้แบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นมาเป็น 5800mAh พร้อมใช้งานได้ตลอดทั้งวัน และตัวแบตเตอรี่ยังมีอายุการใช้งานยาวนาน 4 ปีเต็ม ทั้งยังรองรับการชาร์จเร็ว 45W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จเพียง 5 นาที ก็เปิดเล่น YouTube ได้ต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงกว่าๆ ขณะที่การชาร์จให้เต็ม 100% เราได้เริ่มตั้งแต่ประมาณ 25% ก็จะชาร์จเต็มในเวลาประมาณ 70 นาที

สรุปการใช้งาน OPPO Reno13 Series 5G

OPPO Reno13 Series 5G จัดว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ครบเครื่องเรื่อง AI ระดับเรือธงในราคาที่จับต้องได้ โดยฟีเจอร์ของ OPPO AI ต่างๆ นั้นมีให้มาครบถ้วนมากกว่าเดิม ราวกับการใช้งานสมาร์ตโฟนราคาเรือธง ไม่ว่าจะเป็น AI Editor, AI Toolbox 2.0 และ AI Studio ที่ให้เราได้สนุกกับเรื่องการตกแต่งภาพมากขึ้นแน่นอน ขณะที่ตัวชูโรงก็ยังได้ AI Livephoto ที่ให้เราได้เก็บทุกโมเมนต์ได้แบบไม่มีพลาด เพราะสามารถเลือกภาพใหม่ได้ทั้งก่อนกดชัตเตอร์หรือหลังกดชัตเตอร์ ซึ่งฟีเจอร์นี้ยังช่วยให้เราได้เก็บภาพหลายแบบในการถ่ายเพียงช็อตเดียวได้ด้วย และแชร์ข้ามแพลตฟอร์มไปยัง iPhone ได้แบบไม่มีสะดุดด้วยครับ

และที่หลายคนน่าจะชอบกันอีกอย่างคือดีไซน์ OPPO Reno13 5G และ Reno13 F 5G ที่มีความเป็นเอกลักษณ์แบบปีกผีเสื้อ เหมาะกับการใช้งานเป็นคู่จริงๆ รวมไปถึงสเปคภายในที่จัดเต็ม ได้หน้าจอ AMOLED 120Hz, ชิป Snapdragon 6 Gen 1 ใน Reno13 F 5G และ MediaTek Dimensity 8350 ใน Reno13 5G รวมถึงแบตเตอรี่ที่อึด และยังชาร์จเร็วสูงสุดถึง 80W SUPERVOOC ด้วย

ราคา OPPO Reno13 Series 5G

ราคา OPPO Reno13 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น รายละเอียดตามนี้เลย !!

OPPO Reno13 F 5G มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเทา Graphite Grey, สีม่วง Plume Purple และสีฟ้า Luminous Blue โดยมีราคาตามความจุ ดังนี้

  • ความจุ 12GB + 256GB : 12,999 บาท
  • ความจุ 12GB + 512GB : 14,999 บาท

OPPO Reno13 5G มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว Plume White และสีฟ้า Luminous Blue โดยมีราคาตามความจุ ดังนี้

  • ความจุ 12GB + 256GB : 17,999 บาท
  • ความจุ 12GB + 512GB : 19,999 บาท

OPPO Reno13 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นนี้จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

ท้ายสุดนี้ ก็ขอย้ำอีกครั้งว่า OPPO ได้ทำการถอดแอปพลิเคชั่น “Fineasy”, “สินเชื่อความสุข” และแอพฯ เงินกู้ต่างๆ ที่ไม่ได้รับรองจากธนาคารแห่งประเทศไทยออกไปเรียบร้อยในทุกเครื่องที่วางจำหน่ายตั้งแต่วันนี้ครับ

Advertisement
Start February with Apple Watch Start February with Apple Watch
Apple News39 นาที ago

เริ่มต้นเดือนของหัวใจ ด้วย Apple Watch ที่ช่วยดูแลสุขภาพหัวใจของคุณ

เดือนกุมภาพันธ์นอกจา...

HUAWEI WATCH GT 5 Gold Milanese HUAWEI WATCH GT 5 Gold Milanese
Wearable48 นาที ago

สัมผัสสีใหม่ ไฉไลกว่าเดิม! ช้อป HUAWEI WATCH GT 5 สีทองในราคาสุดคุ้ม พร้อมส่วนลดสูงสุด 1,000 บาท ได้แล้วที่ Shopee

สัมผัสสีใหม่ ไฉไลกว่...

Android News2 ชั่วโมง ago

ท้ายปีเจอกัน ! vivo X200s จะใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Ultrasonic และ X300 Pro mini ก็เริ่มพัฒนาแล้ว

ปลายปีที่แล้ว vivo ไ...

Smart Review3 ชั่วโมง ago

รีวิว OPPO Reno13 Series 5G สมาร์ตโฟนนำทุกเทรนด์ด้วย OPPO AI พร้อมการอัปเกรดประสบการณ์ถ่ายภาพด้วย AI Livephoto ที่ดีที่สุด

มาแล้ว! รีวิว OPPO R...

Android News3 ชั่วโมง ago

ลือ !! Galaxy G Fold อาจเป็นชื่อรุ่นของสมาร์ทโฟนจอพับ 3 ทบจาก Samsung

เรียกว่าผ่านมา 6 ปีแ...

Apple News5 ชั่วโมง ago

บริษัทไหนกัน !? Apple ใกล้ตัดสินใจเลือกผู้ผลิตหน้าจอ iPhone จอพับได้แล้ว

iPhone จอพับมีข่าวลื...

Android News6 ชั่วโมง ago

มาแล้ว !! หลุดโปสเตอร์วันเปิดตัว Xiaomi 15 Ultra มา 26 ก.พ. นี้ในจีน ส่วน Global ลุ้นงาน MWC 2025

หลังจากที่มีข่าวลือก...

Android News8 ชั่วโมง ago

อุ้ย mini มา…ลือ vivo X200 Pro mini จะเปิดตัวในอินเดียช่วงไตรมาส 2 ปีนี้!

น่าจะเป็นอีกรุ่นที่ไ...

Copyright © 2012 iphone-droid.net.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก