Featured
รีวิว Redmi Note 13 Pro 5G โดดเด่นในทุกช็อตกับสีใหม่ “Olive Green” กล้อง OIS 200MP | จอ 1.5K 120Hz | ชิป Snapdragon 7s Gen 2
รีวิว Redmi Note 13 Pro 5G สีใหม่ Olive Green อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่กำลังเล็ง ๆ รุ่นนี้อยู่ โดยนอกจากสีเขียวอันโดดเด่นของตัวเครื่องแล้ว ยังมีจุดเด่นอีกมากมายที่เราจะมาโฟกัสกันในบทความนี้ ทั้งประสิทธิภาพของชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 2, กล้องหลัง 200MP พร้อม OIS, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5100mAh พร้อมระบบชาร์จเร็ว 67W เรียกว่าเป็นอีกรุ่นสุดคุ้มที่ไม่ควรมองข้ามจริง ๆ ครับ ถ้าพร้อมแล้ว เรา…เริ่มกันเลยไหมล่ะ ?
สรุปสเปค Redmi Note 13 Pro 5G
- ขนาดตัวเครื่อง : 161.15 × 74.24 × 7.98 มม.
- น้ำหนัก : 187 กรัม
- หน้าจอ : CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67″
- ความละเอียด : 1.5K (2712 × 1220 พิกเซล) ความสว่างสูงสุด 1800nits
- Refresh rate : 120Hz แบบ AdaptiveSync
- CPU : Snapdragon 7s Gen 2 Octa Core ความเร็ว 2.4GHz (4nm)
- GPU : Adreno 710
- RAM : 12GB (LPDDR4X)
- storage : 512GB (UFS 2.2)
- แบตเตอรี่ : 5100mAh
- ระบบชาร์จเร็ว : 67W Turbo Charging
- กล้องหน้า : 16MP f/2.45
- กล้องหลัง : 3 ตัว
- 200MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ ISOCELL HP3 1/1.4″) f/1.65 พร้อม OIS
- 8MP กล้อง Ultra-Wide f/2.2
- 2MP กล้อง Macro f/2.4
- การเชื่อมต่อ : 5G, Wi-Fi 5 (802.11a/b/g/n/ac), Bluetooth 5.2, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และพอร์ต USB-C
- ระบบปฏิบัติการ : Android 14 (Xiaomi HyperOS)
แกะกล่อง Redmi Note 13 Pro 5G
ก่อนจะไปชมตัวเครื่อง Redmi Note 13 Pro 5G สีใหม่กันแบบเต็ม ๆ เรามาเช็กอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องแบบเร็ว ๆ ก่อนดีกว่า ตัวกล่องจะให้มาแบบเดียวกับสีอื่น ๆ คือที่หน้ากล่องจะมีภาพตัวเครื่องซึ่งใช้เครื่องสี Aurora Purple ประกอบ ตรงนี้ไม่ต้องตกใจว่าเลือกสีใหม่แล้วทำไมได้กล่องสีนี้เนาะ
รายละเอียดสีให้ดูใต้กล่องได้เลยจะมีระบุสี ซึ่งกล่องที่เราได้มาเป็น Olive Green และความจุ 12GB+512GB ไม่ผิดเนาะ
ส่วนอุปกรณ์ในกล่องก็จะเหมือนกับสีอื่น ๆ ที่เราเคยแกะกล่องรีวิวไปแล้ว ให้อุปกรณ์มาครบ 6 อย่างประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง Redmi Note 13 Pro 5G (สี Olive Green ใหม่)
- เคสซิลิโคน
- สายชาร์จ USB-C to A
- อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 67W Turbo Charging
- เอกสารคู่มือ
- เข็มจิ้มถาดซิม
สีใหม่! เขียว Olive Green โดดเด่น
เอาล่ะ! ได้เวลายลโฉมสีใหม่ Olive Green ของ Redmi Note 13 Pro 5G กันแล้ว โทนของสีเขียวนี้จะแตกต่างจากสีอื่น ๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้า (ดำ Midnight Black, ม่วง Aurora Purple, ฟ้า Ocean Teal) มีความโดดเด่นและแปลกใหม่ไม่น้อยครับ
ตัวฝาหลังของสีนี้จะเป็นผิวสัมผัสแบบมันวาวคล้ายกับสีดำ Midnight Black แต่ก็ซ่อนลูกเล่นอย่างความระยิบระยับไว้ด้านในอีกชั้น ทำให้เพิ่มความโดดเด่นและสะดุดตาทันทีที่ได้มองเลยล่ะครับ
ส่วนโมดูลกล้องก็จะมีความมันวาวและสะท้อนแสงได้มากกว่าที่ฝาหลังอีกระดับ พร้อมโทนสีที่เข้มขึ้นทำให้ตัดกับสีเขียวมะกอกของฝาหลังได้แบบลงตัวพอดี การวางแพทเทิร์นของโมดูลกล้องที่ตัดกันไป-มา ก็ช่วยเพิ่มมิติให้กับส่วนนี้ได้เช่นกัน
และแน่นอนว่าสีเขียวมะกอกนี้ยังไล่เฉดไปจนถึงกรอบเครื่องแบบเหลี่ยมที่ให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผิวสัมผัสเป็นแบบด้านให้ความรู้สึกที่คงที่ ดึงความโดดเด่นของฝาหลังเมื่ออยู่ร่วมกัน บอกเลยว่ากลมกลืนกันแบบไม่น่าเชื่อจริง ๆ ครับ
ขนาดที่กำลังพอเหมาะพอเจาะ
ขนาดและน้ำหนักของ Redmi Note 13 Pro 5G ก็ถือว่าทำได้ดีเลยครับ เพราะถ้าดูจากสเปคแล้วรุ่นนี้ได้แบตเตอรี่มามากถึง 5100mAh แต่ตัวเครื่องภายนอกไม่ได้ดูหนาจนเทอะทะเลย มีความบางเพียง 7.98 มม.เท่านั้น ส่วนน้ำหนักก็แค่ 187 กรัม เรียกว่ากำลังพอเหมาะพอเจาะในการถือใช้งานเลยจริง ๆ ครับ
ตำแหน่งปุ่มกดต่าง ๆ ก็วางมาให้กดได้ง่ายคือมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power อยู่ที่ฝั่งขวา ให้ใช้งานนิ้วเดียวปรับได้หมด
หน้าจอ CrystalRes AMOLED ตรง สีสวย ขอบจอบาง
พลิกกลับมาดูที่ด้านหน้ากันบ้าง Redmi Note 13 Pro 5G มาพร้อมหน้าจอ CrystalRes AMOLED แบบ Flat ขนาด 6.67″ เป็นไซซ์มาตรฐานของซีรีส์นี้เลย สีสันที่แสดงออกมาต้องบอกเลยว่าสวยงามครับ แถมที่ชอบที่สุดก็คือความเป็นสีเขียวใหม่ ก็ตั้งค่า Wallpaper สีเขียวเข้ากับตัวเครื่องมาให้เลยตั้งแต่แกะกล่อง ดีงาม
ตัวหน้าจอของ Redmi Note 13 Pro 5G จะเป็นจอตรงที่หลายคนน่าจะชอบ เพราะแสดงผลได้เต็มตา แถมยังมีขอบจอที่บางเฉียบเอามาก ๆ ส่วนเรื่องความละเอียดรุ่นนี้ได้มาระดับ 1.5K (2712 x 1220 พิกเซล) มีความสว่างสูงสุด 1800nits สวยคมเพียงพอจะเอามาดูคอนเทนต์แบบชัด ๆ อยู่แล้ว
การตอบสนองหน้าจอก็ลื่นไหล Refresh rate สูง 120Hz ที่หน้าจอของรุ่นนี้จะใช้กระจก Gollia Glass Victus คลุมตัวหน้าจออยู่ด้วย แต่ตัวเครื่องจะมีฟิล์มกันรอยติดมาให้ตั้งแต่โรงงานแล้วหนึ่งชิ้นด้วย เพิ่มมั่นใจในเรื่องความทนทานได้อีกแหนะ
พอร์ตเชื่อมต่อบน-ล่าง มีช่องหูฟัง 3.5 มม.ด้วย
พอร์ตการเชื่อมต่อหลักของ Redmi Note 13 Pro 5G จะเป็น USB-C อยู่ตำแหน่งด้านล่างพร้อมไมโครโฟน ลำโพงหลักของตัวเครื่อง และช่องใส่ซิมการ์ด
ส่วนด้านจะมีช่องหูฟัง 3.5 มม.มาให้ด้วย ถัดไปเป็นลำโพงตัวที่ 2 และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และช่อง IR Blaster เอาไว้ใช้งานเป็นรีโมทควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ครับ
ลำโพงคู่เสียงเร้าใจพร้อมรองรับ Dolby Atmos
อย่างที่เห็นไปว่า Redmi Note 13 Pro 5G นั้นจะมาพร้อมลำโพงคู่บน-ล่าง ให้เสียงแบบ Stereo แถมยังรองรับระบบเสียง Dolby Atmos ให้เราได้เต็มอิ่มกับคุณภาพเสียงอันทรงพลัง มอบประสบการณ์เสียงที่เร้าใจรอบทิศทางอย่างลงตัวเลยด้วย
ปลอดภัยด้วย ระบบสแกนลายนิ้วมือและสแกนใบหน้า
ในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย Redmi Note 13 Pro 5G จะมีทั้งระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-screen Fingerprint sensor) ให้เราได้แตะสแกนที่ด้านหน้าได้อย่างรวดเร็ว และระบบสแกนใบหน้าด้วยกล้องหน้าครบเลยครับ
นอกจากนี้ Redmi Note 13 Pro 5G ยังมีมาตรฐานการกันน้ำกระเซ็นและฝุ่น IP54 ช่วยให้เรามั่นใจหากเจอละอองน้ำมากระเด็นใส่ ยิ่งไปกว่านั้นที่หน้าจอยังมีเทคโนโลยี Wet Touch ที่แม้นิ้วจะเปียก ก็ยังสามารถแตะใช้งานได้ด้วย
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ Redmi Note 13 Pro 5G สี Olive Green ใหม่! นี้ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมเลยครับ เป็นอีกโทนที่โดดเด่น มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่แพ้อีก 3 สีที่ออกมาก่อนหน้า ใครที่ชอบโทนสีเขียวแบบหรู ๆ ไม่จี๊ดจ๊าดจนเกินไป เราว่านี่คือความลงตัวที่กำลังมองหาอยู่แน่นอนครับ!
กล้องหลัง 3 ตัวให้คุณ “โดดเด่นในทุกช็อต”
มาต่อในเรื่องกล้องกันบ้าง Redmi Note 13 Pro 5G มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวที่มีสเปคน่าสนใจและใช้งานได้ครอบคลุม ดั่งสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” จริง ๆ ครับ
- 200MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ ISOCELL HP3 ขนาด 1/1.4″) f/1.65, Super QPD, OIS
- 8MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 2MP กล้อง Macro f/2.4
อย่างที่เห็นชุดกล้องของ Redmi Note 13 Pro 5G ถือว่าใช้ได้เพียงพอตั้งแต่มุมกว้างจนถึง ระยะซูม 2x – 4x ได้แบบคมชัด เพราะด้วยขนาดเซ็นเซอร์และความละเอียดที่เยอะ แถมยังมีกล้อง Macro มาให้เราเก็บภาพระยะใกล้ได้อีกด้วย ส่วนซอฟต์แวร์ก็จะมีตัวเลือก AI ให้เปิดใช้งาน เพื่อเพิ่มลูกเล่นในการปรับแต่งภาพหลังถ่ายได้อีกด้วย
อย่างเช่นภาพท้องฟ้า ถ้าเราเปิด AI ก็จะปรับให้ฟ้าสดใส ภาพอาหารดูน่ากินขึ้น หรือดอกไม้ก็สีสันโดดเด้งขึ้นกว่าปกติ แต่ส่วนตัวเราคิดว่าเปิดใช้งานกับบางสถานการณ์ดีกว่า เพราะบางซีนตัว AI ก็อาจจะเร่งสีสันให้เกินจริงไปนิดหน่อย
กล้องหลัง 200MP ระดับเรือธง พร้อมกันสั่น OIS
ตัวกล้องหลักของ Redmi Note 13 Pro 5G ถือว่าเป็นไฮไลท์เลยเพราะได้ความละเอียดมาสูง เพียงพอที่จะใช้งานในระยะหลักหรือระยะซูมเข้าไปสัก 2x ถึง 4x อย่างที่บอกไป ทำให้เหมือนเรามีกล้อง 2 ตัวให้ใช้งานได้อย่างครอบคลุม ทั้งกล้องหลักและกล้อง Tele ใกล้ อีกทั้งขนาดเซ็นเซอร์ยังมีขนาดใหญ่ ช่วยให้เราละลายฉากหลังได้แบบสวยเนียนเป็นธรรมชาติ ตัวกล้องเองยังมีระบบกันสั่น OIS มาให้ด้วย ช่วยให้เราได้ภาพที่คมชัด กันสั่นได้อย่างดี โทนของภาพจะออกมาแบบสดใสและใสเคลียร์ถูกใจเลยล่ะครับ
มีโหมดความละเอียดเต็ม ใช้ครอปเฉพาะส่วนเพิ่มก็ได้
อ๊ะ…ลืมบอกไปว่าในโหมด Photo ทั่วไปกล้องหลักของ Redmi Note 13 Pro 5G จะถ่ายมาที่ความละเอียด 12MP แต่ด้วยวิธีการรวมพิกเซลมาเป็น 12MP (16 in 1) จึงได้คุณภาพที่ยอดเยี่ยมในขนาดไฟล์ที่ไม่ใหญ่จนเกินจำเป็น แต่ถ้าใครที่อยากได้ความละเอียดเต็มจากเซ็นเซอร์เลย ก็มีโหมด 200MP มาให้เลือกใช้งานเช่นกัน ซึ่งในโหมดนี้ถ้าเราถ่ายมาจะได้ไฟล์ที่ใหญ่มากระดับ 16,320 x 12,240 พิกเซลเลยทีเดียว
ซึ่งพอเรามีไฟล์ขนาดใหญ่ระดับนี้ ก็สามารถแบ่งครอปเอาแต่ละส่วนของภาพมาใช้ได้เพิ่มเติมด้วย และความเก่งของซอฟต์แวร์ก็คือถ้าเราถ่ายโหมด 200MP มา ระบบจะมีฟีเจอร์ Xiaomi ProCut ครอปภาพเป็นส่วน ๆ มาให้เราโดยอัตโนมัติเลย ง่ายต่อการไปใช้ต่อทันที
กล้อง Ultra Wide มุมกว้างถูกใจ
ส่วนกล้อง Ultra Wide ของ Redmi Note 13 Pro 5G จะได้ความละเอียดมาที่ 8MP ได้มุมกว้างพิเศษที่เพียงพอต่อการขยายภาพแบบไม่ต้องถอยหลัง แต่แน่นอนว่าความละเอียดที่ให้มาอาจจะไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้องหลัก แต่ระดับนี้ก็ถือว่าเพียงพอในการใช้งานทั่วไปแล้วล่ะครับ
กล้อง Macro ก็มี ถ่ายวัตถุใกล้ ๆ ได้ด้วย
และกล้องเสริมตัวที่ 3 อย่างกล้อง Macro ก็ยังให้เราได้ถ่ายภาพวัตถุในระยะใกล้ได้ด้วย จับภาพได้แม่น แต่ด้วยความละเอียดที่ให้มาเพียง 2MP อาจจะไม่ได้เน้นใช้งานจริงจังนัก และต้องอาศัยแสงสว่างที่เพียงพอหน่อยในการเก็บภาพด้วยเนาะ
Portrait เบลอสวย สกินโทนดี
มาปิดท้ายกล้องหลังด้วยภาพ Portrait หรือโหมดถ่ายบุคคล ยังคงทำได้ดีตามคาแร็คเตอร์ที่เน้นความสวยสดใส สกินโทนของภาพจึงออกมาเนียนใช้ได้ และสังเกตว่าหากตัวกล้องตรวจจับใบหน้าคนได้ ภาพจะสว่างขึ้นมาทันที เพื่อช่วยให้ได้ภาพใส ๆ และออกอมชมพูละมุน เรื่องการละลายหลังก็ทำได้เก่งใช้ได้ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเลือกระยะของภาพได้มากกว่า 1x ถ้าเพิ่มตัวเลือกให้เราซูมเข้าไปอีกหน่อย น่าจะได้ระยะ Portrait ที่หลากหลายกว่านี้เนาะ
เซลฟี่ด้วยกล้องหน้า 16MP
และที่กล้องหน้า Redmi Note 13 Pro 5G ได้กล้องหน้า 16MP ภาพที่ได้ยังมีโทนสดใสเหมือนกัน มีโหมด Beautify ให้เลือกปรับระดับความเนียนของใบหน้า มี Portrait ละลายฉากหลังได้แบบเนียน ๆ อีกด้วยครับ
โดยรวมเรื่องกล้องของ Redmi Note 13 Pro 5G ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม ด้วยฮาร์ดแวร์กล้องหลักความละเอียดสูงที่ให้ภาพคมชัด ใช้งานทดแทนระยะซูม 2x – 4x ได้ ซอฟต์แวร์ที่ปรับภาพได้สวยโดดเด่น ใช้งานได้ครอบคลุมในทุกสถานการณ์ ถือว่าเป็นรุ่นที่เน้นเรื่องกล้องได้สมกับสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” จริง ๆ ครับ ใช้งานได้ไม่ผิดหวังเลย
ชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 2 ขนาด 4nm
มาต่อในเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน Redmi Note 13 Pro 5G ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 2 ชิปประสิทธิภาพสูงแบบ Octa-Core ระดับเรือธงด้วยขนาด 4nm มอบประสบการณ์ที่ลื่นไหล พร้อมทั้งอัปเกรดโดยรวมทั้งประสบการณ์ด้านการถ่ายภาพและเครือข่ายที่ยอดเยี่ยม ส่วนความจุรุ่นนี้ก็ได้มามากถึง 12GB+512GB เหลือ ๆ เลยครับ
เพื่อให้เห็นภาพคร่าว ๆ ของสเปครุ่นนี้ เราเลยทดสอบผ่านแอป Benchmark ยอดฮิตเพื่อให้เห็นตัวเลขคร่าว ๆ โดยคะแนนของ AnTuTu Benchmark v10 ออกมาที่ 603288 แต้ม
ส่วนฝั่ง Geekbench 6 ก็ได้มาสูงอยู่เหมือนกันคือ Single-Core = 1012 แต้ม และ Multi-Core = 2801 แต้มครับ
เล่นเกมสบาย ๆ
สำหรับการเล่นเกมด้วยสเปคของ Redmi Note 13 Pro 5G และชิป Snapdragon 7s Gen 2 ก็ถือว่าเล่นเกมในระดับกลางค่อนสูงได้สบาย ๆ เกมที่เราทดสอบรอบนี้คือ Asphalt 9 และ Call of Duty Warzone และผลลัพธ์ก็ออกมาดังนี้
เล่น Asphalt 9 บน Redmi Note 13 Pro 5G
สำหรับ Asphalt 9 เราสามารถเลือกปรับระดับกราฟิกที่ High Quality ร่วมกับเฟรมเรตแบบ 60fps ได้เลย เท่ากับสูงสุด ๆ แล้วกับการตั้งค่านี้ เท่าที่เราลองเล่นก็ถือว่าทำได้ลื่นไหลดีเลยครับ ไม่เจออาการกระตุก แม้ภาพกราฟิกจะสวยอลังการ เอฟเฟกต์เพียบ ๆ ในฉากก็ตาม
เล่น Call of Duty Warzone บน Redmi Note 13 Pro 5G
ส่วนเกมใหม่อย่าง Call of Duty Warzone เราสามารถเลือกตั้งค่าได้ที่กราฟิก Higher ร่วมกับเฟรมเรต 60fps ด้วย แต่ในการตั้งค่านี้ ถ้าเล่นแบบต่อเนื่องนาน ๆ หรือจังหวะที่สาดกระสุนกันเยอะ ๆ อาจจะเจออาการกระตุกได้บ้าง เราแนะนำว่าเปิดเป็นกราฟิก Lower แทน จะเล่นได้อย่างลื่นไหลและต่อเนื่องกว่าเนาะ
แบตเตอรี่ความจุสูงพิเศษ 5100mAh
Redmi Note 13 Pro 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่พิเศษถึง 5100mAh ใช้งานได้จุใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ๆ เหมาะสำหรับการใช้งานที่หนัก เช่น การถ่ายรูปต่อเนื่อง การเล่นเกม หรือเล่นโซเชี่ยลแบบต่อเนื่องจริง ๆ ครับ
ชาร์จเร็ว 67W TurboCharge
ส่วนระบบชาร์จ Redmi Note 13 Pro 5G ได้ระบบชาร์จ 67W TurboCharge ระดับเรือธง ชาร์จแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ระดับ 5100mAh ได้เต็มในเวลาเพียง 44 นาที ช่วยให้เราพร้อมใช้งานกันต่อแบบไม่ต้องกังวลเรื่องแบตฯเลยล่ะครับ ชาร์จเร็วแบบนี้
โดยรวมแล้วในเรื่องประสิทธิภาพ Redmi Note 13 Pro 5G ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม ทั้งการใช้งานทั่วไปที่ลื่นไหล การจัดการเครือข่ายที่ยอดเยี่ยม และการเล่นเกมระดับสูงที่มอบประสบการณ์ลื่นไหล มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่พิเศษ ใช้งานได้เต็มอิ่ม อีกทั้งระบบชาร์จเร็วยังมาตอบโจทย์การทำงานแบบต่อเนื่องได้ดีอีกด้วย!
ใช้ Xiaomi HyperOS เวอร์ชั่นล่าสุด!
Redmi Note 13 Pro 5G มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 14 ซึ่งสามารถอัปเกรดเป็น Xiaomi HyperOS ได้แล้วด้วย ทำให้ได้ประสบการณ์ความลื่นไหลและลูกเล่นใหม่ ๆ มาครบ รวมถึงฟีเจอร์อัจฉริยะมากมาย
ทั้งการปรับแต่งหน้า Lockscreen แบบใหม่, Art Framing ตกแต่งกรอบภาพสวย ๆ, ฟอนต์ใหม่ Mi Fonts หรือ Widget และการปรับแต่งหน้าจอแบบใหม่ ๆ มอบความสวยงามมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ราคาและโปรโมชั่น
สำหรับ Redmi Note 13 Pro 5G สีใหม่ Olive Green นี้จะมีความจุ 12GB+512GB และเปิดราคามาเท่ากับสีอื่น ๆ ที่เปิดตัวมาก่อนหน้าที่ 12,990 บาทครับผม
โดยมีโปรโมชั่นพิเศษเมื่อซื้อตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน – 31 กรกฎาคมเป็น Bluetooth Speaker มูลค่า 990 บาท และสิทธิ์ลุ้นตั๋วเครื่องบินและท่พัก 3 วัน 2 คืนกับงาน Redmi Note 13 Series Oconic Fan meet ที่ประเทศมาเลเซียด้วยครับ
สรุปแล้ว “นี่คือตัวเลือกใหม่สำหรับ Redmi Note 13 Pro 5G ที่โดดเด่นในทุกช็อตอีกครั้ง”
สรุปแล้วสี Olive Green นี้ก็ถือเป็นตัวเลือกใหม่ของ Redmi Note 13 Pro 5G ที่จะมาสร้างสีสันและความตื่นตาให้กับแฟน ๆ ได้อีกครั้ง เป็นโทนสีที่ได้ความสุขุมและจริงจัง ได้ความแปลกใหม่เหนือกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป ส่วนจุดเด่นอื่น ๆ ที่รุ่นนี้ทำได้ดีอยู่แล้วก็ยังอยู่ครบ ทั้งกล้องหลัง 200MP ระดับเรือธง หน้าจอ 1.5K 120Hz แสดงผลงดงาม ชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 2 ที่ลื่นไหล พร้อมใช้งานหลากหลาย แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5100mAh ระบบชาร์จเร็ว 67W TurboCharge และที่สำคัญรุ่นนี้ยังรองรับการอัปเกรดเป็น Xiaomi HyperOS แล้วด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่ครบเครื่องสำหรับแฟน ๆ Redmi ที่ต้องการรุ่นสุดคุ้ม ในสีสันที่สดใหม่จริง ๆ ครับ!