Featured
รีวิว OPPO Reno2 F สวยทุกมุมมอง ถ่ายคมชัดด้วย 4 กล้องอัจฉริยะ 48MP ควบคู่กล้องหน้า Rising ดีไซน์สวย และสเปคที่ไม่ธรรมดา
เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว สำหรับสมาร์ทโฟนสุดคุ้มจาก OPPO อีกรุ่นอย่าง OPPO Reno2 F มาพร้อมสโลแกน “4 กล้องหลัง สวยทุกมุมมอง” ซึ่งมีกล้องหลัง 4 เลนส์ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมกับฟีเจอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่หลงรักการถ่ายภาพอย่างมาก แถมระบบการใช้งานที่จัดมาให้เราแบบเต็มๆ ที่สำคัญยังเป็นรุ่นที่มาทดแทน OPPO F Series อีกด้วย ซึ่งจะมีอะไรบ้างเรามาชมกันเลยดีกว่าครับ
สรุปสเปค OPPO Reno2 F
- ขนาดตัวเครื่อง : 161.8 x 75.8 x 8.67 มม.
- หน้าจอแสดงผล Panoramic Screen ชนิด AMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2340 x 1080 พิกเซล) ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 ทั้งหน้าและหลัง
- หน่วยประมวลผล : MediaTek Helio P70 Octa Core ความเร็ว 2.1 GHz
- GPU : Mali-G72 MP3
- ความจุ RAM 8GB + ROM 128GB สามารถเพิ่ม MicroSD ได้สูงสุด 256GB
- กล้องถ่ายรูปหลัง 4 เลนส์ แบ่งเป็น
- เลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.79 เซ็นเซอร์ Samsung GM1 และรองรับระบบกันสั่นไหว EIS
- เลนส์ Ultra Wide Angle 119 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- เลนส์ Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้า Rising Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 พร้อม Atmosphere Light และโหมด AI Beauty
- ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6.1
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C
- ระบบเสียงลำโพงสเตอริโอแบบคู่ Dolby ATMOS
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.2, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4,000 mAh รองรับ VOOC 3.0 Flash Charge
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
ตัวกล่องของ OPPO Reno2 F จะมาแบบทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามสไตล์ของตระกูล Reno Series โดยมีชื่อรุ่นกำกับไว้ที่ด้านล่าง และเมื่อเปิดออกมาก็จะเจอกับอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- ตัวเครื่อง OPPO Reno2 F
- อะแดปเตอร์ VOOC Flash Charge 20W
- สาย USB Type-C
- หูฟังพอร์ต 3.5 มม.
- เคสพลาสติก
- อุปกรณ์เปิดถาดซิม
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
มาต่อกันที่ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ OPPO Reno2 Series โดยสีที่เราได้มาจะเป็นสีขาว Sky White ที่ให้ความเป็นธรรมชาติปะปนอยู่ โดยเมื่อมีแสงไฟสะท้อนที่ฝาหลัง เฉดสีต่างๆ ก็จะปรากฏออกมาเป็นเส้นที่มีความโค้งมน และเมื่อลองขยับเครื่องซ้าย-ขวาช้าๆ เราก็จะยิ่งเห็นเส้นที่เล่นกับแสงได้ด้วยครับ ทั้งยังมีการไล่ระดับสีอย่างสวยงาม ซึ่งการที่ OPPO Reno2 F มีสีสันที่สวยงามแบบนี้เกิดจากกระบวนการผลิต Ribbon transfer 2.0 และเคลือบสีไปถึง 7 ชั้นเลยทีเดียว
ด้านตัวเครื่องของ OPPO Reno2 F มีการครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง โดยมีการฝังกล้องลงไปใต้กระจกทำให้ตัวกล้องทั้ง 4 เลนส์ไม่ได้นูนออกมาจากตัวเครื่องเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้เราจับและถือได้ถนัดมือมากขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เล่นเกมหรือดูวิดีโอที่นิ้วต้องไปสัมผัสโดยด้านหลังก็จะพบความแตกต่างกับความเรียบที่ถือได้สบายๆ
ทั้งนี้ กระจกของฝาหลังยังทำมาแบบโค้ง 3 มิติ ทำให้เวลาเราถือก็จะเหมาะและรองรับกับฝ่ามือพอดิบพอดี เวลาถือนานๆ ก็ไม่บาดมือหรือทำให้เป็นรอยด้วย
หน้าจอแสดงผลของ OPPO Reno2 F มาแบบ Panoramic Screen ชนิด AMOLED ไร้รอยบากไร้ติ่ง ทำให้มีความกว้างถึง 6.5 นิ้ว มีความคมชัดระดับ FHD+ (2340 x 1080 พิกเซล) และมีพื้นที่การใช้งานถึง 91.1% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ หน้าจอรุ่นนี้ยังใช้วัสดุ E1 ที่ทำให้ตอบสนองต่อการสัมผัสได้รวดเร็วและใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย เรียกว่านอกจากจะดูได้เต็มตาแล้ว ยังประหยัดแบตเตอรี่ให้เราด้วย
มาดูรอบเครื่องกันบ้าง เริ่มด้วยเหนือหน้าจอแสดงผลจะมีเพียงลำโพงตัวที่ 2 เป็นแถบยาวๆ อยู่ตรงขอบพอดี
ที่ฝั่งซ้ายของตัวเครื่องจะมีเพียงปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงเท่านั้น
ขณะที่ฝั่งขวาจะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ 3 ช่อง และถัดลงมาจะเป็นปุ่มล็อคเครื่อง
ที่ด้านบนตัวเครื่องจะมีโมดูลกล้องหน้าแบบ Rising Camera อยู่กึ่งกลาง โดยจะมีความรวดเร็วในการเลื่อนอย่างมาก เพียง 0.74 วินาทีเท่านั้น และเมื่อถัดไปที่มุมก็จะมีไมโครโฟนตัวที่ 2 อยู่
ความพิเศษของ Rising Camera ใน OPPO Reno2 F จะมีแสง Atmosphere light ที่อยู่ขนาบข้างตัวกล้องหน้า ซึ่งช่วยได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อคใบหน้าหรือการเซลฟี่
ขณะที่ด้านล่างตัวเครื่องจากซ้ายไปขวาจะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้อยู่, มีไมโครโฟนตัวที่ 1, พอร์ต USB Type-C และลำโพงตัวหลัก
และสุดท้ายทางด้านหลังจะมีกล้องหลัง 4 เลนส์จัดเรียงเป็นแนวตั้งอยู่อย่างสวยงาม โดยหากเรียงลงมาอย่างแรกที่อยู่ในกรอบดำจะเป็น O-Dot ที่เป็นจุดเซรามิกขนาดเล็กที่ช่วยป้องกันเลนส์กล้องและฝาหลังเมื่อเราวางลง ถัดลงมาก็จะเป็นเลนส์ Ultra Wide Angle, เลนส์หลัก 48MP, เลนส์ Mono และมีเลนส์ Portrait ที่อยู่นอกกรอบ โดยมีไฟแฟลช Dual LED อยู่ทางด้านขวาของกล้อง
[ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน]
ระบบปฎิบัติการ
OPPO Reno2 F แกะกล่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ที่ครอบทับด้วย UI รุ่นใหม่ของ OPPO อย่าง ColorOS 6.1 ที่มีการออกแบบมาให้โดยเฉพาะ ทำให้เราใช้งานได้ไหลลื่นยิ่งขึ้น
ตัวของพื้นหลังใน OPPO Reno2 F ก็จะถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสีและดีไซน์ของเครื่องเป็นอย่างมาก ทำให้ดูสวยงามมากขึ้นไปอีก หรือหากใครอยากได้ธีมหรือวอลเปเปอร์ใหม่ๆ ก็เลือกได้ตามในชอบในส่วนของการตั้งค่าเลยครับ
การใช้งานพื้นฐานใน ColorOS 6.1 ก็ยังคล้ายกับของเดิม คือ เมื่อปัดลงจากส่วนบนก็จะเป็นการดูการตั้งค่าด่วนที่ปรับแก้ไขได้ตามใจชอบและมีการแจ้งเตือนต่างๆ ก็จะอยู่ในส่วนนี้ทั้งหมด และที่หน้าจอหลักจะเป็นหน้ารวมแอปพลิเคชั่นที่โหลดไว้ครับ
เมื่อมีหน้าจอเต็มอย่าง Panoramic Screen แบบนี้ เรื่องของปุ่มนำทางก็อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้แล้วก็ได้ เพราะเราสามารถเปลี่ยนให้เป็นแบบใช้ท่าทางทั้งปัดขึ้นเพื่อไปหน้าหลัก หรือปัดซ้าย-ขวาที่ขอบจอเพื่อย้อนกลับก็ได้แล้วแต่ถนัด
ระบบความปลอดภัย
ด้านระบบความปลอดภัย OPPO Reno2 F ก็ให้มาครบครันตั้งแต่เทคโนโลยีการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบออปติคอลรุ่น G3 ที่ทำได้รวดเร็วและเสถียรมากๆ เพียงแต่แตะนิ้วเบาๆ ระบบก็จะปลดล็อคให้ทันที และสามารถจดจำได้มากสุดถึง 5 ลายนิ้วมือ
ส่วนการสแกนใบหน้าก็จะใช้ความสามารถของกล้องหน้า Rising Camera ที่เมื่อเราจะใช้งาน ตัวกล้องก็จะเด้งขึ้นให้อย่างเร็วและสแกนเสร็จเรียบร้อยในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นครับ
ระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Dolby Atmos
ในเรื่องของระบบเสียงก็ให้มาแบบรอบทิศทางอย่าง Dolby Atmos (ต้องใช้หูฟังที่รองรับ) ใครที่ชอบดู Netflix, ฟังเพลง หรือเล่นเกมเป็นประจำต้องชอบระบบเสียงในรุ่นนี้แน่นอน เพราะเสียงที่ได้จากรุ่นนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเราตกไปอยู่ในสิ่งที่เรากำลังเล่นหรือรับชมจริงๆ แถมมีการแยกซ้าย-ขวาอย่างชัดเจน และเสียงเบสก็ค่อนข้างแน่นเลยด้วย
ตัวช่วยเพิ่มความสะดวก
- ลูกบอลช่วยเหลือ : ลูกบอลช่วยเหลือจะทำงานคล้ายกับปุ่มนำทางให้เราได้เลือกใช้งาน เช่น แตะ 1 ครั้งเพื่อย้อนกลับ, แตะ 2 ครั้งเพื่อดูแอปพลิเคชั่นล่าสุด หรือแตะค้างเพื่อไปหน้าจอหลัก แต่เราก็สามารถปรับตั้งค่าได้ทั้งหมดตามใจชอบเช่นกันครับ
- แถบด้านข้างอัจฉริยะ : อีกฟีเจอร์อย่างแถบข้างอัจฉริยะจะเป็นตัวช่วยให้เราเข้าถึงแอปต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ปัดซ้าย-ขวา (แล้วแต่ตำแหน่ง) ระบบก็จะแสดงผลแอปที่เราเลือกเอาไว้ใช้กดใช้ทันที โดยเราสามารถปรับเปลี่ยนได้เหมือนกัน
[ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่]
สำหรับ OPPO Reno2 F มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล MediaTek Helio P70 Octa Core ควบคู่กับ RAM 8GB + ROM 128GB ทำให้ใช้งานส่วนต่างๆ ได้เหลือเฟือ ไม่ว่าจะเป็นการโหลดแอปพลิเคชั่นที่มีพื้นที่ใช้งานเยอะ และ RAM 8GB ที่สามารถเปิดหลายแอปได้สบายๆ โดยเมื่อสลับแอปไปมา ก็แทบไม่ต้องรอโหลดใหม่เลย
สำหรับผลการทดสอบทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมตั้งแต่หน่วยประมวลผล, การ์ดจอ และหน่วยความจำด้วยโปรแกรม AnTuTu Benchmark ทำคะได้ไปได้ที่คะแนน 147,111
ส่วนผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench 5 ทำคะแนนฝั่ง Single-Core ไปที่ 294 และคะแนน Multi-Core ที่ 1,427
ฟีเจอร์และทดสอบด้านการเล่นเกม
ด้านการเล่นเกมก็ใช่ย่อยเหมือนกันสำหรับ OPPO Reno2 F ที่เราจะมาทดสอบให้ได้ชมกันแบบเต็มๆ แต่ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่ารุ่นนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี HyperBoost 2.0 หรือการเร่งประสิทธิภาพให้กับตัวเครื่องเพื่อให้เล่นเกมได้ไหลลื่นยิ่งขึ้น โดยจะประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ Touch Boost 2.0 ช่วยเรื่องของระบบสัมผัสหน้าจอ ไม่มีการอาการหน่วงเวลาสัมผัส อย่างเวลากดสกิลตอนเล่น ROV หรือกดปุ่มเคลื่อนที่ในเกม Call Of Duty: Mobile ก็จะไม่มีความล่าช้าเกิดขึ้น และส่วนที่ 2 คือ Frame Boost 2.0 ที่ช่วยเรื่องของเฟรมเรทให้คงที่อยู่ตลอดทั้งเกม ไม่มีเหวี่ยงหรือดรอปให้เห็น
โดยเทคโนโลยีทั้งหมดเราจะมาทดสอบให้ดูกันจริงๆ ข้างล่างนี้เลย
Call Of Duty: Mobile
สำหรับเกมใหม่แกะกล่องอย่าง Call Of Duty: Mobile ที่หลายๆ คนชมว่าภาพสวยสมจริงยิ่งกว่า PUBG Mobile เราได้ลองปรับภาพกราฟิกระดับสูงสุดในโหมด 6 VS 6 พบว่าการเล่นนั้นไหลลื่น มีการเคลื่อนไหวหรือวิ่งไปตามนิ้วได้ดี ไม่ว่าจะเป็นตอนยิงหรือตอนที่ใช้สกิลยิงจรวดด้วยเรดาร์ก็ตาม ซึ่งเรายังไม่เห็นถึงความหน่วงหรือกระตุกแบบเฟรมเรทเหวี่ยงเลย
ROV
ต่อกันที่เกมประจำอย่าง ROV เราปรับทุกอย่างเป็นภาพและเฟรมเรทสูงสุดทั้งหมด โดยตั้งแต่ช่วงต้นเกม กลางเกม และท้ายเกม เล่นได้แบบลื่นๆ ปล่อยสกิลกันได้แบบเต็มที่โดยไม่ต้องกลัวว่าเฟรมเรทจะดรอป โดยเฉพาะตอนที่บวกกันกลาง Arena แบบ 5 vs 5 ก็ยิ่งเห็นผลชัดเจนเลยว่าภาพยังสวยและเฟรมเรทคงที่มากๆ ครับ
Asphalt 9: Legends
เกมแข่งรถภาพสวยสุดอย่าง Asphalt 9: Legends เราก็เล่นโดยปรับภาพสูงสุดเช่นกัน โดย OPPO Reno2 F เล่นได้เหมือนกับทั้ง 2 เกมก่อนหน้า จะตอนเร่งเครื่องหรือตอนที่ชนกับรถพังยับ กราฟิกต่างๆ ก็ยังสวยคมชัดและไหลลื่นเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ฟีเจอร์การเล่นเกมที่อยู่คู่กับ OPPO มานานอย่าง Game Space 2.0 ก็ยังมีมาเช่นเคย โดยจะเป็นการรวมเกมที่โหลดไว้ในที่เดียว ทั้งยังสามารถปรับระดับในแต่ละเกมได้ตามความเหมาะสม หรือจะปิดกั้นการแจ้งเตือนเพื่อไม่ให้มารบกวนขณะเล่นก็ทำได้เช่นกันครับ
แบตเตอรี่อึด 4000 mAh พร้อม VOOC Flash Charge 3.0
OPPO Reno2 F จัดแบตเตอรี่ก้อนใหญ่มาให้ด้วยความจุถึง 4000 mAh ทำให้เราใช้งานได้ยาวนานทั้งวันจริงๆ เมื่อเราลองชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ในช่วงสายๆ แล้วใช้งานแบบทั่วไป เช่น เล่น Facebook สลับกับดู Youtube หรือถ่ายรูป และเล่นเกมบ้าง เราลองมาดูแบตเตอรี่ในช่วงเที่ยงก็ยังเหลืออยู่ที่ประมาณ 80% และเมื่อไปถึงช่วงค่ำๆ ก็ยังมีเหลือพอให้ใช้งานอยู่ที่ประมาณ 40% กันเลย เพียงพอที่จะนำไปชาร์จต่อในตอนค่ำเมื่อถึงบ้าน
ที่สำคัญ เมื่อแบตใกล้หมด เพียงเราชาร์จไว้ประมาณ 30 นาทีก็ได้แบตเตอรี่คืนมาเกือบๆ 50% เลย จาก 29% อยู่ที่ราวๆ 75% เพราะรุ่นนี้มาพร้อมกับ VOOC Flash Charge 3.0 กำลังไฟ 20W ทำให้ชาร์จได้ไว และมีความปลอดภัยตั้งแต่ตัวอะแดปเตอร์และแบตเตอรี่ในเครื่องถึง 5 ชั้นกันเลย อย่างไรก็ตาม ในช่วงประมาณที่ชาร์จถึง 90% กำลังไฟที่ชาร์จจะลดลงตามอัลกอริธึม VFC แบบใหม่เพื่อลดความร้อนลงแต่ก็ทำให้แบตเตอรี่ไม่เสื่อมไวด้วยเช่นกันครับ
[กล้องถ่ายรูป]
มาถึงฟีเจอร์สุดโดดเด่นและเป็นเครื่องชูโรงของ OPPO Reno2 F ที่ทำให้รุ่นนี้ถ่ายได้ “สวยทุกมุมมอง” ในทั้ง Best Portrait and Selfie กันเลย ผ่านกล้อง 4 เลนส์ ดังนี้
- เลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.79 เซ็นเซอร์ Samsung GM1
- เลนส์ Ultra Wide Angle 119 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- เลนส์ Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
โดยฟีเจอร์จะมีอะไรบ้าง เราจะเจาะลึกกันทีละส่วนเลยดีกว่าครับ
กล้องอัจฉริยะด้วย AI จดจำซีนได้แม่นยำ
การถ่ายภาพได้สวยก็ต้องมีความฉลาดของการประมวลผลต่างๆ ด้วย โดย OPPO Reno2 F มี AI ที่สามารถจดจำ แยกแยะหมวดหมู่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีการปรับสีสันให้เหมาะสมกับวัตถุที่เรากำลังโฟกัสได้อย่างอัตโนมัติ เช่น เมื่อเราลองโฟกัสที่อาหาร ระบบก็จะปรับโทนให้มีความสดมากขึ้น ทำให้อาหารดูสดใหม่น่ารับประทาน หรือหากเป็นต้นไม้ใบหญ้าต่างๆ ความเขียวขจีของความธรรมชาติก็จะเข้มมากขึ้น ทำให้ภาพที่ได้ออกมาสวยงาม ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีการปรับโทนสีไม่ให้เหมือนกันอีกด้วยครับ แล้วแต่วัตถุที่เราเจาะจงเลย
ความละเอียดสูง 48 ล้านพิกเซล
นอกจากมีความฉลาดล้ำแล้ว เรื่องของกล้องเลนส์หลักที่มาพร้อมกับความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล ก็ทำให้เราได้ภาพถ่ายที่มีพิกเซลต่อพิกเซลสูงตามไปด้วย โดยเมื่อถ่ายโหมดพิเศษ 48MP เราได้ภาพขนาด 8000 x 6000 พิกเซล ทำให้ได้ภาพขนาดใหญ่และมีความคมชัดสูง ซึ่งในแต่ละส่วนของภาพระบบจะเก็บรายละเอียดได้ดีมากแม้อยู่ไกลๆ โดยเมื่อลองครอปภาพเข้าไปและซูมวัตถุที่อยู่ไกลตัว ภาพที่ออกมาก็ยังมีชัดเจนมากๆ ซึ่งตรงนี้คือประโยชน์ของพิกเซลที่สูงมากๆ ในกล้อง 48 ล้านพิกเซล ใครที่ชอบทำป้ายบิลบอร์ดหรือไวนิลก็สามารถนำฟีเจอร์ไปลองใช้ได้เลยครับ
ภาพจริง และ ภาพตอนครอป
เบลอหลังอย่างธรรมชาติด้วย Portrait Bokeh
ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์ OPPO สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยคือการถ่ายโหมดบุคคล หรือ Portrait Bokeh ที่ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบมากๆ เรียกว่า “สวยทุกมุมมอง” ของแท้ โดยระบบจะตรวจจับใบหน้าบุคคลให้อัตโนมัติอย่างรวดเร็วพร้อมกับการปรับสีผิวและโทนสีให้อย่างเหมาะสมด้วย AI สุดอัจฉริยะ มีการเบลอฉากหลังแบบไล่ระดับจากด้านหน้าไปด้านหลังได้เนียนตาทำให้ตัวของบุคคลในภาพไม่โดดจนเกินไป ซึ่งส่วนนี้จะทำงานควบคู่กับเลนส์ Portrait ที่มีให้มาแบบเฉพาะ
เราจะเห็นเลยว่าเส้นผมของนางแบบไม่ได้ถูกเบลอทิ้งออกไป เพราะมีการตัดขอบรอบบุคคลที่ดีมากๆ นอกจากนี้ เมื่อเปลี่ยนมาใช้โหมด Portrait ก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของบุคคลนั้นสว่างขึ้นทันทีไม่มีมืดแม้เจอกับสภาวะย้อนแสงก็ตาม รวมไปถึงวัตถุที่อยู่รอบบุคคลก็จะมีการเร่งเฉดสีให้ดูอิ่มมากขึ้นเพื่อไม่ให้บุคคลนั้นเด่นจนเกินพอดีด้วย
ทั้งนี้ในโหมด Portrait Bokeh ยังมีฟิลเตอร์ให้เล่นเรื่องสีกับแสงได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น โดยที่กล้องหลังจะมีถึง 7 แบบกันเลยครับ
Ultra Wide Angle เก็บได้ครบทุกองค์ประกอบ ถ่ายสวยทุกมุมมอง
อีกสิ่งที่ใครหลายคนน่าจะชอบกันมากก็น่าจะเป็นเลนส์ Ultra Wide Angle ที่ทำออกมาได้ดีมาก สามารถถ่ายได้กว้างถึง 119 องศา, เก็บรายละเอียดรอบตัวได้ครบแม้ว่าเราจะยืนอยู่ใกล้วัตถุก็ตาม ใครจะเอาไปถ่ายบรรยากาศหรือสถานที่ท่องเที่ยวก็ถ่ายได้เพลินๆ เก็บทุกองค์ประกอบที่เราต้องการเห็นได้ครบในภาพเดียว ไม่ต้องใช้โหมด Panorama มาช่วย
หรือใครจะถ่าย Ultra Wide Angle กับบุคคลก็ทำได้เหมือนกัน ก็ยิ่งทำให้คนนั้นดูสง่าขึ้นมาทันที และยิ่งถ่ายให้ผู้หญิงก็แทบหมดห่วงไม่ต้องไปถ่ายแก้กันบ่อยเพราะเลนส์ให้ผู้หญิงดูขาเรียวและดูตัวสูงได้อย่างธรรมชาติเลยด้วยครับ รวมไปถึงเมื่อเราถ่ายในที่ที่ดูธรรมชาติ เฉดสีและความสดของสีก็แทบไม่ต่างจากเลนส์หลักเลยด้วย
เปลี่ยนกลางคืนให้สว่างขึ้นด้วย Ultra Night Mode 2.0
สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับสมาร์ทโฟนยุคคนี้คือการถ่ายภาพกลางคืน โดย OPPO Reno2 F ก็จัดเต็มด้วยฟีเจอร์ Ultra Night Mode 2.0 ที่ทำให้คำว่า “สวยทุกมุมมอง” นี่สมบูรณ์แบบกันเลยเพราะเมื่อถ่ายด้วยโหมดนี้ ระบบจะประมวลผลอยู่ราวๆ 3-4 วินาทีเท่านั้น เพื่อให้ภาพกลางคืนสว่างขึ้น แต่ก็ยังมีเฉดสีในภาพรวมที่ยังสดอยู่ ที่สำคัญเรื่องขององค์ประกอบเล็กๆ ในภาพอย่างตัวอักษรที่อยู่ไกลหรือวัตถุเล็กๆ ในรุ่น OPPO Reno2 F ก็ยังคงรายละเอียดที่คมชัดไว้ได้ดีเลยทีเลยทีเดียวครับ
เพลิดเพลินกับการถ่ายภาพด้วย AR Sticker
แน่นอนว่าสมาร์ทโฟนที่สดใสก็ต้องมาพร้อมกับลูกเล่นสุดน่ารักอย่าง AR Sticker ที่มีให้เราเลือกเล่นหลายแบบหลายสไตล์กันเลย ใครชอบแบบไหนก็จิ้มเลือกแล้วใช้งานกันเป็นร้อยแบบครับ นอกจากนี้ ในโหมดนี้ก็ยังให้ความสดใสและความสวยงามของใบหน้าเพิ่มเติมด้วย AI อีกด้วย
ฟีเจอร์สุดน่ารักนี้ก็ใช้ได้กับกล้องหน้าเหมือนกันครับ
จบกล้องหลังไป มาถึงกล้องหน้าเป็นแบบ Rising Camera กันบ้าง โดยมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 ที่จะทำให้ทุกภาพนั้นสวยทุกมุมมองแน่นอน
สำหรับกล้องหน้า Rising Camera ของ OPPO Reno2 F นั้นมีลูกเล่นที่แสงและสีด้วย คือ Atmosphere Light ที่สามารถปรับสีได้ถึง 12 สี เช่น สีแดง, ส้ม, น้ำเงิน, เขียว เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยเรื่องการถ่ายเซลฟี่ให้ง่ายขึ้นมาก ทั้งสามารถกระพริบได้ตามการนับถอยหลัง โดยจะเป็นการกระพริบ 1 วินาทีต่อ 1 ครั้งครับ นับถอยหลัง 3 วินาที ก็กระพริบ 3 ครั้ง เป็นต้น
Portrait Mode 2.0 ถ่ายชัดลึกอย่างธรรมชาติพร้อมความสวยทุกมุมมอง
นอกจากที่กล้องหลังจะถ่าย Portrait Bokeh ได้แล้ว กล้องหน้าก็ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Portrait Mode 2.0 ที่ช่วยเรื่องการเบลอฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติแทบไม่ต่างกัน โดยการเบลอก็จัดขอบได้เนียนตามากๆ ตั้งแต่เส้นผมที่ยังไม่ถูกเบลอออกไปเลย รวมไปถึงบริเวณอื่นที่มีการตรวจจับร่างกายของบุคคลเพื่อไม่ให้ถูกเบลอด้วยเช่นกัน
การใช้ฟีเจอร์นี้จะทำให้การถ่ายเซลฟี่นั้นดูมีมิติมากขึ้น โดยในภาพจะโฟกัสแค่ตัวบุคคลเท่านั้น ทำให้ภาพนั้นออกมาสวยงามและใบหน้าของบุคคลก็ยังได้ความสดใสเพิ่มขึ้นจากการที่ไม่มีพื้นหลังมาคอยแย่งซีนอีกด้วยครับ
ทั้งนี้ Portrait Mode 2.0 ยังมีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้งานตามแบบต่างๆ ได้อีกถึง 5 แบบ น้อยกว่ากล้องหลังเล็กน้อยแต่ความสนุกในการถ่ายภาพก็ยังเหมือนเดิมแน่นอน
ย้อนแสงก็ไม่กลัวเพราะมี HDR Portrait
เรียกว่าถ่ายสวยสมกับคำว่า “สวยทุกมุมมอง” จริงๆ สำหรับ OPPO Reno2 F ที่แม้ว่าเราจะถ่ายย้อนแสงหันไปทางพระอาทิตย์ แต่สิ่งที่เราได้คือใบหน้ายังคงสว่างสดใสเหมือนเดิม ไม่สว่างหรือมืดจนเกินไป แถมพื้นหลังก็ยังไม่ขาวโพลนจนดูไม่รู้เรื่อง แต่กลับมองเห็นถึงความสดใสของท้องฟ้าเช่นกัน
สรุปจุดเด่น
- กล้องหลัง 4 เลนส์ความละเอียดสูงสุด 48MP ถ่ายสวยทุกมุมมองได้ง่ายๆ
- กล้องหน้า Rising Camera ความละเอียด 16 MP สามารถถ่ายได้สวยทั้งแบบปกติและ Portrait
- OPPO Reno2 F มีดีไซน์ที่สวยงามในสี Sky White ตัวเครื่องมีมิติ และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 ทั้งด้านหน้าและหลัง
- Panoramic Screen ชนิด AMOLED กว้างถึง 6.5 นิ้ว มีความคมชัดระดับ FHD+ ทำให้ใช้งานได้แบบเต็มตา เห็นอะไรก็ชัดเจนมาก
- มีแบตเตอรี่ที่อึดถึง 4000 mAh และรองรับ VOOC 3.0 Flash Charge กำลังไฟ 20W ด้วย
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ตัวเครื่องไม่สามารถกันน้ำได้
OPPO Reno2 F มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Sky White และ Lake Green เปิดราคาที่ 11,990 บาท เปิดพรีออเดอร์ตั้งแต่วันนี้ – 25 ตุลาคมนี้ พร้อมรับฟรี OPPO Sport Bag และ VIP Card โดยจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป ณ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ พิเศษ! ซื้อแพ็คเกจผ่านผู้ให้บริการจะเริ่มต้นในราคาเพียง 3,490 บาท รวมไปถึงนำมือถือรุ่นเก่ามาแลกใหม่เป็นส่วนลดได้ได้ ซึ่ง OPPO F Series จะได้รับส่วนลดเพิ่ม 500 บาท