Featured
รีวิว realme 12+ 5G | realme 12 Pro+ 5G “Be a Portrait Master” ด้วยกล้อง Periscope ระดับเรือธง | ดีไซน์นาฬิกาหรู | ชาร์จไว 67W SUPERVOOC
รีวิว realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G มาแล้ว! หลังจากที่เราแกะกล่องพรีวิวไปในคราวก่อน วันนี้ก็ถึงคราวรีวิวฉบับเต็มของสมาร์ทโฟนจะที่เปลี่ยนคุณเป็น Portrait Master ได้ง่าย ๆ สองรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับจุดเด่นมากมายทั้งกล้อง 3 ตัวระดับเรือธง, ดีไซน์นาฬิกาหรูสุดพรีเมี่ยม, หน้าจอ AMOLED 120Hz และระบบชาร์จไว 67W SUPERVOOC จะยอดเยี่ยมแค่ไหน ติดตามได้จากรีวิวฉบับเต็มนี้เลยครับ!
สรุปสเปค realme 12+ 5G
- หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.67″
- ความละเอียด : FHD+ (2400×1080 พิกเซล), ความสว่างสูงสุด 2000nits
- Refresh rate : 120Hz, Touch Sampling rate 240Hz
- ชิปเซ็ต : MediaTek Dimensity 7050 Octa-Core 2.6GHz (6nm)
- RAM : 8GB
- Storage : 256GB
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบชาร์จ : ชาร์จไว 67W SUPERVOOC
- กล้องหน้า : 16MP f/2.45
- กล้องหลัก : 3 ตัว
- 50MP กล้องหลัก (LYT-600) f/1.88
- 8MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 2MP กล้อง Macro f/2.4
- ระบบปฏิบัติการ : Android 14 (realme UI 5.0)
- สีสัน : Pioneer Green, Navigator Beige
สรุปสเปค realme 12 Pro+ 5G
- หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.7″
- ความละเอียด : FHD+ (2412×1080 พิกเซล), แสดงผลสีสัน 10bit (1.07 พันล้านสี)
- Refresh rate : 120Hz, Touch Sampling rate 240Hz
- ชิปเซ็ต : Snapdragon 7s Gen 2 Octa-Core 2.4GHz (4nm)
- RAM : 8GB/12GB
- Storage : 256GB/512GB
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบชาร์จ : ชาร์จไว 67W SUPERVOOC
- กล้องหน้า : 32MP f/2.4
- กล้องหลัก : 3 ตัว
- 50MP กล้องหลัก (IMX890) f/1.8, OIS
- 8MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 64MP กล้อง Periscope 3x f/2.6, OIS
- ระบบปฏิบัติการ : Android 14 (realme UI 5.0)
- สีสัน : Submarine Blue, Navigator Beige
ดีไซน์นาฬิกาหรู ออกแบบโดย realme Design Studio x Ollivier Savéo
เริ่มที่ดีไซน์กันก่อนเลย ทั้ง realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G จะมาพร้อมดีไซน์นาฬิกาหรู ที่ไม่ใช่แค่อิงมาเป็นแรงบันดาลใจเท่านั้น เพราะรอบนี้ realme Design Studio จับมือกับ Ollivier Savéo (โอลิวิเยร์ ซาเวโอ) ผู้ผลิตนาฬิกาหรูชื่อดังของฝรั่งเศส ที่รู้จักจากการร่วมมือกับแบรนด์นาฬิกาสวิสหรู อาทิ Rolex, Roger Dolby, Piaget, Breitling และ Quentin ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้นำเสนอความหรูหรา งานฝีมือ และความใส่ใจอย่างพิถีพิถันจริง ๆ
ตัวกระจกเลนส์ของทั้งคู่จะเหมือนหน้าปัด Sunburst ที่ถูกขัดเงาสร้างพื้นผิวยูวีไล่ระดับแสงที่น่าหลงใหล การเคลือบออปติคอลผสมผสานเงาและแสงได้อย่างลงตัว สะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแน่นอนครับ
ตรงกลางเครื่องเราจะเห็นแถบสีทองคาดผ่านไปจนถึงสุดตัวเครื่อง ตรงนี้ realme ผสมผสานเทคนิคการออกแบบรูปทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน 3D พิเศษ เพื่อให้มีรูปลักษณ์คล้ายกำไลหรูแบบเมทัลลิก แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะที่ฝาหลังยังมาพร้อมวัสดุหนังวีแกนที่ผลิตจากวัสดุซิลิโคนคุณภาพสูงที่ทนทานต่อสิ่งสกปรก ให้ความรู้สึกนุ่มนวลที่ผสมผสานทั้งความหรูหรา ที่เพิ่มความพรีเมี่ยมให้ตัวเครื่องได้อีกเยอะจริง ๆ ครับ
นอกจากเรื่องงานออกแบบและวัสดุแล้ว Savéo ยังช่วยออกแบบสีอันเป็นเอกลักษณ์จากโลกแห่งนาฬิกาสุดหรูที่ส่งต่อมาถึง 2 รุ่นนี้ได้แบบลงตัวสุด ๆ อย่าง realme 12+ 5G นั้นจะมาพร้อมกับสี Pioneer Green และ Navigator Beige ทั้งสองสีสื่อถึงความสง่างามและความรู้สึกเงียบสงบและการผจญภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี Pioneer Green ที่เป็นสีแห่งความสง่างามและความหรูหราแบบเรียบง่าย ซึ่งมักพบในหน้าปัดของนาฬิกาหรู
ส่วน realme 12 Pro+ 5G ก็มาพร้อมสีไฮไลท์สี Submarine Blue ที่สื่อถึงความสง่างามอันเงียบสงบ เป็นโทนสีน้ำเงินของฝาหลังหนังวีแกนที่ตัดกับสีทองของกรอบเครื่องรวมถึงแถบกลางเครื่องที่พาดผ่านมาได้อย่างดีจริง ๆ
นอกจากนี้ทั้ง realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G ก็ยังมีสี Navigator Beige ที่มอบความประณีตประณีตและเรียบง่ายในโทนสว่างมาให้เลือกเหมือนกันด้วย อย่างที่บอกว่าสีเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์นาฬิกาสุดหรูอันทรงเกียรติ ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งดูหรูหราอย่างจริงจังเลยล่ะครับ
หน้าจอ AMOLED 120Hz แบบ Flat และแบบโค้ง
พลิกกลับมาดูที่ด้านหน้ากันบ้าง ตรงนี้เราจะเห็นความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นนี้แล้ว โดยความต่างคือรูปแบบหน้าจอที่ realme 12+ 5G จะใช้หน้าจอแบบ Flat ในขณะที่ realme 12 Pro+ 5G จะใช้หน้าจอโค้งนั่นเองครับ
ซึ่งทั้งคู่ได้ชนิดหน้าจอแบบ AMOLED ความละเอียด FHD+ มาเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าความสวยสดของหน้าจอนั้นยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ทั้งสีสันและมิติของจอเวลาดูคอนเทนต์สีสันสด ๆ ก็ถูกใจแน่นอน แต่จอของทั้งคู่จะมีอีกจุดที่ต่างกันอยู่คือขนาดหน้าจอที่ realme 12+ 5G ได้มา 6.67″ ส่วน realme 12 Pro+ 5G จะได้มา 6.7″ ครับผม
ส่วนเรื่องการตอบสนอง realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G ก็จะได้ Refresh rate สูง 120Hz เท่ากัน ทำให้การเลื่อนหน้าจอ ไถฟีดในแอปต่าง ๆ นั้นทำได้อย่างราบรื่นและลื่นไหลสุด ๆ ครับ
และแน่นอนว่าความเป็นหน้าจอ AMOLED ทั้งคู่บนหน้าจอก็เลยมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยในการใช้งานเหมือนกันด้วย แตะสแกนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเวลาใช้งานมือเดียวอาจจะต้องเอื้อมนิ้วลงมาแตะนิดหน่อย โดย realme ก็ยังมีทางเลือกปลดล็อคด้วยการสแกนใบหน้าให้อยู่เหมือนกันครับ
กรอบเครื่องก็ต่างกัน แต่ลงตัวกันคนละแบบ
นอกจากหน้าจอ Flat หน้าจอโค้งแล้ว ทั้งคู่ยังมีดีไซน์กรอบเครื่องที่ต่างกันด้วย โดย realme 12+ 5G จะมาพร้อมกรอบเครื่องแบบเหลี่ยม ส่วน realme 12 Pro+ 5G จะมาพร้อมกรอบเครื่องแบบโค้งรับกับหน้าจอและฝาหลังที่โค้งเข้ามานั่นเองครับ
ซึ่งในการจับถือก็ต้องบอกว่าดีกันคนละแบบอีกนั่นแหละครับ อย่างกรอบเครื่องเหลี่ยมของ realme 12+ 5G ก็จะให้ความรู้สึกที่เต็มมือไปเลย มีพื้นที่ให้นิ้ววางแตะได้เยอะกว่า แต่ realme 12 Pro+ 5G ที่กรอบเครื่องโค้งก็จะให้ความรู้สึกเพรียวบางและพรีเมี่ยมกว่านั่นเองครับ
การวางตำแหน่งของตัวเครื่องก็จะคล้ายกัน มีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงพร้อมกับปุ่ม Power อยู่ที่ฝั่งขวาของตัวเครื่อง ด้านบน realme 12+ 5G จะมีช่องหูฟัง 3.5 มม. IR Infrared ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ในขณะที่ realme 12 Pro+ 5G จะเป็นช่องลำโพงชุดที่ 2 แทน ไม่มีช่องหูฟังมาให้ใช้งาน ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องก็จะมีพอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C ไมโครโฟนสนทนา ลำโพงหลักตัวเครื่องและช่องใส่ซิมตรงนี้เหมือนกันครับ
โดยรวมเรื่องดีไซน์ของ realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมสมกับที่ร่วมมือกับ Ollivier Savéo (โอลิวิเยร์ ซาเวโอ) นักออกแบบนาฬิกาหรู เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นอีกรุ่นที่ realme พิถีพิถันในการออกแบบมาก ๆ และเมื่อสัมผัสจริง ๆ ก็ยิ่งได้ความพรีเมี่ยมแบบที่คาดหวังอีก เรื่องดีไซน์นี่ realme ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริง ๆ ครับ
กล้องระดับ Portrait Master
มาถึงเรื่องกล้องที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของ realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G กันเลย ทั้งคู่มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวและสเปคที่น่าสนใจมาก ๆ แถมรอบนี้ยังมาพร้อมสโลแกน Be a Portrait Master กล้องเลยจัดเต็มมาแบบสุด ๆ เดี๋ยวเรามาดูสเปคของแต่ละรุ่นก่อนดีกว่าเนาะ
สเปคกล้อง realme 12+ 5G
- 50MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ LYT-600) f/1.88
- 8MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 2MP กล้อง Macro f/2.4
- 16MP กล้องหน้า f/2.45
สเปคกล้อง realme 12 Pro+ 5G
- 50MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ IMX890) f/1.8 OIS
- 8MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 64MP กล้อง Periscope 3x (เซ็นเซอร์ OV64B) f/2.6 OIS
- 32MP กล้องหน้า f/2.4
จะเห็นว่าจุดเด่นของ realme 12 Pro+ 5G คือเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางรุ่นแรกที่มาพร้อมกล้อง Periscope 3x แถมไม่ใช่ความละเอียดระดับธรรมดาเพราะจัดเต็ม 64MP เลยด้วย ทำให้เราถ่ายภาพในมุมมองที่แตกต่างได้อย่างคมชัดและมีคุณภาพ ส่วน realme 12+ 5G ก็ได้ใช้เซ็นเซอร์กล้องหลักตัวใหม่อย่าง Sony LYT-600 ที่ประมวลผลได้ยอดเยี่ยมสามารถซูมแบบ In-Sensor ได้ที่ระดับ 2x อย่างคมชัดด้วยเช่นกัน
ไหน ๆ ก็เก่งเรื่อง Portrait ขนาดนี้แล้ว เราขอพูดถึงโหมดถ่ายคนกันก่อนเลยดีกว่า ความดีงามของ realme 12 Pro+ 5G ที่ได้กล้อง Periscope 3x มาก็คือเราสามารถถ่ายภาพ Portrait ในระยะครึ่งตัวได้คมชัดยิ่งขึ้น และอย่างที่บอกว่าด้วยคุณภาพของเซ็นเซอร์ระดับเรือธงแบบนี้ จึงไม่แปลกเลยที่จะใช้สโลแกนกว่า Portrait Master ได้
แต่แค่ฮาร์ดแวร์ดีอย่างเดียวก็คงไม่พอเพราะ realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G ยังมีการร่วมมือกับ Claudio Miranda ผู้ชนะรางวัลออสการ์สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม (Cinematography) พัฒนาฟิลเตอร์พิเศษมาให้ 3 แบบประกอบด้วย
- Journey Filter : ได้แรงบันดาลใจจาก “Life of Pi” ที่สวยงามตระการตา โดยจะเพิ่มสีที่มีคอนทราสสูงและเน้นไปที่โทนเหลือง สร้างบรรยากาศเหมือนอยู่ในความฝันและมีชีวิตชีวา
- Maverick Filter : ได้แรงบันดาลใจจาก “Top Gun: Maverick” เน้นโทนเหลืองเขียว เพิ่มคอนทราสต์ ให้ผลลัพธ์ภาพสไตล์ย้อนยุคชวนให้นึกถึงภาพถ่ายจากฟิล์ม 35 มม.แบบคลาสสิก
- Memory Filter : ได้แรงบันดาลใจจาก “The Curious Case of Benjamin Button” ฟิลเตอร์นี้จะเน้นไปที่โทนเย็นให้บรรยากาศโทนเงียบสงบ
และนอกจากฟิลเตอร์ใหม่ 3 อย่างนี้แล้ว ก็ยังมีแบบอื่น ๆ รวมกว่า 16 แบบ ช่วยให้เราสร้างสรรค์ภาพ Portrait ได้สวยแบบจบหลังกล้องไม่ต้องไปปรับเพิ่มเติมเลย และพอมารวมกับคุณภาพกล้องระดับสูงของ realme 12+ 5G ที่ได้ถ่าย 1x/2x และ realme 12 Pro+ 5G ที่ถ่ายได้ 1x/3x ซึ่งคาแร็คเตอร์ของกล้องทั้ง 2 รุ่นจะแตกต่างกันนิดหน่อยคือบน realme 12+ 5G ที่ใช้ LYT-600 จะอมเหลืองและสีสันสดใสกว่า แต่ realme 12 Pro+ 5G ที่ใช้ทั้ง IMX890 (1x) และ OV64B (3x) จะได้โทนเย็นและสมจริงกว่า แต่ไม่ว่าจะรุ่นไหนเราก็คิดว่าสร้างความดีงามระดับ Portrait Master ได้สมกับสโลแกนจริง ๆ ครับ
แต่แค่การพัฒนาฟิลเตอร์ยังไม่พอเพราะ Claudio Miranda ยังเพิ่มอัตราส่วนภาพแบบ Cinematic ที่ 2.39:1 ในโหมด Portrait ให้ realme 12 Pro+ 5G เพื่อเพิ่มอารมณ์ของภาพให้เป็นภาพยนตร์มากขึ้นแบบที่ไม่ต้องไปครอปเพิ่มเติมทีหลัง ซึ่งบอกเลยว่าอัตราส่วนแบบนี้ก็ทำได้ดีมาก ๆ เลยด้วย
ลายน้ำแบบใหม่พร้อม Color Palette
ก่อนจะไปดูภาพในโหมดอื่น ๆ เราขอแวะมาพูดถึงลายน้ำใหม่ของ realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G สักหน่อย เพราะรอบนี้นอกจากจะปรับเป็นแบบแถบคาดด้านล่างได้แล้ว (เลือกได้ระหว่างสีขาวกับดำ) ยังมีลูกเล่น Color Palette หรือจานสีที่จะดึงเอาสีสันของภาพที่เราถ่ายออกมาแยกเป็นไฮไลท์ที่ลายน้ำอีกด้วย ซึ่งเราว่าเจ๋งดี ทำให้เห็นสีสันภาพรวมที่เราถ่ายมาในแต่ละภาพด้วยอย่างในตัวอย่างภาพ Portrait ด้านบนและภาพตัวอย่างต่อ ๆ ไปที่เราจะโชว์ด้านล่างนี้นั่นเอง
โหมดปกติก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
อะ…มาต่อกันที่โหมด Auto ปกติบ้าง ทั้ง 2 รุ่นยังมีดีในโหมดการถ่ายทั่วไปด้วย เพราะได้ซอฟต์แวร์ที่มี AI คอยประมวลผลซีนของภาพเหมือนกันรวมถึงระบบ HDR ด้วย คุณภาพของกล้องหลักระดับสูงอย่าง LYT-600 กับ IMX890 ก็ทำได้ดีทั้งคู่ครับ แต่ในเรื่องโทนสีของภาพทั้งคู่จะมี Character ที่แตกต่างกันไปอย่างที่บอก บน realme 12+ 5G จะอมเหลืองและสดใสกว่า ส่วน realme 12 Pro+ 5G ก็จะสมจริงโทนเย็นกว่าเล็กน้อย ถ้าเราเทียบกันแบบภาพต่อภาพดังตัวอย่างด้านล่างนี้เลย
Ultra Wide มุมกว้าง 112º
ส่วนกล้อง Ultra Wide แม้จะให้ความละเอียดมาไม่เยอะนัก (8MP) แต่เท่าที่เราลองใช้งานทั้งคู่ก็ทำได้ดีทีเดียว เก็บรายละเอียดได้คมชัดกำลังดี อีกทั้งยังได้มุมกว้างระดับ 112º เพียงพอต่อการเก็บภาพวิวหรือภาพที่ไม่อยากถอยหลังออกไปเยอะ ๆ ได้ โทนสีก็ยังเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละรุ่นเหมือนเดิมครับ
กล้อง Periscope 3x ที่ดีที่สุดในกลุ่ม ซูมแบบไม่เสียรายละเอียดระดับเรือธง!
แน่นอนว่ากล้อง Periscope 3x ที่เพิ่มเข้ามานั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่การถ่าย Portrait เท่านั้น ในการซูมถ่ายภาพทั่วไป จะเป็นวิวหรือวัตถุต่าง ๆ ก็ช่วยเพิ่มระยะและความคมชัดได้มาก เพราะอย่างที่บอกว่ากล้องตัวนี้เป็นเซ็นเซอร์ OV64B ขนาด 1/2″ ระดับเรือธง ทำให้ได้ระยะ Optical 3x หรือซูมแบบ In-Sensor ระดับ 6x ได้แบบไม่เสียรายละเอียด ใครที่ชอบซูมเข้าไปใกล้ ๆ หรือดึงวัตถุให้ใหญ่รับรองว่าถูกใจแน่นอนครับ
หรือถ้าจะเน้นซูมไปให้ไกลกว่าที่ระยะ Optical หรือ In-Sensor ทำได้ realme 12 Pro+ 5G ก็สามารถซูมไปได้ไกลสุดที่ 120x เลยทีเดียวครับ แต่แน่นอนว่าเลยระยะ 6x ไปจะเป็น Digital Zoom แล้ว ซึ่งคุณภาพหวังผลก็จะลดลง อย่างมากสุดคือระยะ 10x ในสภาพแสงมาก ๆ ก็คือใช้งานได้ แต่ถ้ามากกว่าแล้วมีปัจจัยในเรื่องแสงน้อยมาด้วยก็อาจจะใช้การเขยิบเข้าไปด้วยการซูมเท้าแทนจะดีกว่าครับ
Street Photography ของดีประจำมือถือ realme
ถ้าพูดถึงเรื่องกล้องของ realme แล้วไม่พูดถึงโหมด Street ก็คงจะไม่ได้ เพราะในโหมดนี้จะมีฟิลเตอร์และระยะให้เราเลือกใช้เหมือนกล้องฟิล์ม แถมรอบนี้ realme 12 Pro+ 5G ได้กล้อง Periscope 3x กับฟิลเตอร์จาก Claudio Miranda ที่อยู่ในโหมด Portrait ว่าดีแล้ว พอมาใช้งานร่วมกับโหมด Street ก็ยิ่งได้อารมณ์ฟิล Cinematic มากขึ้นไปอีก ทำให้เราหลงรักโหมดนี้ขึ้นอีกมหาศาลเลยทีเดียวครับ
กล้องหน้า 16MP vs 32MP เซลฟี่สวยตามสไตล์ realme
กล้องของสองรุ่นนี้ได้สเปคกล้องหน้ามาแตกต่างกันนิดหน่อยโดย realme 12+ 5G ได้ 16MP ส่วน realme 12 Pro+ 5G ได้มา 32MP ซึ่งรุ่น Pro+ จะแอบได้เปรียบกว่านิดหน่อยตรงมุมมองกว้างกว่า แต่ในเรื่องการประมวลผลไม่ต้องห่วงครับ เพราะทั้งคู่มี AI, AutoHDR และ Portrait mode มาใช้เหมือนกัน แถมความเนียนของใบหน้าก็ทำได้ดีตามสไตล์ realme เลยครับ
วิดีโอได้สูงสุดที่ 4K/30fps
ส่วนเรื่องวิดีโอ realme 12+ 5G กับ realme 12 Pro+ 5G จะได้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K/30fps ในกล้องหลัง ซึ่งได้แค่เฉพาะกล้องหลักกับ Periscope เท่านั้น (เพราะ Ultra Wide ให้มาแค่ 8MP ไปถึง 4K ไม่ได้) ในขณะที่กล้องหน้ายังสุดที่ 1080p/30fps เหมือนเดิมครับ ตรงแอบเสียดายที่ให้มาน้อยไปนิด อย่างน้อย ๆ ถ้ากล้องหน้าเป็น 1080p/60fps และกล้องหลังเป็น 4K/60fps ได้ก็คงจะดีว่าไหม ?
โดยรวมในเรื่องกล้องภาพนิ่งก็ถือว่าทำได้น่าประทับใจมากครับ เพราะการที่ได้ฮาร์ดแวร์ประสิทธิภาพสูงอย่าง LYT-600 บน realme 12+ 5G และ IMX890 กับ OV64B บน realme 12 Pro+ 5G นั้นช่วยยกระดับการถ่ายภาพของสมาร์ทโฟนกลุ่มราคานี้ได้มาก อีกทั้งซอฟต์แวร์ยังมีการปรับจูนมาดี มีการพัฒนาฟิลเตอร์ร่วมกับ Claudio Miranda ผู้ชนะรางวัลออสการ์สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม สร้างสรรค์ภาพในโหมด Street ได้อย่างน่าสนใจ และที่ขาดไม่ได้เลยคือความเก่งกาจของโหมด Portrait ที่ทำให้เราเป็น Portrait Master ได้จริงแบบที่ไม่ต้องพยายามเยอะ เพราะกล้องเก่งพอที่จะจัดการภาพระดับ Masterpiece ได้ง่าย ๆ !
ชิปเซ็ตประสิทธิภาพสูงจาก MediaTek และ Qualcomm
มาต่อกันที่เรื่องประสิทธิภาพ realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G จะมาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวเก่งจากทั้ง MediaTek และ Qualcomm พร้อมความจุดังนี้ครับ
- realme 12+ 5G ใช้ชิป Dimensity 7050 Octa-Core 2.6GHz (6nm) | ความจุ 12GB + 256GB
- realme 12 Pro+ 5G ใช้ชิป Snapdragon 7s Gen 2 Octa-Core 2.4GHz (4nm) | ความจุ 8GB + 256GB/12GB + 512GB
Dynamic RAM สูงสุด 12GB + 12GB
realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G ได้ RAM มาเยอะถึง 12GB และยังสามารถขยาย RAM ด้วยการเปลี่ยน ROM ให้เป็น RAM ได้สูงสุดอีก 12GB เท่ากับว่าเราสามารถทำ Dynamic RAM สูงสุดถึง 24GB เลยทีเดียว ทีนี้เวลาเราจะใช้งานสลับแอปไป-มาก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะช้าหรือไม่ต่อเนื่องแล้วล่ะครับ
ประสิทธิภาพเป็นไงบ้าง 2 รุ่นนี้
เพื่อให้เห็นภาพความแรงของชิปเซ็ต Dimensity 7050 และ Snapdragon 7s Gen 2 แบบคร่าว ๆ เราลองทดสอบผ่านแอป GeekBench 6 และ AnTuTu Benchmark คะแนนออกไม่ธรรมดาเลยครับ โดย Geekbench 6 ได้ออกมาดังนี้
- realme 12+ 5G = Single-Core 961 คะแนน | Multi-Core 2394 คะแนน
- realme 12 Pro+ 5G = Single-Core 928 คะแนน | Multi-Core 2806 คะแนน
ส่วนฝั่ง AnTuTu Benchmark ก็ได้คะแนนออกมาใกล้เคียงกัน ซึ่งถือว่าสูงเอาเรื่องในกลุ่มราคานี้ครับ
- realme 12+ 5G = 610090 คะแนน
- realme 12 Pro+ 5G = 656087 คะแนน
เล่นเกมดีไหมล่ะคู่นี้!?
ไหน ๆ ก็ทดสอบประสิทธิภาพกันให้เห็นคะแนนแล้ว ต่อไปคงต้องลองเล่นเกมกันเพื่อวัดประสิทธิภาพของทั้ง 2 รุ่นสักหน่อยว่าแตกต่างกันมาก-น้อยแค่ไหน โดยเกมที่เราใช้ทดสอบในรอบนี้คือ Asphalt 9 และ PUBG ครับ ซึ่งผลก็ออกมาดังนี้เลย
เล่น Asphat 9 บน realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G
เริ่มที่เกมแข่งรถภาพสวยอย่าง Asphalt 9 แม้ชิปเซ็ตที่ให้มาจะเป็นคนละรุ่น แต่ในการตั้งค่าทั้งคู่สามารถเปิดกราฟิกได้ที่ High Quality ร่วมกับเฟรมเรต 60fps เหมือนกัน เท่ากับว่าเปิดได้สุดทั้งคู่ และในการเล่นจริงก็พบว่าตัวเกมทำได้ลื่นไหลดีมาก ภาพสวยอลังการบนหน้าจอ AMOLED ไม่เจออาการกระตุกให้เห็น เล่นได้แบบเพลิน ๆ เลยล่ะครับ
เล่น PUBG บน realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G
มาต่อที่เกมยิงอย่าง PUBG ทั้ง 2 รุ่นจะปรับค่าได้ต่างกันนิดหน่อยคือ realme 12+ 5G ได้กราฟิกที่ HDR HD คู่กับเฟรมเรต Ultra ในขณะที่ realme 12 Pro+ 5G นั้นสามารถปรับระดับกราฟิกได้ถึง Ultra HD คู่กับ Ultra เฟรมเรตหรือ HDR HD คู่กับ Extreme เฟรมเรต ซึ่งถือว่าสูงมาก ๆ ในทั้ง 2 รุ่น ในการเล่นจริงก็ถือว่าทำได้ดีเลยครับ เล่นได้อย่างลื่นไหลบน Extreme เฟรมเรตก็ได้ 60fps เลย การควบคุมทำได้ดีในทั้ง 2 รุ่นเพราะหน้าจอใหญ่และการตอบสนองที่ลื่นไหลครับ
แบตเตอรี่ 5000mAh ทั้งคู่ ใช้งานแบบไม่ต้องกังวล
realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh เหมือนกันทั้งคู่ใช้งานได้แบบไม่ต้องกังวล ใครที่ชอบใช้งานแบบจัดเต็มไม่ต้องมาเสียเวลาชาร์จแบตฯบ่อย ๆ ถูกใจแน่นอน ทาง realme เคลมว่า คุยโทรศัพท์ได้นาน 35 ชม., ดู YouTube ได้นาน 17 ชม.,หรือฟังเพลงได้นานกว่า 72 ชม.เลยด้วย
ชาร์จไว 67W SUPERVOOC
ส่วนเรื่องระบบชาร์จ realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G ก็ได้ระบบชาร์จไวมาเท่ากันที่ 67W SUPERVOOC ด้วย ถ้าเราใช้งานแบบหนักจริง ๆ ก็เผื่อเวลานิดหน่อยกลับมาชาร์จแค่ 19 นาทีก็ได้กลับมา 50% แล้ว หรือจะชาร์จจนเต็มจาก 0 – 100% ก็แค่ 48 นาทีเท่านั้น
โดยรวมในเรื่องของประสิทธิภาพก็ถือว่าทั้ง realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G นั้นทำได้ยอดเยี่ยมครับ ด้วยชิปรุ่นกลางที่ใช้งานได้ครอบคลุมทั้งการทำงานทั่วไป จนถึงการประมวลผลหนัก ๆ แทบไม่เจออาการกระตุกหรือค้างเลย การเล่นเกมก็ปรับได้สูงเพียงพอ มีแบตเตอรี่ที่อึดใช้งานได้ยาวนาน แต่อย่างที่เห็นว่าดีไซน์ตัวเครื่องไม่ได้หนาจนดูเทอะทะ และที่ขาดไม่ได้คือระบบชาร์จไวที่ทำถึง 67W SUPERVOOC เร็วมาก!
ซอฟต์แวร์ตัวล่าสุด realme UI 5.0 บน Android 14
สำหรับซอฟต์แวร์ realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G ได้ realme UI 5.0 บนพื้นฐาน Android 14 ล่าสุดทั้งคู่ มอบความลื่นไหลและการปรับแต่งได้หลากหลายเหมือนกัน มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาเสริมการใช้งานมากมาย อาทิ
File Dock: นำเสนอโซลูชั่นอเนกประสงค์สำหรับการจัดการเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้กระบวนการง่ายขึ้นโดยอนุญาตให้ผู้ใช้จดจำและแยกเนื้อหา เช่น ข้อความ รูปภาพ และลิงก์ได้ด้วยคลิกเดียว การแชร์ไฟล์ทุกประเภทกลายเป็นเรื่องง่ายผ่านฟีเจอร์ลากและวาง
Flash Capsule: เข้าถึงบริการ 3rd Party ยอดนิยมอย่าง Grab หรือฟังก์ชันที่จำเป็นต่าง ๆ เช่น ฮอตสปอต การบันทึกเสียง การบันทึกหน้าจอ ได้ง่าย ๆ จากไอคอนแคปซูลด้านบน
การจัดวางภาพอย่างชาญฉลาด: แยกและแบ่งปันวัตถุจากภาพถ่ายได้อย่างง่ายดาย และสามารถดึงออกมาใช้งานต่อในแอปต่าง ๆ ได้โดยการลากและวาง หรือคัดลอกและวาง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการแชร์บนโซเชียลมีเดีย โปรเจ็กต์ DIY และอื่น ๆ
ราคาและโปรโมชั่น realme 12+ 5G | realme 12 Pro+ 5G
ปิดท้ายที่เรื่องราคาและโปรโมชั่นของ realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G กันเลยดีกว่า แต่ละรุ่นจะมีความจุให้เลือกและราคาดังนี้เลยครับ
- realme 12+ 5G (12GB + 256GB) มีให้เลือก 2 สี Pioneer Green, Navigator Beige ราคา 9,999 บาท
- realme 12 Pro+ 5G (8GB + 256GB) มีให้เลือก 2 สี Submarine Blue, Navigator Beige ราคา 13,999 บาท
- realme 12 Pro+ 5G (12GB + 512GB) มีให้เลือก 2 สี Submarine Blue, Navigator Beige ราคา 16,999 บาท
โดยมีโปรโมชั่น Pre-Order ตั้งแต่วันที่ 21 – 28 มีนาคม ได้รับของสมนาคุณมูลค่ารวม 5,280 บาทเป็น Premium Giftbox และ E-VIP Card ครับผม
สรุปแล้ว “นี่คือสองสมาร์ทโฟนที่จะเปลี่ยนคุณเป็น Portrait Master ในราคาที่จับต้องได้ที่สุด!”
สรุปแล้ว realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G คือสองสมาร์ทโฟนที่จะเปลี่ยนให้เราเป็น Portrait Master ได้ง่าย ๆ และราคาเข้าถึงได้ที่สุด ณ เวลานี้ก็คงไม่ผิดนัก เพราะด้วยฮาร์ดแวร์กล้องระดับสูงอย่างเซ็นเซอร์ LYT-600 ตัวใหม่ (บน 12+ 5G) และกล้อง Periscope (เฉพาะ 12 Pro+ 5G) ครั้งแรกในกลุ่ม Midrange สร้างมาตรฐานใหม่ของการถ่ายภาพ Portrait และ Street อย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีดีไซน์ที่พรีเมี่ยมที่ร่วมมือกับนักออกแบบนาฬิกาหรู Ollivier Savéo ชวนหลงใหลในทุกสี ส่วนเรื่องสเปคอื่น ๆ realme 12+ 5G และ realme 12 Pro+ 5G ก็ให้มาอย่างครบถ้วนด้วย เรียกว่าในกลุ่มราคาหมื่นกลาง ๆ แบบนี้เราว่า 2 รุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากสำหรับสายที่ชอบถ่ายภาพ โดยเฉพาะ Portrait ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน!