Featured
รีวิว realme 11 Pro Series 5G สมาร์ทโฟนกล้อง 200MP. ซูมเหนือระดับ l ดีไซน์ Premium Vegan Leather l หน้าจอ Curved Vision
รีวิว realme 11 Pro Series 5G แบบฉบับจัดเต็มมาตามนัดแล้วครับ โดยคู่หูทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G มีการอัปเกรดอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งสเปค ดีไซน์ กล้อง และเทคโนโลยีการชาร์จเร็วที่สมาร์ทโฟนเรือธงยังต้องเหลียวมอง เพราะทุกส่วนในตระกูลนี้มีราคาเพียงหมื่นกลางๆ เท่านั้น
สรุปสเปค realme 11 Pro+ 5G
- ขนาดตัวเครื่อง (สี Sunrise Beige & Oasis Green) : 161.6 x 73.9 x 8.7 มม.
- น้ำหนัก (สี Sunrise Beige & Oasis Green) : 189 กรัม
- ขนาดตัวเครื่อง (สี Astral Black) : 161.6 x 73.9 x 8.2 มม.
- น้ำหนัก (สี Astral Black) : 183 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบโค้ง Curved Vision Display ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2412 x 1080 พิกเซล) รองรับ Refresh Rate 120Hz, Touch Sampling Rate 360Hz, HDR10+, Contrast Ratio 5000000:1 แสดงผลสี 1.07 พันล้านสี, PWM Dimming 2160Hz, 100% DCI-P3 และความสว่างสูงสุด 950 นิต
- หน่วยประมวลผล : MediaTek Dimensity 7050 Octa Core ความเร็ว 2.6GHz
- GPU : ARM Mali-G68
- RAM : 12GB
- ROM : 512GB
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์ ดังนี้
- เลนส์หลักความละเอียด 200 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.69 รองรับกันสั่นไหว OIS เซ็นเซอร์ Samsung HP3
- เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 112 องศา
- เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ระยะโฟกัส 4 ซม.
- กล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.45
- ระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย realme UI 4.0
- รองรับ 5G + 5G Dual Mode
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11 a/b/g/n/ac/ax), Bluetooth 5.2, NFC และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh รองรับ 100W SUPERVOOC Charge
สรุปสเปค realme 11 Pro 5G
- ขนาดตัวเครื่อง (สี Sunrise Beige & Oasis Green) : 161.6 x 73.9 x 8.7 มม.
- น้ำหนัก (สี Sunrise Beige & Oasis Green) : 191 กรัม
- ขนาดตัวเครื่อง (สี Astral Black) : 161.6 x 73.9 x 8.2 มม.
- น้ำหนัก (สี Astral Black) : 185 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบโค้ง Curved Vision Display ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2412 x 1080 พิกเซล) รองรับ Refresh Rate 120Hz, Touch sampling rate 360Hz, HDR10+, Contrast Ratio 5000000:1 แสดงผลสี 1.07 พันล้านสี, PWM Dimming 2160Hz, 100% DCI-P3 และความสว่างสูงสุด 950 นิต
- หน่วยประมวลผล : MediaTek Dimensity 7050 Octa Core ความเร็ว 2.6GHz
- GPU : ARM Mali-G68
- RAM : 8GB
- ROM : 256GB
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 2 เลนส์ ดังนี้
- เลนส์หลักความละเอียด 100 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.75 รองรับกันสั่นไหว OIS
- เลนส์ Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.45
- ระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย realme UI 4.0
- รองรับ 5G + 5G Dual Mode
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11 a/b/g/n/ac/ax), Bluetooth 5.2, NFC และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh รองรับ 67W SUPERVOOC Charge
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
แกะกล่อง realme 11 Pro Series 5G
กล่องของ realme 11 Pro Series 5G มาในรูปแบบเอกลักษณ์ของ realme ด้วยสีเหลืองเด่นชัดเจน มีชื่อรุ่น “11 Pro+” หรือ “11 Pro” ที่ด้านหน้าอย่างชัดเจน
ส่วนด้านหลังจะเป็นสเปคหลัก 4 จุดต่างๆ ของ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G ที่ต่างกันเล็กน้อยครับ
เมื่อเปิดออกมาจะพบกับกล่องอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใส่อุปกรณ์เสริมเอาไว้ โดยมีเคสใสมาด้วย (ตัวเครื่องสีเบจ Sunrise Beige จะเป็นเคสใสทั่วไปเพื่อโชว์ตัวเครื่อง / ตัวเครื่องสีดำ Astral Black จะเป็นเคสใสสีดำ) พร้อมด้วยคู่มือการใช้งานเบื้องต้นและคู่มือการรับประกันสินค้า และเข็มเปิดถาดซิมครับ
ถัดลงมาอีกชั้นจะเป็นตัวเครื่อง realme 11 Pro+ 5G หรือ realme 11 Pro 5G โดยทั้งคู่ติดฟิล์มกันรอยมาให้แล้วเรียบร้อยครับ
และในชั้นสุดท้ายจะเป็นอะแดปเตอร์ 100W ในรุ่น realme 11 Pro+ 5G และ 67W ในรุ่น realme 11 Pro 5G ส่วนสาย USB Type-C จะให้มาแบบเดียวกัน
ดีไซน์หนังวีแกนพรีเมียมจากอดีตดีไซเนอร์ GUCCI
realme 11 Pro Series 5G ทั้ง 2 รุ่นมาด้วยกัน 2 สี 2 สไตล์ แต่ขอเริ่มกันด้วย realme 11 Pro+ 5G ที่มาในสีเบจ Sunrise Beige ที่ชูโรงด้วยวัสดุหนังวีแกนพรีเมียมกันก่อนครับ
realme 11 Pro+ 5G สี Sunrise Beige มาพร้อมกับวัสดุหนังแบบ Sunrise Design ได้ความสวยงามที่ดูพรีเมียมที่สามารถสัมผัสถึงการทอผ้าแบบ 3 มิติ ให้ผิวสัมผัสที่เกินคำว่าสมาร์ทโฟนไปจริงๆ ให้ความรู้สึกถึงความประณีตในการออกแบบ
ดีไซน์ดังกล่าวของ realme 11 Pro Series 5G ได้จับมือกับ Matteo Menotto อดีตดีไซเนอร์ภาพพิมพ์และสิ่งทอจากแบรนด์ GUCCI ที่นำการออกแบบระดับพรีเมียมของแบรนด์ชั้นนำเข้ามาสู่สมาร์ทโฟนในตระกูลนี้ครับ ทั้งยังเป็นการสร้างผลงานพิมพ์ที่ผสมผสานความงามของแฟชั่นในเมืองมิลานเข้ากับการออกแบบของ realme 11 Pro Series 5G และยังเป็นการได้รับแรงบันดาลใจจากถนนในกรุงมิลานยามพระอาทิตย์ขึ้นที่ส่องสว่างขึ้นมาด้วย
และที่ขาดไม่ได้เลยคือแถบสีเหลืองทองที่ทำให้เป็นเสมือนแสงแดดสีทองส่องกระทบสถาปัตยกรรมคลาสสิกอันงดงามที่ไล่ตั้งแต่ด้านล่างตัวเครื่องไปยังขอบโมดูลกล้องและไปถึงส่วนบนสุด
ส่วนอีกสีและอีกรุ่นจะเป็น realme 11 Pro 5G ในสีดำ Astral Black สีนี้จะใช้เป็นวัสดุฝาหลังพลาสติกที่งานประกอบแน่นหนาและแข็งแรง ซึ่งสี Astral Black ไม่ได้เป็นสีดำทึบแต่เหมือนจะมีการฝังกริตเตอร์เข้าไปด้วย เวลาสะท้อนแสงจะได้ความสวยงามที่เปล่งประกายออกมาด้วยครับ
ทั้ง 2 รุ่นมีความโค้งที่ด้านหลังทำให้เวลาใช้งานจะถนัดมือมากๆ ไม่ลื่นหลุดมือ และด้วยความบางของตัวเครื่องเพียง 8.2 มม. (Astral Black) และ 8.7 มม. (Sunrise Beige) ก็ช่วยเสริมให้ให้ตัวเครื่องนั้นดูบางขึ้นไปอีกเวลามองด้วยสายตา
หน้าจอแสดงผล Curved Vision Display ใช้งานเต็มตา สีสันจัดเต็ม
realme 11 Pro Series 5G ทั้ง 2 รุ่นให้สเปคหน้าจอมาเหมือนกันทั้งหมด โดยมาในรูปแบบโค้ง Curved Vision Display แบบ 61 องศา ที่เป็นคาวมโค้งกำลังพอดีและไม่เกิดอาการจอลั่นแน่นอน ขณะที่พาเนลหน้าจอจะเป็นแบบ AMOLED ได้ความสดใสสวยงามจัดเต็ม พร้อมรับชมได้เต็มตาด้วยขนาด 6.7 นิ้ว คมชัด FHD+ (2412 x 1080 พิกเซล) และใครที่ชอบดูภาพยนตร์หรือวิดีโอจะต้องชอบแน่นอนเพราะรองรับทั้ง HDR10+, แสดงผลสี 1.07 พันล้านสี (10 Bit), 100% DCI-P3 และค่า Contrast Ratio 5000000:1
ในเรื่องความไหลลื่นก็เอาใจสายเกมด้วย Refresh Rate สูงสุด 120Hz ควบคู่กับ Touch Sampling Rate 360Hz สัมผัสได้ติดนิ้วแน่นอน และยังมีการตรวจจับการสัมผัสจอสูงสุด 1260Hz ถูกใจเกมเมอร์ที่ต้องการความเร็วในการตอบสนองที่รวดเร็วสุดๆ
ฟีเจอร์อื่นๆ ของหน้าจอจะรองรับทั้ง PWM Dimming 2160Hz ที่รองรับมาตรฐานจาก TÜV Rheinland ในการถนอมสายตา ทั้งยังใช้งานกลางแจ้งได้ชัดเจนด้วยความสว่างสุงสุด 950 นิต ซึ่งหากใครเปิดการปรับความสว่างอัตโนมัติจะปรับได้สูงสุด 20,000 ระดับ และตัวขอบหน้าจอด้านล่างยังมีความบางเพียง 2.33 มม. เท่านั้นเอง
พาชมรอบตัวเครื่อง
บริเวณเหนือหน้าจอแสดงผลจะได้กล้องหน้า Punch Hole แบบเจาะรูตรงกลาง พร้อมลำโพงสำหรับสนทนาและเป็นลำโพงที่ 2 ที่รองรับ Dolby Atmos ครับ
ที่ด้านล่างตัวเครื่องจะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM 2 ช่อง ถัดไปเป็นไมโครโฟนตัวที่ 1, พอร์ต USB Type-C และลำโพงตัวหลักตัวที่ 1
ส่วนด้านบนจะมีรู 3 ช่องเพื่อกระจายเสียงของลำโพงที่อยู่ตรงเหนือหน้าจอนั่นเองครับ และถัดไปเป็นไมโครโฟนตัวที่ 2 เพื่อรับเสียงและตัดเสียงรบกวนภายนอก
ทางฝั่งขวาตัวเครื่องจะมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power
และสุดท้าย ฝาหลังจะมีโมดูลกล้องหลังทรงกลมเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น มีการเรียงส่วนต่างๆ เป็นไฟแฟลชด้านบนสุดของวงกลม ส่วนด้านล่างจะเป็นสัญลักษณ์ 200MP OIS CAMERA (ใน realme 11 Pro+ 5G) หรือ 100MP OIS CAMERA (ใน realme 11 Pro 5G) โดยตัวเลนส์กล้องจะเรียงเป็นแนวนอนในแถบกลาง (realme 11 Pro 5G จะมีเพียง 2 เลนส์)
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฏิบัติการ
realme 11 Pro Series 5G แกะกล่องมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย realme UI 4.0 โดยจะมีฟีเจอร์ให้ใช้งานกันเยอะมากๆ ตามด้านล่างนี้เลย
ระบบความปลอดภัย
realme 11 Pro Series 5G ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยที่ให้มาเหมือนกันทั้งคู่ ตั้งแต่การรองรับการสแกนลายนิ้วมือหน้าจอที่ใช้งานได้รวดเร็ว เสถียร และแม่นยำครับ
ส่วนการสแกนใบหน้าก็ใช้งานได้แม่นยำ สแกนได้ทั้งการวางเครื่องในแนวตั้งและแนวนอนเลยครับ
ใช้งาน Always-On Display มีให้เลือกหลายรูปแบบ
จากการที่ใช้หน้าจอแบบ AMOLED ก็รองรับฟีเจอร์ Always-On Display (AOD) เพื่อแสดงข้อมูลเบื้องต้นโดยไม่ต้องปลดล็อคหน้าจอเลย ซึ่งจะมีให้เลือกหลายรูปแบบตามความชอบขอบเราครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบ Bitmoji, Cancas ที่ใช้รูปภาพในคลังภาพของเราเองเพื่อเป็นลวดลายของเส้น, รูปแบบกำหนดเอง, ข้อความ และอื่นๆ
ลำโพงสเตอริโอแบบ Dolby Atmos และ Hi-RES
ใครที่มาสายบันเทิง ทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมลำโพงคู่สเตอริโอแบบ Dolby Atmos และ Hi-RES การันตีเรื่องเสียงกระหึ่มและมีมิติของเสียงอย่างชัดเจนครับ ซึ่งตัวของเสียงจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามเนื้อหาที่เปิดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์, เกม และฟังเพลง
จัดพื้นที่ได้สะดวกขึ้นโฟลเดอร์ขนาดใหญ่
ใน realme UI 4.0 จะให้เราสามารถปรับโฟลเดอร์ขนาดใหญ่ที่รวมหลายแอพพลิเคชั่นไว้ในที่เดียวกันได้ขยายใหญ่ขึ้น โดยจะใช้พื้นที่เพียง 2×2 เท่านั้น แถมรองรับหลายหน้าด้วยครับ ซึ่งในโฟลเดอร์สามารถกดเปิดแอพได้ทันทีต่างจากโฟลเดอร์ขนาดปกติที่ต้องกด 1 ครั้งเพื่อขยายออกมาก่อน
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
ชิปเซ็ตระดับท็อป Dimensity 7050
realme 11 Pro Series 5G ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง MediaTek Dimensity 7050 Octa Core มีความเร็ว Clock สูงสุดถึง 2.6GHz เป็นการผลิตจาก TSMC ในขนาดเล็ก 6nm เท่านั้น ซึ่งเรื่องคาวมแรงและการประหยัดพลังงานแทบไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ทั้งนี้ GPU ยังใช้เป็น ARM Mali-G68 ช่วยประมวลผลด้านกราฟิกในการเล่นเกมเป็นไปได้อย่างไหลลื่นครับ
เพิ่มขยาย RAM ด้วย Dynamic RAM ได้อีก 12GB
แม้ว่าจะให้ RAM มาสูงสุดที่ 12GB แล้ว แต่ก็ยังรองรับเทคโนโลยี Dynamic RAM สามารถขยาย RAM เสมือนได้สูงสุดอีก 12GB รวมกับของเดิมก็ได้มากถึง 24GB ไปเลยครับ รับรองเลยว่าการเปิดแอพฯ ต่างๆ ทำได้มากขึ้นและสลับแอพได้มากกว่าเดิมแน่นอนหลายสิบแอพครับ
ผลคะแนนการทดสอบ realme 11 Pro+ 5G ด้านประสิทธิภาพด้าน CPU, GPU และหน่วยความจำบน AnTuTu 10.0.1 ได้มาที่ 564,821 คะแนน
ผลคะแนน realme 11 Pro+ 5G ด้าน CPU บน Geekbench 5 ทำ Single-Core ไปที่ 948 คะแนน และ Multi-Core ที่ 2,240 คะแนน
ทดสอบการเล่นเกม
Seal M
เรามาเปิดกันด้วยเกมใหม่บนสมาร์ทโฟนที่ช่วงนี้หลายคนน่าจะกลับมาเล่นกันอย่าง Seal M ที่สามารถเปิดคุณภาพโดยรวมระดับสูง พื้นผิวสูง เปิดเอฟเฟ็กต์แสงได้ และเอฟเฟ็กต์และอื่นๆ อื่นๆ ก็เปิดสูงได้ครบถ้วนครับ โดยภาพที่ได้สวยงามมากๆ เล่นได้ไหลลื่น สบายๆ การสัมผัสหน้าจอก็ตอบสนองได้ตามต้องการครับ
PUBG Mobile
ต่อมาในเกม PUBG Mobile จะเปิดกราฟิกได้ในระดับ HDR HD และเฟรมเรท Ultra เลยทีเดียว โดยการเล่นก็ทำได้สบายมากๆ ทัชได้ติดนิ้ว และยังได้ประโยชน์จากลำโพงคู่ Dobly Atmos ที่เสียงการเดินของศัตรูหรือทิศทางต่างๆ ก็แม่นยำด้วย
ROV
และท้ายสุดกับ ROV ที่สามารถเปิดภาพ HD ได้ในระดับสูงมาก, การแสดงผลระดับสูง พร้อมเฟรมเรทระดับสูงสุดครับ และจากที่เราลองบอกเลยว่าเฟรมเรทยิ่งสุดๆ 60fps ตลอดทั้งเกม แทบไม่มีวิ่งลงมาที่ 59fps เลยครับ
และไม่ใช่แค่ความแรงของตัวชิปเซ็ตและฮาร์ดแวร์ภายในเท่านั้น แต่ยังได้ซอฟต์แวร์อย่างเทคโนโลยี HyperBoost เข้ามาเสริมอีกด้วย เพียงแค่ปัดไปทางขวาจากฝั่งซ้ายหน้าจอ ก็จะมีตัวปรับออกมาให้เราใช้งาน โดยเราสามารถเปิดโหมดโปรเกมเมอร์เพื่อรีดความเร็วของ CPU / GPU ให้สูงขึ้นเพื่อใช้กับเกมได้เต็มที่นั่นเองครับ
ทั้งยังมีโหมดโฟกัสเกมที่จะปิดกั้นการแจ้งเตือนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนจากแอพฯ การโทร การนำทาง หรือนาฬิกาปลุกครับ
แบตใหญ่ 5000mAh ชาร์จเร็วสูงสุด 100W SUPERVOOC Charge
realme 11 Pro Series 5G ให้แบตเตอรี่มาเท่ากันที่ 5000mAh โดยการใช้งานแบบไม่หนักมาก อย่างดู YouTube หรือเล่น Facebook ทั่วไปก็อยู่ได้ถึงค่ำๆ ครับ ส่วนใครที่เล่นเกมก็จะใช้ได้ประมาณ 5 – 6 ชั่วโมงครับ
แต่ในส่วนของเทคโนโลยีชาร์จเร็ว realme 11 Pro+ 5G จัดหนักด้วยเทคโนโลยี 100W SUPERVOOC Charge ที่เราลองชาร์จจริงๆ จากประมาณ 3% – 54% ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น และเต็ม 100% ในเวลารวมเพียง 33 นาที
ขณะที่ realme 11 Pro 5G รองรับชาร์จเร็ว 67W SUPERVOOC Charge ที่ชาร์จถึง 50% ในเวลาเพียง 18 นาที และเต็มได้เวลาประมาณ 45 นาทีครับ
และด้วยความเร็วในการชาร์จที่หลายคนอาจจะห่วงเรื่องความปลอดภัยก็หมดกังวลได้เลย เพราะทาง realme ใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบแรงดันแบตเตอรี่ Battery Sense ที่ตรวจแรงดันได้อย่างแม่นยำ ลดการผิดพลาดที่เกิดจากวงจรป้องกันแบตเตอรี่ และยังมีมาตรการความปลอดภัย 38 จุดเพื่อความปลอดภัยโดยรวมของตัวเครื่องและแบตเตอรี่ตั้งแต่ตัวสายเคเบิล วงจร และแบตเตอรี่ครับ
กล้องเรือธง OIS SuperZoom 200MP
ในเรื่องของกล้องหลัง realme 11 Pro Series 5G มีความคล้ายคลึงกันมากในเรื่องของฟีเจอร์และโหมดการถ่ายภาพ ซึ่งต่างกันเพียงความละเอียดเลนส์หลักที่เป็น 100MP ใน realme 11 Pro 5G และ 200MP ใน realme 11 Pro+ 5G ซึ่งในส่วนนี้เราจะเน้นไปที่การถ่าย realme 11 Pro+ 5G ที่เป็นตัวท็อปและการพัฒนาภาพถ่ายของสมาร์ทโฟนและได้สเปคระดับเรือธงที่ทุกคนเข้าถึงได้ครับ
พลังกล้อง 200MP ด้วยเซ็นเซอร์ ISOCELL HP3 SuperZoom รุ่นอัปเกรด
ใน realme 11 Pro+ 5G จัดหนักด้วยเซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HP3 SuperZoom ได้รับการอัปเกรดมาใหม่ด้วยความคมชัดสูงสุด 200MP มีขนาดตัวเซ็นเซอร์ใหญ่ถึง 1/1.4 นิ้ว พร้อมรูรับแสงกว้าง f/1.69 เป็นเซ็นเซอร์และรูรับแสงสูงสุดในกลุ่ม ซึ่งในการถ่ายภาพโหมดความละเอียดสูงจะมีให้เลือกใช้หลายฟีเจอร์ ไม่ใช่แค่ได้ภาพความละเอียดสูงเท่านั้นครับ
ภาพในโหมดความละเอียดสูงเราสามารถถ่ายภาพได้ที่ความละเอียด 16320 x 12240 พิกเซล ซึ่งเราสามารถนำไปครอปหรือใช้งานอื่นๆ ต่อได้แบบคมชัดมากๆ
และไม่เพียงเท่านี้ ในโหมดความละเอียดสูงยังรองรับฟีเจอร์ SuperZoom ที่จะเป็นการกดคลิกเดียวแต่ได้ภาพที่หลากหลายด้วยการครอปภาพอัตโนมัติ เป็นการใช้ AI ในการตรวจจับวัตถุและรูปแบบเพื่อจัดองค์ประกอบภาพหรือปรับสัดส่วนภาพให้เราเลยทันที โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยครับ ซึ่งการประมวลผลจะใช้เวลาประมาณ 4 – 5 วินาทีครับ (แต่ต้องกดเปิดตามสัญลักษณ์ด้านล่างนี้ก่อนนะ)
ภาพหลัก
ภาพหลัก
เสริมพลัง AI พร้อมเทคโนโลยี Tetra2pixel และประมวลผลได้รวดเร็ว
ใน realme 11 Pro Series 5G ทั้ง 2 รุ่นรองรับเทคโนโลยี AI พร้อมอัลกอริธึม HyperShot Imaging 2.0 ที่รองรับทั้งการประมวลผลให้ถ่ายภาพเร็วขึ้น, การรวมภาพและปรับความสว่างให้เหมาะสม, กันสั่น และการปรับสีสันให้สวยงามสมจริง ซึ่งทั้งหมดนี้จะใช้เวลาประมวลผลไม่กี่วินาทีเท่านั้น ทำให้เราจบได้หลังกล้องโดยที่ไม่ต้องไปตกแต่งเพิ่มเติมครับ
และในโหมดนี้จะมีการรวมพิกเซลแบบ Tetra2pixel เป็นการรวมพิกเซล 4-in-1 หรือ 16-in-1 เพื่อเน้นให้ภาพมีความสว่างมากขึ้นและปรับสีสันต่างๆ ให้ได้ตามสถานการณ์มากกว่าการถ่ายในโหมด 200MP ที่ใช้ประโยชน์ต่างกันครับ
รองรับ In-Sensor ZOOM สูงสุด 4x แบบไม่เสียรายละเอียด
ด้วยกล้อง 200MP ใน realme 11 Pro+ 5G ถือเป็นครั้งแรกในโลกของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่รองรับการซูมแบบ 4 เท่าแบบเลนส์เดี่ยวโดยไม่เสียรายละเอียด ซึ่งความละเอียดนี้สูงกว่ารุ่น 200MP ของผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันถึง 242% เลยทีเดียว ทั้งนี้ นอกจากที่จะถ่ายได้ 4x ไม่เสียรายละเอียดแล้ว ก็ยังมีให้เลือก 2x เหมือนกัน ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการถ่ายภาพแบบใด
1x 2x 4x 4x 4x 4x
Street Photography Mode 4.0 ฟิลเตอร์ใหม่ พร้อมลายน้ำพิเศษจาก Lonely Planet
เรามาถึง Street Photography Mode เวอร์ชัน 4.0 กันแล้วบนสมาร์ทโฟนจาก realme ครับ ซึ่งใน realme 11 Pro Series 5G ได้ความพิเศษด้วยการจับมือกับบริษัท Lonely Planet ที่จะได้ฟิลเตอร์พิเศษเข้ามาอีก 3 แบบหลักๆ ได้แก่ Crisp (สดชื่น), Cinematic (ภาพยนตร์) และ Tranquil (สงบเงียบ) ที่จะครอบคลุมทางยาวโฟกัสมากขึ้นและถ่ายได้อารมณ์มากกว่าเดิม
ไม่เพียงจะได้ฟิลเตอร์ใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังรองรับเทคโนโลยี Auto-zoom รุ่นแรกของโลกที่เพียงให้เราแตะวัตถุบนหน้าจอ ระบบก็จะทำการซูมให้อัตโนมัติที่ตัวบุคคลหรือวัตถุ เพื่อให้ได้ภาพและองค์ประกอบที่สมบูรณ์โดยที่เราไม่ต้องมาจัดระเบียบเองครับ
และที่ขาดไปไม่ได้เลยคือลายน้ำพิเศษของ Lonely Planet ที่จะเป็นลายน้ำที่อยู่ในแถบล่างของภาพ ต่างจากแบบปกติที่จะอยู่ในภาพมุมซ้ายล่างครับ โดยสามารถเข้าไปเปิดได้ที่แอพฯ กล้อง > การตั้งค่า > ภาพลายน้ำ > กำหนดเอง > เปิด ภาพลายน้ำของ Lonely Planet
ถ่าย Ultra-Wide Angle ได้มุมกว้างถึง 112 องศา
สำหรับเลนส์มุมกว้าง Ultra-Wide Angle จะมีเฉพาะใน realme 11 Pro+ 5G เท่านั้น โดยจะมีมุมกว้าง 112 องศา ซึ่งหากดูแค่ตัวเลขอาจดูไม่กว้างเท่าไหร่ แต่พอได้ลองใช้งานจริงก็ถือเป็นมุมมองที่กำลังพอดี ไม่กว้างเกินไปจนภาพบิดเบี้ยวครับ และในการใช้เลนส์มุมกว้างก็ยังรองรับ AI เพื่อให้ได้แสงและสีสันที่สวยงามเหมือนเลนส์หลักครับ
ถ่าย Portrait สวยงาม ผิวเนียนเป็นธรรมชาติ
ในโหมดภาพถ่ายบุคคล (Portrait) จะมาพร้อมกับระยะโฟกัส 2 เท่า (2x) ซึ่งเป็นระยะการรับรู้ภาพของดวงตามนุษย์อย่างเหมาะสมตามสัดส่วนทองคำ ทำให้ตัวแบบมีความโดดเด่นมากขึ้น และเบลอหลังได้อย่างสวยงามมีมิติมากขึ้น ทั้งนี้ การปรับแต่งตาม AI ของโหมดนี้ก็ทำได้สวยงาม เพิ่มความสว่างของใบหน้าและผิวพรรณได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ หรือใครจะใช้โหมด 1x ก็ได้เหมือนกันครับ
นอกจากนี้ ในโหมด Portrait ยังรองรับฟิลเตอร์แบบ Dynamic Bokeh และ Bokeh Flare Portrait ที่ให้ใช้งานได้หลากหลายแบบและถ่ายภาพให้สนุกยิ่งขึ้น
Super NightScape ถ่ายภาพกลางคืนได้สวยงาม พร้อม Moon Mode ครั้งแรกจาก realme
realme 11 Pro Series 5G ยังจัดโหมดถ่ายภาพกลางคืน หรือ Super NightScape มาให้ใช้งานกันเช่นเดิม โดยถ่ายภาพกลางคืนได้สว่างและเพิ่มรายละเอียดของวัตถุให้ชัดเจนกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้ได้ประโยชน์จากเซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและรูรับแสงที่กว้างกว่าเดิม รวมไปถึงโหมดฟิลเตอร์อย่าง Super NightScape Filter ก็ยังมีให้เลือกใช้งาน 5 รูปแบบ ได้แก่ สีทองทันสมัย, ไซเบอร์พังก์, ฟลามิงโก, จักรวาล และพิศวงจักรวาล
ถ่าย Macro ได้ในระยะ 4 ซม.
ส่วนในเลนส์ที่ 3 ที่ realme 11 Pro+ 5G มีมาให้จะเป็นเลนส์ Macro ที่ให้โฟกัสวัตถุในระยะใกล้ถึง 4 ซม. ซึ่งก็แนะนำให้ถ่ายภาพในที่แสงกลางแจ้ง จะยิ่งทำให้ได้ภาพที่สดใสและสีสันที่สดอิ่มแน่นอนครับ
กล้องหน้าเรือธง คมชัดระดับ 32MP
realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมกับกล้องหน้าที่มีความคมชัดถึง 32MP พร้อมด้วยมุมกว้างถึง 90 องศา มีให้เลือก 2 ระยะแบบ 1x และ 0.8x ตามความต้องการของบรรยากาศนั้นๆ เลยครับ (หากเราเซลฟี่แนวนอนจะมีการปรับเป็น 0.8x ให้อัตโนมัติ) ที่สำคัญ ยังสามารถเปิดโบเก้เพื่อละลายฉากหลังได้เนียนและแม่นยำมากๆ ในการตรวจจับกรอบใบหน้า และสามารถเปิดบิวตี้ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่และรักษาโทนสีผิวให้สวยงามเหมือนเดิม
1x (ซ้าย) / 0.8x (ขวา)
ถ่ายวิดีโอไม่หลุดโฟกัสด้วย SuperOIS และ AI Video Tracking
realme 11 Pro Series 5G ทั้ง 2 รุ่นสามารถให้เราถ่ายวิดีโอกันสั่นขั้นสูงแบบ 4 แกน SuperOIS ใครที่ถ่าย Vlog จะได้ใช้งานกันแน่นอน ทั้งยังรองรับเทคโนโลยี AI Video Tracking เพื่อติดตามโฟกัสของวัตถุได้อย่างแม่นยำและไม่หลุดโฟกัสง่ายๆ
สรุปการใช้งาน realme 11 Pro Series 5G
สรุปแล้ว realme 11 Pro Series 5G เป็นคู่หูสมาร์ทโฟนที่มีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดเจน ตั้งแต่ดีไซน์ที่ปรับโฉมใหม่ให้พรีเมียมมากขึ้น เป็นวัสดุหนังวีแกนในสี Sunrise Beige และ Oasis Green หรือผิวด้านสวยงามแบบสีดำ Astral Black ก็ได้ความสวยงามที่ต่างอารมณ์กัน ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบสีแบบไหนเลยครับ รวมไปถึงการได้หน้าจอโค้ง Curved Vision แบบ 120Hz แสดงผลสี 10-bit และชิปประมวลผลยังได้เป็น Dimensity 7050 ที่ประสิทธิภาพสูง เล่นเกมได้สบายๆ ปรับสุดได้อีกด้วย และที่ขาดไม่ได้เลยคือกล้องหลังในรุ่น realme 11 Pro+ 5G ที่ได้ภาพคมชัดสูงสุดถึง 200MP ควบคู่เทคโนโลยี 4x In-Sensor ZOOM เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดหลายระยะครับ และทั้งหมดนี้ทำให้ realme 11 Pro Series 5G เป็นอีกรุ่นที่ให้เราเข้าถึงเทคโนโลยีระดับเรือธงในราคาที่จับต้องได้
ราคาและวันวางจำหน่าย
realme 11 Pro+ 5G (12+512GB) มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ Sunrise Beige และ Oasis Green โดยมีราคาอยู่ที่ 16,999 บาท
realme 11 Pro 5G (8+256GB) มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ Sunrise Beige และ Astral Black โดยมีราคาอยู่ที่ 12,999 บาท
relame 11 Pro Series 5G เปิดพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2566 ผ่านช่องทาง realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยสามารถสั่งจองได้ในราคาเพียง 500 บาท พิเศษสำหรับช่วงพรีออเดอร์รับของแถมฟรี! มูลค่า 9,999 บาท และรับส่วนลดเพิ่มเติมตามแต่ละ ช่องทาง หรือสามารถเป็นเจ้าของได้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 7 กรกฏาคมเป็นต้นไป รับฟรี realme Gift Box มูลค่า 1,999 บาท นอกจากนี้ ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง Lazada โดยหากพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฏาคมจะได้รับคูปองส่วนลดเพิ่มไปอีก 1,000 บาท (เหลือเพียง 15,999 บาทเท่านั้น) สำหรับ realme 11 Pro+ 5G หรือได้รับคูปองส่วนลดเพิ่มไปอีก 1,000 บาท (เหลือเพียง 11,999 บาทเท่านั้น) สำหรับ realme 11 Pro 5G
- ช่องทางการสั่งซื้อ realme 11 Pro+ 5G : https://bit.ly/43uUSsh
- ช่องทางการสั่งซื้อ realme 11 Pro 5G : https://bit.ly/3p8Pwny