Featured
รีวิว Redmi Note 11 Pro และ Note 11 Pro 5G พลังกล้องระดับโปร 108MP ชาร์จเร็ว 67W Turbo Charging พร้อมจอสุดลื่น 120Hz
มาแล้วกับ รีวิว Redmi Note 11 Pro และ Note 11 Pro 5G สมาร์ทโฟนตัวกลาง 2 รุ่นแต่สเปคระดับเรือธงที่หลายคนกำลังรอคอยกันอยู่ครับ โดยในรุ่นนี้จัดมาแบบคุ้มค่าสุดๆ ตั้งแต่หน้าจอขนาดใหญ่ ดีไซน์สวย และกล้องหลัง 108 ล้านพิกเซลที่เพียบกับรุ่นเรือธงได้แบบไม่เขินอายเลยครับ วันนี้ทีมงาน iphone-droid.net จัดรีวิวเต็มๆ ของทั้ง 2 รุ่นไปพร้อมกันเลยครับ
สรุปสเปค Redmi Note 11 Pro 5G
- ขนาดตัวเครื่อง : 164.19 x 76.1 x 8.12 มม.
- น้ำหนัก : 202 กรัม
- หน้าจอแสดงผล AMOLED DotDisplay ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) 395 ppi, Refresh Rate 120Hz, 360Hz Touch sampling rate, HDR10+, Contrast Ratio 4,500,000:1 และมีความสว่างสูงสุด 1200 นิต
- หน่วยประมวลผล : Snapdragon 695 Octa-core ความเร็วสูงสุด 2.2GHz
- GPU : Adreno 619
- RAM : 6/8GB LPDDR4X
- ROM : 64/128GB แบบ UFS 2.2 เพิ่ม microSD Card ได้สูงสุด 1TB
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์ ดังนี้
- เลนส์หลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.9 เซ็นเซอร์ Samsung HM2
- เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 118 องศา
- เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ระยะโฟกัส 4 ซม.
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 13
- รองรับ 5G : n1/3/5/7/8/20/28/38/40/41/66/77/78
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1 และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh รองรับ 67W Turbo Charging
สรุปสเปค Redmi Note 11 Pro
- ขนาดตัวเครื่อง : 164.19 x 76.1 x 8.12 มม.
- น้ำหนัก : 202 กรัม
- หน้าจอแสดงผล AMOLED DotDisplay ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) 395 ppi, Refresh Rate 120Hz, 360Hz Touch sampling rate, HDR10+, Contrast Ratio 4,500,000:1 และมีความสว่างสูงสุด 1200 นิต
- หน่วยประมวลผล : MediaTek Helio G96 Octa-core ความเร็วสูงสุด 2.05GHz
- GPU : ARM Mali-G57 MC2
- RAM : 6/8GB LPDDR4X
- ROM : 64/128GB แบบ UFS 2.2 เพิ่ม microSD Card ได้สูงสุด 1TB
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 4 เลนส์ ดังนี้
- เลนส์หลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.9 เซ็นเซอร์ Samsung HM2
- เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 118 องศา
- เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ระยะโฟกัส 4 ซม.
- เลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 13
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1 และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh รองรับ 67W Turbo Charging
แกะกล่อง ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องของทั้ง 2 รุ่นนั้นเหมือนกันทั้งหมดครับ และไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเติมแล้วเพราะให้มาครบถ้วน ดังนี้
- ตัวเครื่อง Redmi Note 11 Pro 5G หรือ Redmi Note 11 Pro พร้อมติดฟิล์มกันรอยให้แล้วทั้ง 2 รุ่น
- อะแดปเตอร์ 67W Turbo Charging
- สาย USB Type-C
- อุปกรณ์เปิดถาดซิม
- เคสใส
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
- ใบรับประกันสินค้า
ดีไซน์ทันสมัย สัมผัสได้ถึงความพรีเมี่ยม
ทั้ง Redmi Note 11 Pro และ Note 11 Pro 5G มาพร้อมกับดีไซน์ฝาหลังที่ใช้วัสดุกระจกเข้ามาช่วยเติมเต็มเรื่องความพรีเมี่ยม ความเป็นผิวด้าน (Matte) ได้สัมผัสที่ไม่เหมือนกับสมาร์ทโฟนรุ่นกลางทั่วไป ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเด่นที่ตระกูล Redmi ทำมาได้ดีตลอดครับ ขณะที่โมดูลกล้องหลังก็ทำได้สวยงามและไม่ใหญ่จนเกินไป
ทั้ง 2 รุ่นใช้ตัวขอบด้านข้างที่มาจะเป็นแบบขอบแบน ที่ทำให้เครื่องมีความบางที่ 8.12 มิลลิเมตร และยังไม่รู้สึกใหญ่เกินไปเวลาใช้งาน แม้ว่าจะเป็นคุณผู้หญิงมาใช้ก็ยังอยู่ในขนาดที่ใช้ได้สะดวกแน่นอนครับ
Redmi Note 11 Pro และ Note 11 Pro 5G จะมีรุ่นละ 3 สีให้เลือกครับ โดยจะมีสีเทา (Graphite Gray), ขาว (Polar White) และสีน้ำเงิน (Redmi Note 11 Pro 5G ใช้ชื่อ Atlantic Blue, Redmi Note 11 Pro ใช้ชื่อ Star Blue)
ป้องกันละอองน้ำมาตรฐาน IP53
งานประกอบที่ดีก็ต้องมาพร้อมมาตรฐานกันน้ำที่ให้เราได้หายห่วงในทุกสถานการณ์ครับ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นก็มี IP53 ที่เป็นมาตรฐานกันละอองน้ำ ทำให้ใช้งานได้ทั้งตอนที่ฝนตกเบาๆ หรือป้องกันเหตุที่คาดไม่ถึงได้ครับ
หน้าจอใหญ่ แถมได้ความไหลลื่นแบบ 120Hz
จัดเต็มเรื่องหน้าจอมาแบบเต็มที่จริงๆ ครับ โดย Redmi Note 11 Pro และ Note 11 Pro 5G มีขนาดจอใหญ่ถึง 6.67 นิ้วเท่ากัน คมชัด Full HD+ แถมได้พาเนลจอแบบ AMOLED DotDisplay รองรับ HDR10+ มาให้ด้วย บอกเลยว่าเรื่องสีสันและความชัดหน้าจอถูกใจสายที่เน้นการชมภาพยนตร์หรือซีรีส์
แน่นอน 100% ครับ
2 รุ่นนี้ยังไปสุดได้อีกคือ Refresh Rate 120Hz ที่ได้ความไหลลื่นจากการใช้งานแบบรู้สึกได้ ใครที่ยังไม่เคยใช้จอ 120Hz ต้องได้มาสัมผัสเองจริงๆ ครับ ที่สำคัญหน้าจอยังใช้งานในกลางแจ้งได้ดีด้วย เพราะมีความสว่างสูงสุด 1,200 นิต ซึ่งใกล้เคียงกับหน้าจอเรือธงหลายรุ่น และยังเสริมความแกร่งด้วยกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 5 ซะด้วย !
พาชมรอบเครื่องกัน
เหนือหน้าจอแสดงผลจะมีกล้องหน้าที่เจาะรูที่เรียกว่า DotDisplay อยู่ตรงกลางครับ และถัดขึ้นไปจะเป็นลำโพงสำหรับการสนทนา
ทางขวาตัวเครื่องจะมีทั้งปุ่มเพิ่มและลดเสียงมาให้ พร้อมด้วยปุ่ม Power ที่ฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเข้าไปครับ โดยจุดเด่นของเจ้าปุ่ม Power ที่สแกนลายนิ้วมือได้คือตัวปุ่มไม่ได้บุ๋มลงไปในตัวเครื่อง ทำให้ยังเหมือนเราได้สัมผัสกับปุ่มปกติเลย
บริเวณส่วนด้านล่างตัวเครื่องช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ช่องแบบพลิกหน้า-หลังครับ แต่ช่องที่ 2 จะเป็น Hybrid เพื่อเป็นตัวเลือกระหว่างซิมที่ 2 หรือใส่ MicroSD ถัดไปเป็นพอร์ต USB Type-C, ไมโครโฟนตัวที่ 1 และลำโพงหลักตัวที่ 1
ส่วนด้านบนจะมีช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มม., ลำโพงตัวที่ 2 ที่ขอแอบบอกไว้ก่อนว่าเป็นลำโพงสเตอริโอด้วย, ไมโครโฟนตัวที่ 2 และเซ็นเซอร์อินฟราเรด IR Blaster
และที่ฝาหลังเครื่องทั้ง 2 รุ่นใช้ดีไซน์ใกล้เคียงกันครับ ต่างกันที่จำนวนเลนส์กล้องเท่านั้นเอง ซึ่ง Redmi Note 11 Pro จะมี 4 เลนส์ ส่วน Redmi Note 11 Pro 5G มี 3 เลนส์ (สังเกตง่ายๆ รุ่น 5G จะมีคำว่า AI อยู่ในเลนส์กล้อง) โดยทั้งคู่จะมีเลนส์หลักที่โดดเด่นอยู่ด้านบนสุดครับ ถัดลงมาจะเป็นเลนส์รองต่างๆ พร้อมไฟแฟลช LED
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฏิบัติการ MIUI 13 รุ่นล่าสุดของแบรนด์
รีวิว Redmi Note 11 Pro และ Note 11 Pro 5G จัดระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดของแบรนด์มาให้เป็น MIUI 13 ที่ใช้พื้นฐานบน Android 11 แต่แม้ว่า Android จะไม่ใช้รุ่นล่าสุด แต่ฟีเจอร์จัดมาให้ครบถ้วนใน MIUI 13 ที่ไม่ใช่แค่มีฟีเจอร์ใหม่อย่างเดียว แต่เรื่องการจัดการพลังงานและเรื่องความเสถียรของระบบเองถือว่าทำได้เป็นอย่างดีครับ
สเปคนี้ใช้ 5G ได้สบายๆ (เฉพาะ Redmi Note 11 Pro 5G)
ใครมองหารุ่นที่ราคาดีๆ รองรับ 5G ได้ Redmi Note 11 Pro 5G ตอบโจทย์ได้แน่นอนครับ ความเร็วในการดาวน์โหลดหรืออัปโหลดจัดเต็มมากๆ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเวลาเราต้องการโหลดภาพยนตร์หรือซีรีส์เก็บไว้ดูแบบออฟไลน์จะใช้เวลาไม่นานและตอนโหลดก็จะไม่เจออาการที่จู่ๆ ก็เหมือน % ดาวน์โหลดค้างไปและต้องรอสัญญาณกลับมาครับ
ได้จอ AMOLED จะขาด Always-On Display ไปได้ไง
ทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED DotDisplay ทั้งคู่ ทำให้รองรับฟีเจอร์ Always-On Display ที่จะแสดงผลสถานะของเครื่องได้ทันทีเพียงแค่เราแตะบนหน้าจอตอนล็อก ซึ่งจะแสดงทั้งเวลา, วันที่, แบตเตอรี่คงเหลือ รวมถึงไอคอนของแอปพลิเคชั่นที่มีการแจ้งเตือนเข้ามาครับ
ทั้งนี้เรายังสามารถตกแต่งธีมของ Always-On Display ได้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งจะมีทั้งข้อความที่เราคิดขึ้นมาเอง หรือเป็นธีมของนาฬิกาอื่นๆ ด้วยตามความชอบเลยครับ
ระบบความปลอดภัยใช้ได้ทั้งสแกนนิ้วข้างตัวเครื่องและสแกนใบหน้า
2 รุ่นนี้การสแกนลายนิ้วมือก็ทำได้เร็วเหมือนเดิมครับ แตะโดนแค่ผิวๆ ก็ปลดล็อกเครื่องให้แล้ว และก็ยังคงความปลอดภัยเอาไว้อยู่เช่นเดิม ลายนิ้วมือไหนที่ไม่ได้ลงทะเบียนก็ไม่สามารถปลดล็อกได้เหมือนเดิม
หรือใครสะดวกสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกก็ทำได้ดีเช่นกันครับ แต่จะใช้ไม่ได้ตอนใส่หน้ากากอนามัยอยู่นะ
ไม่ต้องกลัวแสงสีฟ้าด้วย Reading Mode 3.0
ใน MIUI 13 จะมีโหมดสำหรับการอ่านมาให้เราใช้งาน 2 แบบหลักๆ ช่วยให้ใช้งานหน้าจอเวลานานได้สบายตามากขึ้น โดยแบบแรกจะเป้นการตัดแสงสีฟ้าทั่วไปซึ่งเลือกความเข้มของการลดแสงสีฟ้าได้ครับ
ส่วนแบบที่ 2 จะเป็นโหมดสำหรับการอ่านหนังสือที่ปรับให้พื้นหลังหน้าจอสีความสากคล้ายกับหนังสือจริงๆ ครับ ซึ่งแบบที่ 2 ก็ช่วยความเมื่อยล้าดวงตาได้ดีไม่แพ้กัน
ถูกใจสายบันเทิงด้วยลำโพงเตอริโอ
ทั้ง Redmi Note 11 Pro และ Note 11 Pro 5G มีลำโพง Super Linear มาให้ 2 ตัวด้วยกัน ไม่ว่าจะสายชมวิดีโอหรือจะเล่นเกมก็จะได้อรรถรสแบบเต็มที่แน่นอนครับ แยกเสียง 2 ฝั่งได้ชัดเจนมากๆ และเสียงที่ปล่อยออกมาก็ดังใช้ได้เลยครับ
ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ด้วยเซ็นเซอร์ IR Blaster
นับว่านี่เป็นจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของฝั่ง Redmi ครับ ที่จะมีเซ็นเซอร์อินฟราเรดเพื่อให้เราได้ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านที่ใช้แทนรีโมทต่างๆ ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแอร์, ทีวี, พัดลม, กล่องสมาร์ท หรืออื่นๆ ใครมีรุ่นนี้ไว้ในมือก็แทบจะไม่ต้องเดินหารีโมทกันให้วุ่นแล้วล่ะครับ
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
ขุมพลัง Snapdragon 695 Octa-core เป็นชิปเซ็ตขนาด 6nm ที่เข้ามาขับเคลื่อนใน Redmi Note 11 Pro 5G ครับ โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 2.2GHz ซึ่งยังเป็นชิประดับกลางที่แรงเบอร์ต้นๆ ของ Qualcomm เลยด้วยครับ จะเล่นเกมหรือใช้งานทั่วไปก็ทำได้ไหลลื่น และยังจัดการเรื่องความร้อนดีที่สุดรุ่นหนึ่งเลยทีเดียวครับ
ขณะที่ Redmi Note 11 Pro ก็สเปคแรงไม่แพ้กันด้วยขุมพลังเกมมิ่ง MediaTek Helio G96 Octa-core ความเร็ว Clock สูงสุด 2.05GHz ซึ่งการใช้งานหรือเล่นเกมก็ทำได้ลื่นไม่แพ้กับรุ่น 5G เลย พอได้ลองใช้งานจริงๆ แล้วความรู้สึกนั้นแทบไม่ต่างกันเลยครับ ดีทั้งคู่ !!
ชิปแรงแต่ก็มีเทคโนโลยี LiquidCool
สิ่งที่ช่วยให้เครื่องทำงานได้ไหลลื่นและเต็มประสิทธิภาพตลอดเวลาหลักๆ เลยคือความร้อนที่ต้องจัดการได้ดีครับ ในรุ่นนี้ก็มีเทคโนโลยี LiquidCool ที่เป็นตัวระบายความร้อนด้วยของเหลว ช่วยให้เครื่องไม่ร้อนจนเกินไปเวลาเราใช้งาน โดยเฉพาะในตอนที่เล่นเกมที่มีกราฟิกแรงๆ
ผลการทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมผ่าน AnTuTu ของ Redmi Note 11 Pro 5G อยู่ที่ 386,705 คะแนน
ผลการทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมผ่าน AnTuTu ของ Redmi Note 11 Pro อยู่ที่ 331,849 คะแนน
ทดสอบการเล่นเกม
ROV
มาลองทดสอบการเล่นเกมของทั้ง 2 รุ่นนี้กันครับ ขอเริ่มด้วย ROV เลยแล้วกัน ทั้งคู่เปิดกราฟิกได้ระดับสูงและเฟรมเรทสูงเหมือนกันครับ โดยลองเล่นโหมดปกติ 5 VS 5 จัดว่าทำได้ดีทั้งคู่ เฟรมเรทนิ่งมากๆ อยู่ที่ 60fps แทบตลอดเกมเลยครับ ส่วนเรื่องความร้อนก็ยังอุ่นๆ ไม่ได้ร้อนอะไรมากแม้ลองเล่นไปประมาณ 3 เกมครับ
Asphalt 9: Legends
ลองเกมที่มีกราฟิกสูงขึ้นมาอีกนิดกับ Asphalt 9: Legends เกมแข่งรถภาพสวยๆ กันบ้าง ทั้งคู่เปิดภาพระดับสูงได้เหมือนกัน แถมเล่นได้สบายทั้งคู่ และที่ชอบสุดๆ เลยคือการมีหน้าจอ Refresh Rate 120Hz ช่วยให้ได้ภาพดูสมูทและไหลลื่นมากๆ ครับ โดยเฉพาะตอน Cut Scene ที่ให้ภาพไม่เหมือนรุ่นกลางเลยจริงๆ
Black Desert Mobile
มาลองเกมแนว MMORPG อย่าง Black Desert Mobile ในด้านกราฟิกสามารถเปิดภาพได้สูงสุดทั้งหมดครับ จังหวะต่อสู้ให้ภาพที่ไหลลื่นมาก และไม่เจออาการกระตุกอะไรครับ
แบตเตอรี่ 5000mAh ใช้งานครบวัน พร้อม 67W Turbo Charge
รีวิว Redmi Note 11 Pro 5G ให้แบตเตอรี่มาแบบจุกๆ ถึง 5000mAh ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้วแม้ว่าจะเปิด 5G ไว้ก็ตามครับ หรือหากใครใช้งานหนักจริงๆ ก็ยังมีเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 67W มาให้ด้วย โดยหากชาร์จ 15 นาทีจะได้ทำได้ถึง 50% และจะเต็ม 100% ในเวลาเร็วสุดที่ 42 นาทีเท่านั้นครับ อ้อ! เกือบลืมบอกไปครับ อะแดปเตอร์แถมมาให้ในกล่องแล้ว ไม่ต้องซื้อเพิ่มด้วยด้วยนะ
กล้องระดับโปร 108MP
ในเรื่องการถ่ายภาพของทั้ง Redmi Note 11 Pro 5G และ Redmi Note 11 Pro ขอบอกตรงๆ เลยว่าถ่ายออกมาได้แทบจะไม่แตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายจากเลนส์หลัก, Ultra-Wide Angle หรือ Macro รวมไปถึงโหมด Portrait ที่แม้ว่า Redmi Note 11 Pro 5G จะไม่มีเลนส์ Depth มาให้แต่ก็ถ่ายได้สวยงามไม่แพ้ Redmi Note 11 Pro เลยด้วย ดังนั้น เราขอถ่ายด้วยกล้องรุ่นเดียวจาก Redmi Note 11 Pro 5G ครับ
กล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่
เริ่มด้วยเลนส์หลักที่เป็นพระเอกของทั้ง 2 รุ่นเลยเลยครับ โดยมีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ถึง 1/1.52 นิ้ว ทำให้รับแสงภายนอกได้ดีขึ้น และภาพที่ถ่ายออกมาในโหมดความละเอียดสูง 108MP ก็ทำได้ดีเกินคาด มีความคมชัด สีสันและเฉดสีทำได้สดใส และวัตถุที่อยู่ภายใต้เงาก็เห็นได้ชัดเจนด้วยครับ
โหมด AI รวมพิกเซลแบบ 9-in-1 ก็ทำได้เยี่ยมยอด
ในโหมดปกติจะได้ผลลัพธ์ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นการรวม 9 พิกเซลเป็น 1 พิกเซล ทำให้ภาพรับแสงได้มากขึ้น, ประมวลผลภาพถ่ายได้ไวขึ้นแถมยังมีรายละเอียดของภาพที่คมชัดเหมือนเดิม ทั้งยังได้ AI เพื่อช่วยปรับสีสันของแต่ละวัตถุให้มีความแตกต่างตามความเหมาะสมครับ
ถ่าย Ultra Wide Angle กว้างสุด 118 องศา
ต่อกันที่เลนส์มุมกว้าง 118 องศา ถ่ายออกมาได้ดีเลยครับ มุมกว้าง 118 องศาถือว่ากำลังดีมากๆ โดยที่เราไม่ต้องถอยออกมาเพื่อให้ได้องค์ประกอบที่ครบครับ แค่ยืนถ่ายก็เก็บภาพตรงหน้าได้เลย และสีสันจัดมาแบบสวยงามไม่ต่างจากเลนส์หลักเลย
เลนส์หลัก / Ultra-Wide Angle
Portrait เบลอฉากหลังได้เนียนกริบ
ทั้ง Redmi Note 11 Pro 5G และ Redmi Note 11 Pro มีโหมดถ่าย Portrait ทั้งคู่ครับ โดยสามารถปรับค่ารูรับแสงได้ทั้งก่อนถ่ายและหลังถ่ายกันเลย โดย Mood and Tone ของในตระกูลนี้จะเน้นความเป็นธรรมชาติที่ไม่ดูแต่งเกินไปครับ โดยการเบลอฉากหลังถือว่าตัดได้เนียนเลยทีเดียว และการเบลอก็มีระดับเบาๆ ด้วย
Night Mode ทำได้ดี สีสันคมชัดขึ้น
สำหรับ Night Mode ที่เราใช้จาก Redmi Note 11 Pro 5G ทำได้ดีขึ้นมากจากโหมดปกติครับ ในจุดมุมมืดเราจะเห็นสีสันและรายละเอียดที่ได้ความสว่างและความคมชัดเข้ามาช่วย ที่สะคัญเวลาในการประมวลผลก็ไม่นานด้วยครับ เพราะ 3-4 วินาทีก็ได้ภาพออกมาแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้รองรับเลนส์ Ultra-wide ในการถ่ายภาพกลางคืนครับ
ปิด Night Mode / เปิด Night Mode
ฟีเจอร์พิเศษในการเปิดรับแสงนาน
เวลาที่เราต้องการถ่ายภาพที่ต้องใช้เทคนิคสูงๆ อย่างการเปิดรับแสงนานหรือ Long Exposures บางคนอาจจะปรับแต่งไม่ถูกและเกิดความผิดพลาดได้ครับ แต่ทั้ง Redmi Note 11 Pro 5G และ Redmi Note 11 Pro นั้นมีโหมดพิเศาให้เรากดเพียงครั้งเดียวก็ได้สิ่งที่ต้องการเลย โดยการตั้งค่าต่างๆ จะถูกปรับตามโหมดที่เราเลือก เช่น ฝูงชน, แสงนีออน, ภาพวาดแสง, ท้องฟ้าและดวงดาว และเส้นทางดาว ทั้งนี้ โหมดบางอย่าง ได้แก่ แสงนีออน, ภาพวาดแสง และเส้นทางดาว จะต้องใช้ขาตั้งกล้องเพราะใช้เวลาการประมวลผลที่นานกว่าปกติและเพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุดครับ
ความคมชัดของ Macro ทำได้เกินคาด
แม้ว่าเลนส์ Macro จะมีความละเอียดที่ 2 ล้านพิกเซล แต่หากได้มุมและแสงที่เหมาะสม ภาพที่ได้มาจะมีความคมชัดและสีสันที่สดใสมากๆ ครับ โดยระยะที่สามารถโฟกัสได้ใกล้สุดจะอยู่ที่ 4 เซนติเมตรครับ
กล้องหน้าเซลฟี่ได้ลงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ
กล้องหน้าของ 2 รุ่นนี้มีฟีเจอร์ที่ให้เราได้ปรับแต่งได้เหมือนกันทั้งหมดครับ โดยเราสามารถปรับคาวมฟรุ๊งฟริ๊งได้ถึง 100 ระดับตามความชอบของแต่ละคนเลยครับ และแม้ว่าจะปรับถึง 100 แล้ว แต่ภาพที่ได้ยังคงมีความเป็นธรรมชาติอยู่มากๆ ครับ
สรุปการใช้งาน
ภาพรวมของทั้ง 2 รุ่น Redmi Note 11 Pro 5G และ Redmi Note 11 Pro หากไม่นับเครื่องการรองรับเครือข่าย 5G ทั้งหมดก็ได้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกันมากๆ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ กล้อง แบตเตอรี่ใหญ่ และเทคโนโลยีชาร์จเร็วใส่มาแบบจัดเต็มทั้งคู่
ราคาและวันวางหน่าย
สำหรับราคาวางจำหน่ายของ Redmi Note 11 Pro 5G และ Redmi Note 11 Pro มีรายละเอียดดังนี้
- Redmi Note 11 Pro 5G ความจุ 8GB+128GB ราคา 10,990 บาท
- Redmi Note 11 Pro ความจุ 8GB+128GB ราคา 8,999 บาท
พิเศษโปรโมชัน Pre-Order ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 – 28 กุมภาพันธ์ 2565 รับฟรี Redmi Note 11 Series Boxset มูลค่า 1,690 บาท โดยสามารถหาซื้อได้ที่ Xiaomi Store, ร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์
- Lazada: https://bit.ly/3s2UmBA
- Shopee: https://bit.ly/3BBemhG
- JD Central: https://bit.ly/36sXH4y