Featured
รีวิว OPPO Reno2 สมาร์ทโฟนพรีเมี่ยม 4 กล้องหลัง ถ่ายชัดทุกระยะ และถ่ายวีดีโอได้นิ่งทุกช็อต
OPPO Reno2 เป็นสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ที่มาพร้อมดีไซน์สุดพรีเมี่ยม อัดแน่นด้วยกล้องหลัง 4 ตัวสำหรับการถ่ายภาพได้อย่างคมชัดทุกระยะ และถ่ายวีดีโอได้นิ่งทุกช็อตด้วยฟีเจอร์ Ultra Steady Video
สรุปข้อมูลและสเปค OPPO Reno2
- ขนาดตัวเครื่อง : 160 x 74.3 x 9.5 มม.
- หน้าจอแสดงผล : Sunlight AMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 6
- หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 730G
- GPU : Adreno 618
- ความจำภายในตัวเครื่อง : RAM 8GB + ROM 256GB สามารถเพิ่ม MicroSD ได้สูงสุด 256GB (ใส่ช่อง SIM 2)
- กล้องถ่ายรูปหลัง 4 เลนส์ :
- เลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 เซ็นเซอร์ Sony IMX586 และรองรับระบบกันสั่น OIS
- เลนส์ Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ Wide Angle 116 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- เลนส์ Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้า Pivot Rising Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 พร้อม Soft light และโหมด AI Beauty
- ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6.1
- รองรับการเชื่อมต่อ Dual Wi-Fi, Bluetooth 5.0, NFC, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4000mAh รองรับ VOOC 3.0 Flash Charge 20W
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
OPPO Reno2 มาในกล่องสีขาวเรียบง่ายแต่ดูน่าค้นหา ซึ่งเป็นกล่องเหมือนกับที่เราเคยเห็นในรุ่น OPPO Reno Series รุ่นแรกนั่นเอง โดยรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ที่เข้ามาวางจำหน่ายในไทยจะเป็นรุ่นความจำ RAM 8GB และความจุเครื่อง 256GB
อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง ได้แก่
- ตัวเครื่อง OPPO Reno2 และแบตเตอรี่ในตัว
- Power Adapter สำหรับชาร์จไฟที่รองรับ VOOC Flash Charge 3.0
- สายเคเบิล USB Type-C
- หูฟังขนาดมาตรฐาน
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
- เข็มจิ้มถาดใส่ซิม
- เคส
ด้านการดีไซน์ตัวเครื่อง OPPO Reno2 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Panoramic Screen ซึ่งเป็นการดีไซน์หน้าจอให้ชิดขอบทุกด้านโดยไม่มีรอยบาก ทำให้ได้เห็นภาพที่กว้างและเต็มตามากขึ้น ซึ่งขอบหน้าจอก็บางมากๆ แทบไม่มีสิ่งใดรบกวนสายตาเวลาใช้งานเลย
หน้าจอของ OPPO Reno2 มีขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล เป็นหน้าจอแบบ Sunlight AMOLED ที่มีอัตราส่วนคอนทราสต์ที่สูง ทำให้สีสันการแสดงผลบนหน้าจอชนิดนี้ดูสดใสสวยงามมากๆ และการปกป้องหน้าจอนั้นถูกครอบด้วย Corning Gorila 6 ซึ่งเป็นกระจกที่มีความแข็งแรงทนทานมากที่สุดจาก Corning ในขณะนี้
ตัวเครื่องของ Reno2 มีให้เลือก 2 สีคือ Luminous Black และ Sunset Pink โดยตัวเครื่องที่ใช้ในรีวิวครั้งนี้เป็นสี Luminous Black ที่ให้ความรู้สึกคลาสสิกเรียบหรู
ด้านหลังตัวเครื่องมีการสร้างความโดดเด่นด้วยสีสันและรูปลักษณ์ที่สวยงามไม่เหมือนใคร พื้นผิวด้านหลังมีความราบเรียบแบบมิติและเงางาม โดยเป็นการใช้กระจกแบบ 3D ที่โค้งเข้าอุ้งมือได้อย่างพอดี ช่วยให้จับถนัดมือมากขึ้น
รอบๆ ขอบเครื่องและขอบบริเวณกลางเครื่องจะเห็นว่ามีมิติของเฉดสีที่เกิดจากการสะท้อนแสงเป็นสีน้ำเงินสวยงามมาก
นอกจากสีสันของตัวเครื่องที่สวยงามโดดเด่นแล้ว OPPO Reno2 มีการจัดตำแหน่งกล้องและข้อความต่างๆ ให้อยู่บริเวณตรงกลาง เพื่อให้เกิดการสมมาตรและดูสมดุล รวมไปถึงเซรามิกขนาดเล็กที่เรียกว่า O-Dot สำหรับปกป้องการเกิดรอยบริเวณกระจกหน้าเลนส์เมื่อวางตัวเครื่องลงกับพื้น และยังดูเหมือนเม็ดอัญมณีที่เพิ่มความสวยงามให้กับตัวเครื่องได้ด้วย
กล้องหลัง 4 เลนส์ประกอบด้วย เลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล + Telephoto 13 ล้านพิกเซล + Wide Angle 8 ล้านพิกเซล + เลนส์ Mono 2 ล้านพิกเซล ซึ่งกรอบเลนส์ไม่นูนขึ้นมาเหนือฝาหลัง ทำให้ด้านหลังราบเรียบและสวยงาม แตกต่างไปจากสมาร์ทโฟนทั่วไปที่มีการดีไซน์กล้องให้นูนขึ้นมาบนฝาหลัง
สำหรับกล้องหน้าถูกซ่อนไว้ในตัวเครื่องด้วยเทคโนโลยีการดีไซน์แบบ Pivot Rising Camera เมื่อมีการใช้งานกล้องหหน้าก็จะถูกยกขึ้นมาอัตโนมัติแบบครีบปลาฉลาม และมี Soft Flash สำหรับการถ่ายเซลฟี่ที่ต้องการความสว่างเมื่อใช้งานที่มืดหรือแสงน้อย
การเลื่อนขึ้นของ Pivot Rising Camera แทบไม่มีเสียงดังขณะเลื่อนและแทบไม่รู้สึกถึงแรงสั่นด้วย รวมถึงการเลื่อนขึ้นเพื่อใช้งานกล้องหน้า เปิดไฟฉาย และปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้าก็ทำได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับการสแกนลายนิ้วมือนั้นสามารถแตะบนหน้าจอบริเวณเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือได้เลย ซึ่งถูกฝังไว้ใต้กระจกหน้าจอ ทำให้ด้านหลังไม่มีต้องมีปุ่มสแกนนิ้วมือ และจากการทดสอบใช้งานพบว่ามีความไวในการอ่านลายนิ้วมือได้รวดเร็วมากๆ แตะเบาๆ ก็สแกนได้เลย
ขอบด้านซ้ายตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง
ขอบด้านขวามีปุ่ม Power และถาดใส่ซิม โดยถาดใส่ซิมของ Reno2 เป็นแบบ Hybrid เลือกได้ว่าจะใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ดหรือเลือกใส่ microSD card เพิ่มความจุตัวเครื่องในช่องซิม 2 ก็ได้
ขอบด้านล่างตัวเครื่องมีช่องหูฟัง 3.5 มม., ไมโครโฟนหลัก, พอร์ต USB Type-C และลำโพงตัวเครื่อง
ซอฟต์แวร์และฟังก์ชั่นการใช้งาน
OPPO Reno2 รันระบบปฏิบัติการ Coloros 6.1 อยู่บนพื้นฐานระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ได้รับการอัพเกรดฟีเจอร์การใช้งานให้มีความง่ายในการเข้าถึงเมนูต่างๆ ได้รวดเร็วมากขึ้น เฉดสีต่างๆ มีความเรียบง่ายและสบายตา โดย Notification และแผงเมนู Quick Settings จะใช้สีพื้นหลังเป็นโทนสีขาวแบบโปร่งแสง รายการแจ้งเตือนต่างๆ จะถูกรวมไว้ในส่วนนี้ สามารถแตะอ่านหรือเคลียร์รายการทั้งหมดได้ในคลิกเดียว
ไอคอนแอปพลิเคชั่นระบบได้รับการดีไซน์ใหม่เช่นเดียวกัน โดยมีสีสันที่สดใสและเป็นไอคอนแบบวงกลม ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทรงสี่เหลี่ยม ทำให้หน้าจอดูเป็นอิสระสวยงาม และมี App Drawer ให้ใช้งานได้แล้ว
Task Switcher สำหรับดูรายการแอปพลิเคชั่นที่เปิดเอาไว้ทั้งหมด ปัดหน้าจอไปทางซ้ายหรือขวาเพื่อเลื่อนดูรายการแอป สามารถสลับไปใช้งานแอปนั้นๆ ได้ทันทีหรือปิดใช้งานก็ได้ และในส่วนนี้เรายังสามารถเลือกเมนูแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งาน 2 แอปได้พร้อมกันอีกด้วย
ฟีเจอร์ใหม่ด้านการเชื่อมต่อ Dual Wi-Fi ที่ทำให้ตัวเครื่องสามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้พร้อมกัน 2 คลื่นความถี่เป็นครั้งแรกของโลก ช่วยให้โหลดแอปพลิเคชั่นเร็วขึ้น 3 เท่า และโหลดแคชวีดีโอเร็วขึ้น 2 เท่า เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้จะสังเกตเห็นไอคอน Wi-Fi เล็กๆ อีกอันอยู่ที่แถบบาร์บนหน้าจอ และเห็นความเร็วของ Wi-Fi มากกว่าแพ็กเกจที่เราใช้งานอยู่
อนิเมชั่นในหน้าจอคำแนะนำการบันทึกใบหน้าสำหรับการปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้าก็มีเอฟเฟ็กต์ตัวการ์ตูน และขณะชาร์จแบตเตอรี่จะมีเอฟเฟ็กต์ไอคอนวงกลมที่เหมือนการไหลของพลังงานเข้าสู่ศูนย์กลางของวงกลม
Hidden Fingerpint Unlock 3.0 เทคโนโลยีล่าสุดในการปลดล็อคหน้าจอด้วยลายนิ้วมือแบบออปติคอล ที่ทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเซ็นเซอร์ใช้ฟิลเตอร์แสงที่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างผิวหนังมนุษย์ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังปลดล็อคได้เร็วขึ้นเพราะว่ามีการเพิ่มความสว่างของพื้นที่ปลดล็อคมากขึ้นนั่นเอง
สีสันการแสดงผลบนหน้าจอของ OPPO Reno2 มีให้เลือก 2 โหมด ได้แก่ สีสันแบบเจิดจ้า ซึ่งเป็นโหมด Vivid Colors ที่ทำให้หน้าจอมีสีแบบภาพยนตร์ (DCI-P3) สีสดและสวยสมจริงมากขึ้น และอีกโหมดคือ สีอ่อนโยน จะได้ภาพที่มีสีสันสบายตาและอ่อนโยนมากขึ้น
การดูคลิปวิดีโอบน YouTube พบว่ารองรับการแสดงผลภาพในระดับ FullHD 1080p @60fps ซึ่งจะทำให้ภาพมีความสวยงาม
ด้านความบันเทิงและเสียงนั้น OPPO ก็ได้เปิดตัวหูฟังไร้สาย OPPO Enco Q1 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนแบบ Hybrid ANC คือการตัดเสียงจากไมโครโฟนแบบ Feed Forward (FF) และ Feed Back (FB) ซึ่งไมค์ทั้ง 2 สามารถทำงานประสานกันเพื่อติดตามเสียงรอบข้าง ทำให้ตลอดการใช้งานที่ฟังเสียงหรือพูดผ่านหูฟังตัวนี้จะประสิทธิภาพการตัดเสียงรบกวนที่ดีที่สุด
OPPO Enco Q1 ถือเป็นหูฟังที่จะสร้างประสบการณ์ด้านเสียงให้กับการดูหนัง ฟังเพลง รวมไปถึงการเล่นเกมด้วย ซึ่งตัวหูฟังก็สามารถคล้องคอและมีแม่เหล็กที่จะดูดติดกันได้เมื่อไม่ได้สวมใช้งานที่หู
ระบบเสียงของ Reno2 รองรับ Dolby Atmos เมื่อใช้งานร่วมกับหูฟัง จะได้มิติของเสียงที่สมจริงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง และการเล่นเกมก็จะสนุกมากยิ่งขึ้นด้วย อีกทั้งยังมาพร้อมกับหน้าจอ Sunlight AMOLED ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้อย่างคมชัด สู้แสงได้ดีมากขึ้นเมื่อใช้งานกลางวันที่มีแสงจ้ามากๆ
เมื่อใช้งานในที่แสงน้อยหรือในที่มืดก็มีเทคโนโลยี DC Dimming ที่ช่วยปรับแสงบนหน้าจอตามสภาพแสงที่มากและน้อย ถนอมสายตาได้ดีมากขึ้นเมื่อมองหน้าจอแสดงผลเป็นเวลานานๆ
Riding Mode ฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้การขับขี่ไม่ถูกรบกวน เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน โดยระบบจะใช้ตัวอักษรและปุ่มขนาดใหญ่ที่สามารถรับหรือปฏิเสธได้เท่านั้น และถ้าเลือกปฏิเสธสายโทรเข้า ระบบจะส่ง SMS กลับอัตโนมัติไปยังสายที่โทรเข้า หรือจะเลือกกำหนดเบอร์โทรศัพท์ที่อนุญาตในการรับสายได้ เพื่อไม่ให้พลาดสายที่สำคัญ
OPPO Cloud Service เป็นบริการที่ทาง OPPO ได้เพิ่มเข้ามาให้กับสมาร์ทโฟนของตนเองในทุกๆ รุ่น เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานสำหรับสำรองข้อมูลทั้งรูปภาพ วิดีโอ รายชื่อติดต่อ บุ๊กมาร์กของเบราว์เซอร์ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ไปยัง Cloud โดยอัตโนมัติ ซึ่งข้อดีของบริการนี้จะช่วยให้การโอนถ่ายข้อมูลไปยังเครื่องใหม่ทำได้รวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา และข้อมูลสำคัญไม่หายด้วย
Digital Wellbeing หน้าแดชบอร์สรุปข้อมูลการใช้งานสมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชั่นต่างๆ ทำให้ผู้ใช้งานทราบว่าใช้เวลาอยู่กับสมาร์ทโฟนมากน้อยขนาดไหนในแต่ละวัน หรือแม้กระทั่งจำนวนครั้งที่ปลดล็อคสมาร์ทโฟน ฟีเจอร์นี้ก็จะทำการบันทึกไว้ด้วย
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
OPPO Reno2 ใช้ชิพประมวลผล Snapdragon 730G ที่มีกระบวนการผลิตขนาด 8 นาโนเมตร โดยซีพียู Octa-core แบ่งการทำงานออกเป็น Dual-core 2.2GHz Kryo 470 Gold และ Hexa-core 1.8GHz Kryo 470 Silver พร้อมกราฟิก Adreno 618 และแรม 8GB โดยผลการทดสอบ AnTuTu เป็นการทดสอบภาพรวมของการทำงานในส่วนของหน่วยความจำแรม และประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลกราฟิกหรือจีพียู ทำคะแนนรวมได้ 216,424 คะแนน
ผลการทดสอบด้วย Geekbench 5 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผล การทดสอบนี้จะทำการประมวลออกมาเป็นตัวเลขแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Single-Core และ Multi-Core หากได้คะแนนยิ่งสูงประสิทธิภาพการทำงานจะยิ่งดี โดยผลทดสอบของ OPPO Reno2 ทำคะแนน Single-Core ได้ 543 คะแนน และ Multi-Core ทำได้ 1,751 คะแนน
นอกจากนี้แล้วในการเล่นเกม ยังสามารถเปิดโหมดการเร่งความเร็วเกม Hyper Boost 2.0 เพื่อเรียกใช้งานซีพียูและปรับจีพียูให้จัดลำดับความสำคัญให้มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการเล่นเกม เพื่อไม่ให้มีการรบกวนระหว่างเล่นเกมได้ Hyper Boost ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องถึง 3 ด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องเกม แต่ยังช่วยในส่วนของระบบ และแอปพลิเคชั่นทำให้ทำงานได้เร็วขึ้นด้วย
สำหรับ Game Space ได้รับการอัพเดทใหม่ใน ColorOS 6 มีหน้าตาและโทนสีที่สื่อถึงพลังในการประมวลผล ซึ่งฟีเจอร์นี้สำหรับใช้ในการจัดการเกมเอาไว้ในที่เดียว สามารถเลือกโหมดการเล่นเกมเพื่อประสิทธิในการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นโหมดแข่งขัน หรือโหมดสมดุล
Reno2 ได้รับการรับรองประสิทธิภาพการเล่นเกมระดับ 5 ดาวจาก TUV Rheinland ผู้นำในการตรวจสอบมาตรฐานบริการระดับโลก โดยการรับรองครั้งนี้ได้รับการทดสอบประสิทธิภาพการเล่นเกมของตัวเครื่องทั้งหน้าจอ ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ และความแรงของสัญญาณ
สำหรับเกม RoV ตัวเครื่องรองรับโหมดเฟรมเรตสูง ภาพระดับ HD สามารถได้ลื่นไหล ไม่มีปัญหา เฟรมเรตนิ่งมากระหว่าง 58-60 fps บางจังหวะวิ่งทะลุไปที่ 61fps อีกทั้งหน้าจอที่กว้างยังช่วยให้เห็นสภาพแวดล้อมรอบๆ ขอบจอได้ดีมากขึ้น โอกาสมองเห็นศัตรูที่อยู่ขอบจอก็มีมากขึ้นด้วย
แม้แต่ช่วงการเข้าร่วมทีมไฟต์ เฟรมเรตไม่ตก แถมยังวิ่งที่ 61fps อีกด้วย ซึ่งการแสดงผลภาพที่ดูลื่นไหลตลอดการเล่นเกม นอกจากชิปเซ็ตที่เร็วแรงที่สุดแล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจาก Hyper Boost 2.0 ที่มาพร้อม FrameBoost สำหรับช่วยให้อัตราเฟรมเรตทำได้แบบนิ่งๆ ไม่สะดุด และ TouchBoost ที่ทำให้ความไวในการแตะสัมผัสหน้าจอเพื่อควบคุมการเล่นเกมทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ทดสอบเล่นเกม Asphalt 9 : Legends เกมแข่งรถจาก Gameloft ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ประสบการณ์เกมคอนโซลที่สมจริงและภาพกราฟิกที่สวยงามมากขึ้นด้วยเทคนิค HDR พร้อมรถจากหลายค่ายดัง ก็สามารถเล่นบน OPPO Reno2 ได้ลื่นไหล และไม่มีกระตุกเลยแม้แต่นิดเดียว
ทดสอบเล่นเกม PUBG Mobile สุดยอดเกมแอ็คชั่นใหม่ล่าสุดที่พัฒนาด้วย Unreal Engine 4 เป็นเกมที่มีภาพและกราฟิกที่สวยงามมาก ต้องใช้การควบคุมทิศทาง และความแม่นยำในการระบุเป้ายิง OPPO Reno2 สามารถเล่นได้ในโหมดกราฟิกระดับสูง และความละเอียดภาพแบบ HD
อีกหนึ่งความเร้าใจและทำให้การเล่นเกม PUBG Mobile หรือเกมแนวเดียวกันนี้มีความสนุกมากขึ้นไปอีกคือ ระบบเสียง Dolby Atmos แบบสเตอริโอซ้ายขวาเมื่อใช้งานร่วมกับหูฟัง ทุกครั้งที่ยิงจะได้เสียงที่กระหึ่มสะใจมากๆ และถ้ามีเสียงปืนหรือเสียงเดินจากทางด้านซ้าย ลำโพงหูฟังซ้ายก็จะดัง และถ้าอยู่ทางด้านขวา ลำโพงหูฟังทางขวาก็จะดัง
ทดสอบเล่นเกม Call of Duty Mobile ซึ่งเป็นเกม FPSs ในตำนานที่เปิดให้เล่นกันได้แล้วบนมือถือ โดยตัวเกมมาพร้อมกับกราฟิกที่สวยสมจริงมากๆ จากการเล่นบน OPPO Reno2 พบว่าลื่นไหลดีตลอดการเล่น การแตะหน้าจอเพื่อเลื่อนมุมมองหรือเล็งเป้าก็ตอบสนองได้รวดเร็วแบบทันทีไม่มีหน่วง
อีกหนึ่งฟีเจอร์เจ๋งๆ ที่ชอบมากๆ ระหว่างการเล่นเกมแล้วต้องพิมพ์ข้อความ ด้วยฟีเจอร์ใหม่จะไม่มีคีย์บอร์ดขึ้นมาดันหน้าจอและบังเต็มหน้าจออีกต่อไปแล้ว ทำให้ระหว่างการพิมพ์ข้อความก็ยังมองเห็นหน้าจอได้ตลอดเวลา และคีย์บอร์ดก็สามารถเลื่อนไปวางตำแหน่งใดบนหน้าก็ได้ด้วย
แบตเตอรี่ของรุ่นนี้มีความจุมากถึง 4000mAh จากการทดสอบใช้งานทั่วไป เปิดกล้องถ่ายรูปทั้งวันเป็นร้อยรูป, เล่นเกมต่อเนื่องไปชั่วโมงกว่าๆ พบว่าแบตเตอรี่ยังเหลือกลับมาถึงบ้าน และยังมีระบบชาร์จไว VOOC 3.0 ด้วยกำลังไฟสูงสุด 20W โดยทั้งหัวอะแดปเตอร์และสายชาร์จมีให้ในกล่อง ไม่ต้องซื้อเพิ่ม
จากการทดสอบชาร์จแบตเตอรี่เพื่อทดสอบความเร็ว VOOC 3.0 เริ่มจาก 15% – 62% ใช้เวลาเพียง 30 นาที และใช้เวลาชาร์จ 50 นาที ได้แบตเตอรี่ถึง 83% ซึ่งรวดเร็วมากๆ และเทคโนโลยีการชาร์จยังมีความปลอดภัยในการชาร์จจากหัวชาร์จถึงแบตเตอรี่ภายในตัวเครื่องด้วยระบบความปลอดภัย 5 ขั้นตอน
กล้องถ่ายรูป
OPPO Reno2 มีกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว ประกอบด้วย 48 + 13 + 8 + 2 ล้านพิกเซล ซึ่งแต่ละเลนส์กล้องก็มีระยะในการถ่ายและฟีเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป
Auto Mode ถ่ายยังไงก็สวย ด้วย AI Scene Recognition
AI Scene Recognition เป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ในกล้องของสมาร์ทโฟน OPPO เกือบทุกรุ่น ซึ่งเป็นตัวช่วยที่จะคอยตรวจจับวัตถุที่กำลังถ่าย รวมไปถึงสภาพแสง และสภาพแวดล้อม แล้วปรับค่ากล้องให้เหมาะกับการถ่ายฉากนั้นๆ อัตโนมัติ ทำให้ได้ภาพที่สวยงาม ซึ่งผู้ใช้งานไม่ต้องปรับค่ากล้องเอง
Ultra Wide Angle ถ่ายภาพมุมกว้าง
กล้อง Wide Angle ของ Reno2 ถ่ายภาพได้มุมกว้าง 116 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เหมาะสำหรับการถ่ายวิวที่ต้องการเก็บบรรยากาศรอบๆ ได้ครบหรือถ่ายภาพคนเป็นกลุ่ม รวมไปถึงสถานการณ์ที่มีพื้นที่แคบๆ ก็สามารถเปิดโหมดนี้ถ่ายได้โดยไม่ต้องถ่ายไกล
ซูมไกลสุด 20 เท่า ไกลแค่ไหน ก็เห็นชัด
กล้องของ OPPO Reno2 สามารถซูมแบบ Hybrid ได้ถึง 5 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด และซูมต่อเนื่องแบบ Digital ไปได้ไกลสุดถึง 20 เท่า ซึ่งจากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าการซูมในระยะ 5 เท่าเก็บรายละเอียดได้ดีมาก มีความคมชัด และในระยะ 20 เท่า ก็ยังให้รายละเอียดครบว่าวัตถุที่ซูมนั้นคืออะไร
Al Beauty Mode สวยเป็นธรรมชาติ
AI Beauty เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้การถ่ายภาพใบหน้าบุคคลออกมาสวยงามเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องแต่งผ่านแอปพลิเคชั่นอื่นให้ยุ่งยาก ซึ่งฟีเจอร์มีความฉลาดในการจำแนกและปรับโทนสีผิวตามสภาพแสงโดยรอบ และรองรับการปรับความสวยได้สูงสุดถึง 4 คนในภาพถ่ายเดียวกัน
Portrait Mode ถ่ายคนหน้าชัดหลังเบลอ
Portrait Mode เป็นการเพิ่มลูกเล่นลงในภาพถ่ายด้วยเอฟเฟ็กต์โบเก้ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของฮาร์ดแวร์กล้องและตัวซอฟต์แวร์ที่มีความฉลาดในการจำแนกวัตถุออกจากพื้นหลัง ทำให้สามารถละลายฉากหลังได้เนียนเป็นธรรมชาติ การตัดขอบก็มีความแม่นยำและคมมาก
การถ่ายภาพบุคคลด้วย Portrait Mode ยังสามารถเพิ่มเอฟเฟ็กต์แสงไฟได้ด้วย มีให้เลือกทั้งหมด 6 ฟิลเตอร์ ซึ่งแต่ละแสงก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
HDR Mode สภาพแสงไหนก็เห็นชัดทุกรายละเอียด
HDR Mode เป็นการถ่ายภาพในสภาพแสงที่ต่างกันมากๆ หรือที่ที่มีแสงน้อยมากๆ แล้วนำภาพที่ถ่ายหลายช็อตมารวมเป็นภาพเดียวกัน เพื่อเพิ่มความสว่างให้กับพื้นที่ที่มีแสงน้อยได้ย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่พื้นที่แสงจ้ามากๆ ก็จะลดแสงลงเพื่อให้เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้น
Ultra Macro Mode เล็กแค่ไหนก็เห็นชัด
Ultra Macro Mode ใช้สำหรับถ่ายวัตถุที่มีขนาดเล็กๆ ในระยะใกล้ๆ เช่น สัตว์เล็กๆ และพืชเล็กๆ พร้อมกับเทคโนโลยีการจำแนกสถานการณ์อัจฉริยะที่จะแนะนำเลนส์ที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายภาพระยะใกล้โดยอัตโนมัติ และสามารถเข้าใกล้วัตถุได้ใกล้ถึง 2.5 เซ็นติเมตร
Ultra Dark Mode เปลี่ยนความมืดเป็นความสว่าง
ก้าวไปอีกขันสำหรับ Reno2 ที่มาพร้อม Ultra Dark Mode ทำให้การถ่ายภาพง่ายในที่มืดสามารถสว่างขึ้น และเห็นรายละเอียดวัตถุต่างๆ ได้ ด้วยความฉลาดของ NPU ที่จะปรับค่าความสว่างของกล้องให้อัตโนมัติหากระดับแสงมีความมืดมากๆ โดยไม่สร้าง Noise ในขณะที่ถ่ายภาพกลางคืนทั่วไปก็เก็บแสงได้อย่างคมชัด
กล้องหน้าเซลฟี่ 16 ล้านพิกเซล
OPPO Reno2 มีกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 และโหมด AI Beauty ที่ช่วยให้การถ่ายเซลฟี่ออกมาสวยงามเป็นธรรมชาติในทุกสภาพแสง
นอกจากนี้ก็ยังมีลูกเล่นสติกเกอร์ AR น่ารักๆ ให้เลือกใช้งาน เห็นตัวอย่างได้แบบเรียลไทม์ขณะถ่าย เพิ่มความสนุกให้กับการถ่ายรูปทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
ถ่ายวิดีโอนิ่งทุกช็อต
OPPO Reno2 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีความโดดเด่นด้านการถ่ายรูปและการถ่ายวิดีโอ โดยมีการอัพเกรดและเพิ่มฟีเจอร์เพื่อการถ่ายวิดีโอได้ดีมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโหมด Ultra Steady ที่ช่วยให้การถือถ่ายวิดีโอด้วยมือเปล่าแทบไม่มีการสั่นไหวเลย ภาพนิ่งและดูนุ่มนวลมากๆ ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีกันสั่นทั้ง OIS และ EIS
การบันทึกเสียงขณะถ่ายวิดีโอสามารถเลือกได้ว่าต้องการเสียงในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็น Atmos Mode ใช้ไมโครโฟน 3 ตัวเพื่อสร้างเอฟเพ็กต์เสียงแบบรอบทิศทาง 360 องศา และ Audio Focus สามารถกรองเสียง
รบกวนที่มาจากทิศทางอื่นออกได้เมื่อถ่ายวิดีโอ
Video Zoom เทคโนโลยีสำหรับการถ่ายวิดีโอที่มีการซูมเข้าไปยังวัตถุแบบ Hybrid ได้ 5 เท่า โดยไม่สูญเสียรายละเอียด และซูม Digital ได้สูงสุด 20 เท่า พร้อมกับฟีเจอร์ Audio Zoom ที่ช่วยเพิ่มเสียงของวัตถุที่ทำการซูมเข้าไปหาได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จะมีประโยชน์มากๆ เมื่อถ่ายวิดีโอในขณะลมแรงหรือถนนที่มีผู้คนจำนวนมาก เป็นต้น
ชมคลิปวิดีโอถ่ายด้วยโหมด Ultra Steady
Bokeh Effect Video ฟีเจอร์ที่ทำให้การถ่ายวิดีโอมีความโดดเด่นสวยงามมากกว่าการถ่ายวิดีโอทั่วไป โดยก่อนการถ่ายวิดีโอสามารถปรับพื้นหลังให้เป็นแบบหน้าซัดหลังเบลอได้ ซึ่งเอฟเพ็กต์นี้รองรับทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง และรองรับการเบลอพื้นหลังเฉพาะการถ่ายคน 1 คนเท่านั้น
ชมคลิปวิดีโอ Bokeh Effect Video
สรุปจุดเด่น
- ดีไซน์สวย วัสดุพรีเมี่ยม หน้าจอใหญ่เต็มตา สีสันคมชัดด้วยหน้าจอแบบ Sunlight AMOLED FHD+
- ซีพียู Qualcomm Snapdragon 730G และ Adreno 618 ใช้งานทั่วไปและเล่นเกมกราฟิกสวยๆ ได้สบาย มาพร้อม RAM 8GB ใช้งานได้ลื่นๆ
- ROM 256GB สามารถเพิ่ม MicroSD ได้สูงสุด 256GB
- กล้องถ่ายรูปหลัง 4 เลนส์ ครบทุกระยะในการถ่ายรูป ระบบโฟกัสทำงานได้รวดเร็ว ไม่หน่วง และอัพเกรดเพิ่มฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอ
- กล้องหน้า Pivot Rising Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เซลฟี่สวยคมชัด
- ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6.1 มีฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ใช้งานเพียบ
- รองรับ Dual Wi-Fi, Bluetooth 5.0, NFC, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4000mAh รองรับ VOOC 3.0 Flash Charge 20W
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ตัวเครื่องไม่มีลำโพงคู่ โดยรองรับระบบเสียง Dolby Atmos เมื่อใช้งานกับหูฟัง
OPPO Reno2 F สามารถถ่ายภาพได้สวยทุกมุมมองในราคา 11,990 บาท และ OPPO Reno2 ให้ภาพถ่ายคมชัดในทุกระยะ ราคาอยู่ที่ 17,990 บาท โดยมีโปรโมชั่นจาก AIS, dtac และ TrueMove H เริ่มต้นเพียง 3,490 บาท ดูรายละเอียดที่นี่