Featured
รีวิว realme 8 และ realme 8 5G สมาร์ทโฟน 2 สไตล์สุดคุ้ม ความเร็วไร้ขีดจำกัดและกล้องขั้นเทพพร้อมฟีเจอร์เพียบ
realme 8 Series มาถึงไทยเป็นที่เรียบร้อยครับ โดยมีให้เลือกถึง 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ realme 8 ที่มาในสโลแกน “เก็บภาพไม่มีที่สิ้นสุด” และ realme 8 5G กับ “ความเร็วไร้ขีดจำกัด” ซึ่งสเปคทั้ง 2 รุ่นจัดเต็ม มีความไหลลื่น และความแตกต่างกันในสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร แถมมาในราคาสุดคุ้มมากๆ ใครที่สนใจรุ่นไหนและต่างกันอย่างไร วันนี้ทีมงาน iphone-droid.net ของเราจะพามาชมรีวิวกันเลยครับ
สรุปสเปค realme 8 5G
- ขนาดรอบตัวเครื่อง : 162.5 x 74.8 x 8.5 มม.
- น้ำหนัก : 185 กรัม
- หน้าจอแสดงผล 90Hz Ultra Smooth Display ชนิด IPS LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) รองรับ Refresh Rate 90Hz อัตราส่วน 20:9, ความสว่างสูงสุด 600 นิต และสัดส่วนพื้นที่หน้าอ 90.5%
- หน่วยประมวลผล : MediaTek Dimensity 700 5G Octa-core ความเร็ว 2.2GHz
- GPU : Mali-G57 MC2
- RAM : 8GB
- ROM : 128GB เพิ่ม MicroSD ได้สูงสุด 1TB
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์ 48MP Nightscape Camera ดังนี้
- เลนส์หลัก Ultra HD ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8
- เลนส์ B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ระยะโฟกัส 4 เซนติเมตร
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.1
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย realme UI 2.0
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1 และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh รองรับ 18W Quick Charge
สรุปสเปค realme 8
- ขนาดรอบตัวเครื่อง : 160.6 x 73.9 x 7.99 มม.
- น้ำหนัก : 177 กรัม
- หน้าจอแสดงผล : Super AMOLED Fullscreen ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล), 409 PPI, Touch Sampling Rate 180Hz, ความสว่างสูงสุด 1000 นิต และสัดส่วนพื้นที่หน้าจอ 90.8%
- หน่วยประมวลผล : MediaTek Helio G95 Octa-core
- GPU : Mali-G76 MC4
- RAM : 8GB
- ROM : 128GB เพิ่ม MicroSD ได้สูงสุด 1TB
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 4 เลนส์ AI Quad Camera ดังนี้
- เลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.79
- เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.25 มุมมองกว้าง 119 องศา
- เลนส์ B&W ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ระยะโฟกัส 4 เซนติเมตร
- กล้องหน้า In-display Selfie ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.45
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย realme UI 2.0
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1 และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh รองรับ 30W Dart Charge
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
สำหรับอุปกรณ์ในกล่องของทั้ง realme 8 และ realme 8 5G นั้นมีความแตกต่างกันเล็กน้อยที่อะแดปเตอร์ตามความสามารถของแต่ละรุ่นครับ
อุปกรณ์ภายในกล่อง realme 8 / realme 8 5G มีดังนี้
- ตัวเครื่อง realme 8 หรือ realme 8 5G พร้อมฟิล์มกันรอยมาให้ทั้งคู่
- อะแดปเตอร์ 30W Dart Charge (รุ่น 4G) และ 18W Quick Charge (รุ่น 5G)
- สาย USB Type-C
- เคสใส
- อุปกรณ์เปิดถาดซิม
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้นและใบประกันสินค้า
ดีไซน์สวยงาม
realme 8 Series ก็มาพร้อมกับคาวมสวยงามของฝาหลังอย่างเด่นชัดเป็นอย่างแรกครับ โดย realme 8 5G นั้นมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีฟ้า Supersonic Blue และดำ Supersonic Black โดยสีในรีวิวนี้จะเป็น Supersonic Blue ครับ ซึ่งเราจะเห็นการเล่นแสงและเฉดสีเบาๆ โดยมีความพิเศษคือการได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ Fast and Furious ที่ได้นำแสงไฟหน้ารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์ฝาหลังด้วย
ขณะที่รุ่น realme 8 ก็ไม่น้อยหน้าครับ มีให้เลือก 2 สี เช่นกัน ได้แก่ สีดำ Cyber Black ที่เราได้มา และสีเงิน Cyber Silver ซึ่งความโดดเด่นเราจะเห็นได้ทันที คือ ฝาหลังจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ฝั่งของความเป็นดิจิทัลมีความแวววาวสื่อถึงความล้ำสมัยยิ่งขึ้น พร้อมสโลแกนของ realme อย่าง “DARE TO LEAP” และส่วนที่เป็นฝาหลังแบบเรียบง่ายที่ดูมีความคสาสิกในตัวครับ
ในเรื่องของการจับถือทั้ง 2 รุ่นได้ออกแบบมาอย่างเบาและบางสุดๆ โดย realme 8 5G มีความบางเฉียบเพียง 8.5 มิลลิเมตร และเบาเพียง 185 กรัมเท่านั้น ขณะที่ realme 8 มีความบาง 7.99 มิลลิเมตร และเบาเพียง 177 กรัมเท่านั้น
realme 8 Series มีความโค้งที่ฝาหลังทำให้ระหว่างการใช้งานเป็นไปได้อย่างสบายมือมากๆ แถมตัวเครื่องยังออกแบบมาให้ปกป้องมุมเครื่องและยังช่วยลดการแตกของหน้าจอได้อีกด้วย
หน้าจอแสดงผล 2 สไตล์
realme 8 Series ให้หน้าจอมา 2 สไตล์แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนครับ โดย realme 8 5G จัดความไหลลื่นมาให้แบบ 90Hz Ultra Smooth Display ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมความสว่างสูงสุด 600 นิต และคมชัดระดับ Full HD ใครที่ชอบการสัมผัสที่ไหลลื่นก็ไม่ควรพลาดรุ่นนี้ครับ
ส่วน realme 8 จัดหน้าจอสีสันจัดจ้านอย่าง Super AMOLED มาให้ โดยมีขนาดอยู่ที่ 6.4 นิ้ว ความละเอียด FHD+ เช่นกัน แถมมีความสว่างหน้าจอสูงสุดถึง 1000 นิตอีกด้วย
มาดูรอบเครื่องกันบ้างครับ โดยทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกล้องหน้าแบบ In Display Selfie ที่ฝังลงในหน้าจอที่มุมซ้ายบน และลำโพงสำหรับสนทนาตรงกลาง
ทางซ้ายตัวเครื่องมีความต่างกันเล็กน้อย โดย realme 8 มีเพียงช่องใส่ซิมการ์ดและ MicroSD Card แบบ 3 Slot เท่านั้น แต่ realme 8 5G นั้นมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงมาให้ในฝั่งนี้
ส่วนทางขวาตัวเครื่อง realme 8 จะมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและ Power มาให้ครับ ขณะที่ realme 8 5G จะมีเพียงปุ่ม Power ที่ใช้งานเป็นการสแกนลายนิ้วมือข้างตัวเครื่องได้ด้วย
ด้านล่างให้มาเหมือนกัน โดยมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม., ไมโครโฟนตัวที่ 1, พอร์ต USB Type-C และลำโพงตัวหลัก
ด้านบนตัวเครื่อง realme 8 จะให้ไมโครโฟนตัวที่ 2 เพื่อตัดเสียงรบกวนครับ แต่ realme 8 5G จะไม่มีอะไร
สุดท้ายที่ด้านหลังจะมีกล้องที่จัดเรียงเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกันครับ แต่ถ้าสังเกตดีๆ realme 8 จะมี 4 เลนส์ และสัญลักษณ์ “64MP QUAD CAMERA” ส่วน realme 8 5G จะมีเพียง 3 เลนส์เท่านั้น พร้อมสัญลักษณ์ “48MP AI CAMERA”
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฏิบัติการ
realme 8 Series แกะกล่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย realme UI 2.0 ทั้งคู่ครับ ทำให้ใช้งานได้สเถียรและไหลลื่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดย realme UI 2.0 ได้ปรับปรุงการใช้ทรัพยากรระบบถึง 45% ช่วยให้มีความเร็วของระบบเพิ่มขึ้น 32% และความเสถียรของอัตราเฟรมเพิ่มขึ้น 17% อีกด้วย
รองรับ 5G Dual SIM Dual Standby (เฉพาะ realme 8 5G)
แน่นอนว่า realme 8 5G ก็ต้องรองรับการใช้งานเครือข่าย 5G ครับ โดยสามารถใช้งานได้แบบ Dual SIM หรือใช้ 5G ได้ทั้ง 2 ซิมเลยทีเดียว และยังรองรับรองรับการเชื่อมต่อ SA และ NSA
สลับเครือข่ายอย่างชาญฉลาดด้วย Smart 5G Power Saving (เฉพาะ realme 8 5G)
เมื่อใช้งาน 5G หลายคนอาจกังวลเรื่องแบตเตอรี่ไหล แต่ใน realme 8 5G ก็หมดกังวลได้ครับ เพราะสามารถสลับสัญญาณ 4G และ 5G ได้อัตโนมัติ ทำให้ไม่ใช้พลังงานเยอะเกินไป ซึ่งฟีเจอร์นี้ช่วยให้ประหยัดมากกว่ารุ่นที่ไม่มี Smart 5G Power Saving ถึง 30%
รองรับ Dark Mode ถึง 3 สไตล์
โหมดกลางคืนใน realme 8 Series สามารถปรับแต่งคาวมมืดของพื้นหลังได้ถึง 3 สไตล์ ได้แก่ ขั้นสูง, กลาง และอ่อนโยน ซึ่งจะมีทั้งดำสนิทไปจนถึงสีเทาครับ ทั้งนี้ เมื่อเปิดโหมดนี้แล้ว แอปพลิเคชั่นที่รองรับโหมดมืดจะเปลี่ยนให้เองโดยอัตโนมัติด้วย
ปรับไอคอนและอื่นๆ ในสไตล์ที่เป็นของเรา
realme UI 2.0 ก็มาพร้อมฟีเจอร์การปรับแต่งไอคอนและหน้าตา UI ได้เยอะพอสมควรครับ ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะของไอคอน, การจัดวางแอปพลิเคชั่น, สีสันต่างๆ และตัวอักษร
ระบบความปลอดภัย
ในเรื่องของการป้องกันคาวมปลอดภัย realme 8 Series ก็จัดเต็มเหมือนเดิมครับ โดย realme 8 5G มาพร้อมการปลดล็อคสแกนลายนิ้วมือด้านข้างอย่างอัจฉริยะ ที่ทำได้แม่นยำมากๆ และรวดเร็วเพียง 0.3 วินาทีเท่านั้นก็ใช้งานต่อได้ทันที
ส่วน realme 8 จะเป็นการสสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอครับ ซึ่งก็มีความรวดเร็วและใช้งานได้แม่นยำแทบไม่ต่างกันเลยครับ
นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่นยังรองรับสแกนใบหน้าที่ใช้งานได้รวดเร็วและสะดวกเมื่อมือไม่ว่างครับ
ล็อกแอปได้ตามใจชอบ
realme 8 Series มีความปลอดภัยอีกขั้นด้วยการล็อกรหัสผ่านของแอปพลิเคชั่นที่เราต้องการความปลอดภัยถึง 2 ชั้นครับ โดยจะเป็นการใส่รหัสคนละชุดกับการล็อกหน้าจอ หรือใครจะใช้ลายนิ้วมือสแกนก็ได้เช่นกันครับ
ช่องใส่การ์ดถึง 3 ช่อง
realme 8 Series ทั้ง 2 รุ่นให้ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM มาถึง 2 ช่อง และมีอีก 1 ช่องเป็น MicroSD Card แยกมาให้ด้วยครับ ไม่ต้องมาคอยเลือกช่องที่ 2 ว่าจะใส่ซิมหรือเพิ่มความจุดี
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
มาถึงด้านประสิทธิภาพที่ realme 8 Series ก็จัดเต็มครับ โดย realme 8 5G ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล 5G อย่าง MediaTek Dimensity 700 5G ขนาดเล็กเพียง 7 นาโนเมตร ควบคู่กับ GPU Mali-G57 MC2 ทำให้เล่นเกมที่มีกราฟิกสูงๆ ได้อย่างไหลลื่นครับ ส่วน realme 8 ได้ใช้ MediaTek Helio G95 Octa-core ที่เป็นชิพเกมมิ่ง ทำให้ใช้ใช้งานได้จุใจเช่นกันครับ
คะแนนการทดสอบบน AnTuTu ของ realme 8 5G อยู่ที่ 337,053 คะแนน
คะแนนการทดสอบบน AnTuTu ของ realme 8 อยู่ที่ 323,153 คะแนน
ทดสอบการเล่นเกม
ROV
สำหรับเกมมหาชนอย่าง ROV ทั้ง 2 รุ่นสามารถเปิดกราฟิกระดับสูงได้ทั้งหมดครับ แต่รุ่น 5G จะไม่สามารถเปิดเฟรมเรทสูงได้ แต่ก็ถือว่าเล่นได้ไหลลื่น เฟรมเรทวิ่งคงที่ และไม่เจออาการกระตุกหรือเครื่องร้อนจนเกินไปครับ
Call of Duty
ส่วนเกม Call Of Duty สามารถตั้งค่ากกราฟิกและเฟรมเรทระดับสูง โดยการเล่นในโหมด Battle Royale สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม การสัมผัสหน้าระหว่างเคลื่อนที่ทำได้ดีมาก และเฟรมเรทก็แทบไม่มีดรอปให้เห็น
Genshin Impact
ส่วน Genshin Impact ก็สามารถเปิดกราฟิกในระดับกลางหรือค่าเริ่มต้นได้ครับ การเล่นก็ทำได้สบาย ทำได้ไหลลื่นทั้ง realme 8 และ realme 8 5G
แบตเตอรี่อึด 5000mAh ใช้งานได้ครบจบวัน
ทั้ง realme 8 และ realme 8 5G มาพร้อมกับแบตเตอรี่ 5000mAh เท่ากัน โดยสามารถใช้งานทั่วไปได้ครบจบวันแน่นอนครับ หรือถ้าเล่นเกมก็ได้ประมาณ 6-7 ชั่วโมงเลยทีเดียว หรือใครจะสตนบายเครื่องไว้เฉยๆ ก็อยู่ได้เฉียดเดือนเลยทีเดียวครับ ที่สำคัญทั้ง 2 รุ่นนี้ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว โดย realme 8 5G รองรับ 18W Quick Charge ส่วน realme 8 รองรับ 30W Dart Charge ซึ่งชาร์จเร็วมากๆ ครับ จากที่เราทดสอบจากแบตเตอรี่เหลือ 25% ชาร์จไปถึง 81% ในเวลาเพียง 37 นาที และเต็ม 100% ในเวลารวมเพียง 64 นาทีเท่านั้น
กล้องถ่ายรูป
realme 8 Series มาพร้อมกับกล้องหลังแบบจัดเต็มเหมือนกันทั้งคู่ โดยฟีเจอร์และลูกเล่นถือว่าเยอะมากๆ ใครที่ไม่ชอบอะไรที่ถ่ายซ้ำๆ แบบเดิมจะต้องหลงรักแน่นอนครับ ทั้งนี้ realme 8 และ realme 8 5G จะมีฟีเจอร์ที่ต่างกันอยู่บ้าง แต่เราก็จะระบุเอาไว้ให้นะครับ
AI Scene Detection ตรวจจับวัตถุอย่างฉลาด
ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับ AI ที่ตรวจจับวัตถุได้อย่างฉลาด รวดเร็ว และตรงมากๆ เช่น อาหาร, อาคาร, แมวน้อย, ดอกไม้ และอื่นๆ เพียบ โดยสีสันจะมีการปรับให้เหมาะสมกับแต่ละวัตถุอย่างสวยงาม
Ultra Wide Angle ถ่ายมุมกว้าง 119 องศา (เฉพาะรุ่น realme 8)
สำหรับเลนส์ Ultra-Wide Angle จะมีในรุ่น realme 8 เท่านั้นครับ โดยความสวยงามของเลนส์นี้บอกเลยว่าไปสุดมากๆ ถ่ายได้สวยงาม รองรับการใช้งาน HDR สีสันออกมาจัดจ้าน คอนทราสต์ดีเยี่ยมเลยทีเดียว
เลนส์ปกติ / เลนส์ Ultra-Wide Angle
Portrait ถ่ายสวยงาม ลูกเล่นก็เพียบ
ใน realme 8 Series ทั้ง 2 รุ่นสามารถถ่ายโหมดบุคคลหรือ Portrait ได้อย่างสวยงาม เบลอได้เนียนตา มีการไล่ระดับการเบลอเล็กน้อย ทำให้ดูภาพไม่ลอยเกินไป และเรื่องของวคามสวยงามบนใบหน้าก็ทำได้อย่างหมดจด ที่สำคัญถ่ายสวยทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังเลย
กล้องหลัง
กล้องหน้า
B&W Portrait ถ่ายโหมดขาวดำได้อย่างมีมิติ
ในโหมดนี้ได้ใช้งาน B&W เข้ามาช่วยเพื่อให้การถ่ายภาพสีขาว-ดำทำได้ดีขึ้น เก็บแสงได้มากกว่าเดิมครับ ซึ่ง Mood & Tone ของภาพก็ออกมาแนวย้อนยุคเบาๆ หรือจะเล่นอารมณ์กับฟิลเตอร์นี้ก็ได้เช่นกัน
ถ่ายบุคคลได้ไม่เหมือนใครด้วย Trendy Portrait (เฉพาะรุ่น realme 8)
นอกจากจะมีโหมดบุคคลเบลอฉากหลังแแบบปกติแล้ว ใน realme 8 ยังมีลูกเล่นเพิ่มเติม ดังนี้
- Neon Portrait : เป็นเอฟเฟกต์การเบลอที่มากกว่าแบบปกติ ทำให้ภาพเหมือนอยู่ในความฝัน หรือจะถ่ายให้เห็นดวงไฟหรือแสงที่เล็ดลอดออกมาจากแสงอาทิตย์เป็นโบเก้ด้านหลังเพิ่มมากขึ้นก็ได้เหมือนกันครับ
- Dynamic Bokeh : โหมดนี้เป็นการใช้ไดนามิกโบเก้ที่เน้นบุคคลกับพื้นหลังที่เหมือนกำลังเคลื่อนไหว ซึ่งจะต่างกับโหมดเบลอปกติที่จะดูหยุดนิ่ง
- AI Color Portrait : และโหมดนี้เป็นเป็นการเปลี่ยนฉากหลังเป็นสีขาวดำทั้งหมด และหลงเหลือสีสันไว้ให้กับตัวบุคคลเท่านั้น ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมาครับ
Macro ถ่ายได้ใกล้สุด 4 ซม.
เลนส์นี้คงไม่ต้องพูดถึงอะไรมากครับ เพราะคงคุ้นเคยอย่างดี โดยเป็นการถ่ายวัตถุให้เห็นอย่างใกล้ๆ ซึ่ง realme 8 Series ทำได้เป็นอย่างดีทั้งคู่ครับ
Nightscape ถ่ายกลางคืนได้คมชัดและสว่างสุดๆ
แน่นอนว่าทั้ง 2 รุ่นต้องรองรับโหมด Nightscape เพื่อถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือตอนกลางคืนให้สว่างและมีสีสันที่คมชัดเหมือนเดิม ซึ่งบอกเลยว่ารุ่นนี้ทำได้ดีมากๆ ภาพออกมาชัด Noise ค่อนข้างน้อยมากๆ และวัตถุก็สว่างขึ้นชัดเจน
โหมดปกติ / โหมด Nightscape
มี Nightscape Filter ให้เลือกใช้ด้วย
นอกจากจะถ่ายกลางคืนปกติแล้ว ก็ยังมีฟิลเตอร์ให้เลือกถึง 5 แบบเลยทีเดียว ได้แก่ สีทองทันสมัย, ไซเบอร์พังก์, ฟลามิงโก, จักรวาล และพิศวง
สีทองทันสมัย ไซเบอร์พังก์ ฟลามิงโก จักรวาล พิศวง
โหมดการถ่ายภาพแบบจำลอง Tilt-shift Mode (เฉพาะรุ่น realme 8)
สำหรับโหมดนี้ถือว่าพิเศษมากๆ ในสมาร์ทโฟนครับ เพราะปกติจะมีเพียงแค่ในกล้องราคาแพงๆ เท่านั้น โดยเราสามารถเลือกส่วนที่ต้องการให้ชัดและเบลอได้ตามรูปร่างที่เราเลือก ได้แก่ แบบแนวตั้งหรือแนวนอน และแบบวงกลมครับ ทั้งนี้ ในโหมดแนวตั้งหรือนอน เราสามารถหมุนเองได้ 360 องศา และเลือกได้ว่าจะเลือกให้เบลอแบบไหนและขนาดไหนบ้าง
Starry Mode ถ่ายให้เห็นดวงดาวได้ (เฉพาะรุ่น realme 8)
ในโหมดนี้จะเป็นการใช้งานเพื่อถ่ายให้เห็นดวงดาวบนท้องฟ้าในตอนกลางคืนได้ชัดเจนขึ้น โดยระบบจะเพิ่มความสว่างและลด Noise ให้ได้มากที่สุดครับ ซึ่งเราแนะนำให้หาขาตั้งกล้องมาวางทิ้งไว้ เพราะต้องใช้เวลาประมวลผลประมาณ 4 นาทีครับ
ถ่ายกล้องหน้า AI Beauty คมชัด 16 ล้านพิกเซล
ส่วนในของกล้องหน้าโหมดปกติทำออกมาได้สวงยงาม ใบหน้าคมชัด และปรับเข้ากับใบหน้าของแต่ละบุคคลได้เป็นอย่างดีเพราะมี AI เข้ามาช่วย
สรุปการใช้งาน
สำหรับ realme 8 และ realme 8 5G ถือว่าเป็น 2 รุ่นที่มาใน 2 สไตล์จริงๆ ครับ โดยใครที่ต้องการเน้นความเร็วแรงของการใช้งาน ไม่ว่าจะดาวน์โหลดหรืออัปโหลดก็ทำได้ไวสุดๆ ก็ต้องเลือก realme 8 5G ครับ ส่วน realme 8 จะเน้นในเรื่องกล้องเป็นพิเศษและมีฟีเจอร์ให้ลองเล่นเพียบ ทั้งนี้ ในส่วนของการใช้งานทั้ง 2 รุ่นทำออกมาได้น่าประทับใจมากๆ คุ้มค่ากับราคาสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Refresh Rate 90Hz ใน realme 8 5G หรือ 30W Dart Charge ใน realme 8
ราคา
สำหรับ realme 8 5G เปิดราคาในไทยอยู่ที่ 9,999 บาท และ realme 8 อยู่ที่ 8,999 บาท โดยทั้ง 2 รุ่นจะเริ่มพรีอออเดอร์กันได้ระหว่างวันที่ 21 เมษายน – 3 พฤษภาคมนี้ และจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ผ่านทาง realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ