Featured
รีวิว Redmi Note 13 Series สามน้องใหม่จาก Redmi ที่จะทำให้คุณ “โดดเด่นในทุกช็อต” กับกล้องสูงสุด 200MP | หน้าจอ AMOLED 120Hz | ดีไซน์สวยพรีเมี่ยมมีเอกลักษณ์!
รีวิว Redmi Note 13 Series น้องใหม่ล่าสุดจาก Redmi ที่รอบนี้ยกทัพกันมาถึง 3 รุ่นคือ Redmi Note 13 Pro+ 5G , Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 พร้อมสโลแกนน่าสนใจ Every Shot Iconic “โดดเด่นในทุกช็อต” จัดเต็มมาด้วยกล้องหลังความละเอียดสูงสุด 200MP, ชิปเซ็ตทรงพลัง, หน้าจอ AMOLED 120Hz, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh และอีกเพียบ! เป็นซีรีส์สุดคุ้มที่ตอบโจทย์ในกลุ่มราคาประหยัดถึง Super Mid-Range ได้สบาย ๆ
น่าจะอยากรู้แล้วว่าแต่ละรุ่นมีทีเด็ดสมกับสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” รึเปล่า ถ้าพร้อมแล้วมาติดตามรีวิวของ Redmi Note 13 Series ไปพร้อม ๆ กันเลยครับ!
สรุปสเปค Redmi Note 13 Pro+ 5G
- ขนาดตัวเครื่อง : 161.4 x 74.2 x 8.9 มม.
- น้ำหนัก : 199 กรัม
- หน้าจอ : CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67″
- ความละเอียด : 1.5K (2712 x 1220 พิกเซล) ความสว่างสูงสุด 1800nits
- Refresh rate : 120Hz
- CPU : MediaTek Dimensity 7200-Ultra Octa-Core 2.8GHz (4nm)
- GPU : Mali-G610
- RAM : 8GB/12GB (LPDDR5)
- ROM : 256GB/512GB (UFS 3.1)
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบชาร์จ : ชาร์จไวเร็ว 120W HyperCharge
- กล้องหน้า : 16MP f/2.45
- กล้องหลัง : 3 ตัว
- 200MP กล้องหลัก Ultra-High Res (ISOCELL HP3 ขนาด 1/1.4″) f/1.65, OIS
- 8MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 2MP กล้อง Macro f/2.4
- การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 6, Bluetooth 5.3, NFC, IR Blaster และพอร์ต USB-C
- ระบบรักษาความปลอดภัย : In-screen fingerprint Unlock, AI Face Unlock
- มาตรฐานกันน้ำ : IP68
- ระบบปฏิบัติการ : Android 13 (MIUI 14)
- สีสัน : Midnight Black, Moonlight White และ Aurora Purple
สรุปสเปค Redmi Note 13 5G
- ขนาดตัวเครื่อง : 161.11 x 74.95 x 7.6 มม.
- น้ำหนัก : 174.5 กรัม
- หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.67″
- ความละเอียด : FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ความสว่างสูงสุด 1000nits
- Refresh rate : 120Hz
- CPU : MediaTek Dimensity 6080 Octa-Core 2.4GHz (6nm)
- GPU : Mali-G57
- RAM : 8GB/12GB (LPDDR4X)
- ROM : 256GB/512GB (UFS 2.2)
- microSD : รองรับสูงสุด 1TB
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบชาร์จ : ชาร์จเร็ว 33W Fast Charging
- กล้องหน้า : 16MP
- กล้องหลัง : 3 ตัว
- 108MP กล้องหลัก f/1.75
- 8MP กล้อง Ultra Wide-angle f/2.2
- 2MP กล้อง Macro f/2.4
- การเชื่อมต่อ : 5G, WiFi 2.4GHz, 5GHz, Bluetooth 5.3, NFC, IR Blaster และพอร์ต USB-C
- ระบบรักษาความปลอดภัย : Side fingerprint sensor, AI Face Unlock
- มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น : IP54
- ระบบปฏิบัติการ : Android 13 (MIUI 14)
- สีสัน : Graphite Black, Ocean Teal และ Arctic White
สรุปสเปค Redmi Note 13
- ขนาดตัวเครื่อง : 62.24 x 75.55 x 7.97 มม.
- น้ำหนัก : 188.5 กรัม
- หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.67″
- ความละเอียด : FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ความสว่างสูงสุด 1800nits
- Refresh rate : 120Hz
- CPU : Snapdragon 685 Octa-Core 2.8GHz (6nm)
- GPU : Adreno 610
- RAM : 8GB (LPDDR4X)
- ROM : 256GB (UFS 2.2)
- microSD : รองรับสูงสุด 1TB
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบชาร์จ : ชาร์จไวเร็ว 33W Fast Charging
- กล้องหน้า : 16MP
- กล้องหลัง : 3 ตัว
- 108MP กล้องหลัก f/1.75
- 8MP กล้อง Ultra Wide-angle f/2.2
- 2MP กล้อง Macro f/2.4
- การเชื่อมต่อ : 4G LTE, WiFi 2.4GHz, 5GHz, Bluetooth 5.1, NFC, IR Blaster และพอร์ต USB-C
- มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น : มาตรฐาน IP54
- ระบบปฏิบัติการ : Android 13 ครอบทับด้วย MIUI 14
- สีสัน : Midnight Black, Mint Green และ Ocean Sunset
แกะกล่อง Redmi Note 13 Series
ก่อนจะไปชมตัวเครื่องแต่ละรุ่น เรามาแกะกล่องเช็กอุปกรณ์ในกล่องกันก่อนรวดเดียว 3 รุ่นเลยดีกว่าเนาะ ที่ด้านหน้ากล่องจะมีภาพประกอบตัวเครื่องครบ ส่วนสีสันที่แสดงที่หน้ากล่องจะแตกต่างกันออกไปซึ่งอาจจะไม่ใช่สีที่อยู่ข้างในจริง ๆ ก็ได้
อันนี้ต้องมาเช็กที่ล่างกล่องอีกทีนะครับว่าเครื่องที่เราซื้อจริง ๆ เป็นสีอะไร อย่างในที่นี้ Redmi Note 13 เราได้สี Ocean Sunset มาแต่ที่หน้ากล่องจะโชว์สี Midnight Black แทน
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องของทั้ง 3 รุ่นจะให้ของมาเท่ากันเลย 6 อย่างประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง Redmi Note 13 Pro+ 5G | Redmi Note 13 5G | Redmi Note 13
- เคสซิลิโคน
- สายชาร์จ
- อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 120W HyperCharge | 33W Fast Charging
- เอกสารคู่มือ
- เข็มจิ้มถาดซิม
Redmi Note 13 Series ดีไซน์ที่โดดเด่นในทุกช็อต
ได้เวลายลโฉม Redmi Note 13 Series กันแล้วครับ ทั้ง 3 รุ่นนั้นมีดีไซน์ที่แตกต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะรุ่นพี่ใหญ่ Redmi Note 13 Pro+ 5G แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ที่มีจุดเชื่อมโยงและทำให้เข้ากันได้อย่างดีเหมือนกัน และด้วยความแตกต่างกันในรายละเอียดบางอย่าง เราขอพาชมไปทีละรุ่นเลยละกันเนาะ
Fusion Design ของ Redmi Note 13 Pro+ 5G
เริ่มจาก Redmi Note 13 Pro+ พี่ใหญ่ที่โดดเด่นที่สุดก่อนเลยละกัน รุ่นนี้จะมาพร้อมกับดีไซน์จอ-ฝาหลังที่ให้ความพรีเมี่ยม ยกระดับการออกแบบระดับเรือธง แถมที่ด้านหลังยังใช้ Fusion Design เราจะเห็นลวดลายฝาหลังที่เรียงกันเป็น Pattern แทรกสีสันที่แตกต่างกันได้อย่างลงตัว
อย่างในสีม่วง Aurora Purple ที่เราได้มาจะมีการเรียงของสีที่บริเวณส่วนบนทั้ง ฟ้า, เทา, เขียวอ่อน พอบวกกับสีม่วงของส่วนล่างก็เป็นสีสันที่มีเอกลักษณ์และไม่ค่อยได้เห็นบ่อย ๆ ด้วย ส่วนผิวสัมผัสฝาหลังก็เป็นกระจกผิวด้านที่เนียนมือให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมไม่น้อยเลยด้วย
หน้าจอของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ก็จะเป็นจอโค้งอย่างที่บอกไปซึ่งนี่เป็นครั้งแรกของ Redmi Note Series เลยก็ว่าได้ครับ ทำให้ตัวเครื่องดูเรียบหรูและมอบประสบการณ์การใช้ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกครับ
ดีไซน์กรอบเหลี่ยมของ Redmi Note 13 5G
รีวิว Redmi Note 13 Series มาต่อกันกับ Redmi Note 13 5G จะมาพร้อมดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Redmi Note Series คือกรอบเครื่องเหลี่ยม ฝาหลังผิวด้านที่ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมบวกกับสีสันไฮไลท์เป็นสีฟ้า Ocean Teal ที่มีความโดดเด่นไม่น้อยเลยล่ะ
หน้าจอก็เป็นแบบแบนพร้อมขอบจอบางเฉียบ ซึ่งไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกพรีเมียมเท่านั้นแต่ยังมอบประสบการณ์การรับชมอย่างดื่มดำอีกด้วย
สีสันอันเป็นเอกลักษณ์บน Redmi Note 13
ส่วนรุ่นน้องเล็ก Redmi Note 13 ก็จะมาในดีไซน์คล้ายกับ Redmi Note 13 5G เลยคือกรอบเหลี่ยมหน้าจอแบน แต่ความโดดเด่นของรุ่นนี้คือสีสันที่บอกเลยว่าทำออกมาได้สะดุดตาสุด ๆ อย่างสีทอง Ocean Sunset ที่เราได้มานั้น เป็นสีทองพร้อมลวดลายเหมือนแสงอาทิตย์ตกสะท้อนบนผืนน้ำทะเล ที่มองกี่ทีก็รู้สึกถึงความพิถีพิถันในการออกแบบจริง ๆ ยิ่งเวลากระทบกับแสงก็จะได้ลวดลายที่ต่างกันออกไปด้วย
ที่หน้าจอแบบแบนก็ยังมีขอบจอบางเฉียบ มอบประสบการณ์การรับชมที่สมจริง ไม่ว่าจะเป็นการดูคอนเทนต์ การเล่นเกม หรือท่องเว็บไซต์สื่อโซเชียลอื่น ๆ ด้วย
อย่างที่บอกครับทั้ง 3 รุ่นมีดีไซน์ที่โดดเด่นไม่แพ้กันสมกับสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” จริง ๆ จุดที่คงเอกลักษณ์ของ Redmi Note 13 Series ไว้ได้เหมือนกันก็คือ Pattern ตรงส่วนกล้องนี่แหละ ดีทั้ง 3 รุ่นเลยว่าไหม ?
หน้าจอ AMOLED ทั้ง 3 รุ่น
มาต่อที่เรื่องหน้าจอกันบ้าง Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่นจะได้หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67″ มาเหมือนกัน แต่บนรุ่น Redmi Note 13 Pro+ 5G จะได้จอโค้ง ส่วนอีก 2 รุ่นที่เหลือจะเป็นจอแบนครับผม
เช่นเดียวกับความละเอียดที่ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะให้มาสูงถึง 1.5K ซึ่งมอบความคมชัดสูง ดูคอนเทนต์นี่ชัดจัด ถึงใจ แถมยังมีความสว่างสูงสุดถึง 1800nits อีกด้วย นี่จอเกรดเรือธงชัด ๆ เลยนะ
ส่วน Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 จะได้ความละเอียดที่ FHD+ และความสว่างสูงสุดที่ 1000nits ซึ่งเราว่าก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้วเหมือนกันครับ สีสันที่จูนออกมาของ 2 รุ่นนี้จะต่างกันนิดหน่อยบน Redmi Note 13 5G จะออกเข้มสมจริง ส่วนฝั่ง Redmi Note 13 จะสดใสอมเหลืองกว่านิดหน่อยครับ
Refresh rate 120Hz ลื่นไหลเหมือนกันหมด
ส่วนเรื่องการตอบสนอง Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่นนี้จะได้ Refresh rate สูงสุด 120Hz เท่ากัน ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ลื่นไหลเวลาเลื่อนหน้าจอ เข้าแอป หรือเล่นเกมก็ถูกใจแน่นอนครับ
รอบเครื่องตำแหน่งคล้ายกัน
รอบ ๆ ตัวเครื่องของ Redmi Note 13 Series จะวางตำแหน่งคล้ายกัน อย่างปุ่มกดก็จะอยู่ที่ฝั่งขวามือของตัวเครื่องทั้งหมด แบ่งเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและปุ่ม Power
ส่วนด้านซ้ายจะเรียบ ๆ แต่บนรุ่น Redmi Note 13 5G จะมีช่องใส่ซิมอยู่ด้วย ในขณะที่ Redmi Note 13 Pro+ 5G และ Redmi Note 13 จะอยู่ที่ด้านล่างของตัวเครื่องแทนครับผม
พอร์ตการเชื่อมต่อหลักจะเป็น USB-C ทั้งหมดอยู่ตำแหน่งด้านล่างพร้อมช่องไมโครโฟนและลำโพงหลักของตัวเครื่อง
ส่วนด้านบนตัวเครื่องทั้ง 3 รุ่นจะมี IR Blaster มาให้เหมือนกัน บน Redmi Note 13 และ Redmi Note 13 5G จะมีช่องเสียงหูฟัง 3.5 มม.มาด้วย และเฉพาะ Redmi Note 13 กับ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมีลำโพงอีกชุดด้านบนตัวเครื่องเพื่อใช้งานร่วมกับลำโพงด้านล่างเพื่อเป็นลำโพง Stereo ด้วยครับ
ลำโพงคู่เสียงเร้าใจพร้อมรองรับ Dolby Atmos
อย่างที่เห็นไปว่า Redmi Note 13 Pro+ และ Redmi Note 13 นั้นจะมาพร้อมลำโพงคู่บน-ล่าง นอกจากนี้ยังไม่พอเพราะทั้งคู่ยังรองรับระบบเสียง Dolby Atmos ให้เราได้เต็มอิ่มกับคุณภาพเสียงอันทรงพลัง มอบประสบการณ์เสียงที่เร้าใจรอบทิศทางอย่างลงตัว!
มีครบทั้งสแกนลายนิ้วมือและสแกนใบหน้า
ในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย Redmi Note 13 และ Redmi Note 13 Pro+ จะได้ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-screen Fingerprint sensor) ให้เราได้แตะสแกนที่ด้านหน้าได้อย่างรวดเร็ว และคล่องตัว
ส่วน Redmi Note 13 5G จะได้ระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่องแทน ความรวดเร็วก็ถือว่ายอดเยี่ยมครับ หยิบปุ๊บแตะนิ้วที่ด้านข้างก็สแกนได้เลย ดีกันคนละอย่างเนาะ
แต่ Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่นก็ยังมีตัวเลือกระบบสแกนใบหน้ามาให้เลือกใช้เหมือนกันด้วย ใครที่ถนัดสแกนใบหน้าปลดล็อคก็ตั้งค่ากันได้เช่นกันครับ
ตัวเครื่องทนทาน มีมาตรฐานกันน้ำด้วยนะ
เรื่องความทนทาน Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมาพร้อมกระจกกันรอยหน้าจอ Gorilla Glass Victus สุดแกร่ง ทนต่อการตกแตกได้ดี รวมถึงยังมีความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่นที่มาตรฐาน IP68 อีกด้วย ไม่ใช่แค่กันละอองน้ำแต่ลงน้ำได้ที่ความละเอียด 1.5 เมตรนาน 30 นาทีเลยล่ะ
ส่วนรุ่นน้องอีก 2 รุ่น จะลดหย่อนเรื่องความทนทานลงมาหน่อย แต่ก็ถือว่าได้มาตรฐานอย่างดีมาอยู่ ทั้งจอ Gorilla Glass และกันน้ำกระเด็น IP54 บน Redmi Note 13 และหน้าจอ Gorilla Glass 5 พร้อมมาตรฐานกันน้ำกระเด็น IP54 บน Redmi Note 13 5G อีกด้วยครับ
กล้องคมชัดสูงสุดระดับ 200MP
มาต่อในเรื่อง “กล้อง” ที่เป็นไฮไลท์ของ Redmi Note 13 Series เลยดีกว่า ทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว และกล้องหลักความละเอียดสูงเกิน 100MP ทั้งหมด สมกับสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” อีกหนึ่งเรื่อง
โดย Redmi Note 13 Pro+ 5G จะจัดเต็มด้วยกล้องหลักความละเอียด 200MP (เซ็นเซอร์ ISOCELL HP3 ขนาดใหญ่ 1/1.4″) พร้อมกล้องเสริมเป็น Ultra Wide 8MP f/2.2 และ Macro 2MP f/2.4 เลยด้วย จัดเต็มสมกับเป็นรุ่นพี่ใหญ่ล่ะว่าไหม!?
ส่วน Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 จะได้กล้องหลัก 108MP + กล้อง Ultra Wide 8MP + กล้อง Macro เหมือนกัน เรียกว่าให้มาไม่กั๊กตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นเลยนะเนี่ย!
กล้องหลักสวยคม เด่นกันคนละช็อต
รีวิว Redmi Note 13 Series ในส่วนของซอฟต์แวร์กล้อง Redmi Note 13 Series ทั้งหมดจะมี AI คอยประมวลผลซีนของภาพเหมือนกันรวมถึงระบบ Auto HDR ด้วย คุณภาพของกล้องหลักก็ทำได้ดีทั้ง 3 รุ่นแหละครับ ด้วยความที่กล้องหลักความละเอียดสูง แต่จุดที่แตกต่างกันคือโทนของภาพที่ถ้าเปรียบง่าย ๆ Redmi Note 13 จะถ่ายออกมาในโทนสีสดจัดจ้าน, Redmi Note 13 5G ก็ยังมีสีจัดอยู่บ้างอมม่วงนิดหน่อย ส่วน Redmi Note 13 Pro+ 5G จะออกมาในโทนสมจริงกับที่ตาเห็นมากที่สุดจัดการ Dynamic Range ได้ดีที่สุด และความที่เซ็นเซอร์ใหญ่สุดเวลาเราถ่ายก็จะได้การละลายฉากหลังที่เนียนตามากที่สุดอีกด้วยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายเรียงจาก Redmi Note 13 | Redmi Note 13 5G | Redmi Note 13 Pro+ 5G
กล้องหลักดี ซูม In-Sensor ได้อีก
อย่างที่บอกไปว่ากล้องหลักของ Redmi Note 13 Series นั้นมีแต่ความละเอียดสูง ๆ ระดับ 100MP+ ทำให้เราสามารถใช้ความสามารถซูมแบบ In-Sensor ในระดับ 2x ได้แบบคมชัด ไม่เสียรายละเอียดไปมาก ช่วยเพิ่มระยะในการเข้าถึงภาพได้มากขึ้นจริง ๆ ถ่ายสนุกขึ้นไปอีก
ยิ่งถ้าเป็น Redmi Note 13 Pro+ 5G จาก 2x ก็ยังเขยิบไปที่ 4x ได้แบบสบาย ๆ มีกล้องหลักความละเอียดสูงตัวเดียวสามารถใช้งานได้ครอบคลุมทุกช่วง ไม่เกินจริงครับ
เปรียบเทียบภาพระยะ 1x > 2x > 4x จาก Redmi Note 13 Pro+ 5G
มีโหมดความละเอียดเต็ม ใช้ครอปเฉพาะส่วนเพิ่มก็ได้
ลืมบอกไปว่าในโหมด Photo ทั่วไปกล้องหลักของ Redmi Note 13 Series จะถ่ายมาที่ความละเอียด 12MP แต่ด้วยวิธีการรวมพิกเซลจากมาก ๆ มาเป็น 12MP จึงได้คุณภาพที่ยอดเยี่ยมไปด้วย แต่ถ้าใครที่อยากได้ความละเอียดเต็มจากเซ็นเซอร์เลย ก็มีโหมด 200MP (Redmi Note 13 Pro+) กับ 108MP (Redmi Note 13 5G | Redmi Note 13) มาให้เลือกใช้งานเช่นกัน ซึ่งในโหมดถ้าเราถ่ายมาจะได้ไฟล์ที่ใหญ่มาก เพียงพอต่อการมาครอปบางส่วนเพื่อใช้งานเป็นภาพใหม่ได้เลย
หรือถ้าอยากดูรายละเอียดบางอย่างจากในภาพขนาดใหญ่ก็สามารถขยายเข้าไปเพื่อและครอปเพื่อไปใช้งานได้อีกด้วยนะ ก็ความละเอียดระดับ 108MP กับ 200MP ทั้งทีครอปได้ระดับ 600% หรือ 1000% ได้สบาย ๆ
กล้อง Ultra Wide มุมกว้างถูกใจ
ส่วนกล้อง Ultra Wide ทั้ง 3 รุ่นจะมีความละเอียดเท่ากันแล้วที่ 8MP แต่ภาพที่ออกมาจะแตกต่างกันนิดหน่อย หลัก ๆ จะเป็นเรื่องแสงที่จัดการได้ดีแตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ ส่วนความละเอียดระดับนี้ก็ถือว่าเพียงพอในการใช้งานทั่วไปแล้วล่ะครับ
กล้อง Macro ก็มี ถ่ายดอกไม้ วัตถุใกล้ ๆ ดีเลย
และกล้องเสริมตัวที่ 3 อย่างกล้อง Macro ก็ให้ติดมาด้วย ตรงนี้จะเห็นความต่างแบบมากขึ้นหน่อย คือบน Redmi Note 13 Pro+ 5G นั้นจะโดดเด่นด้วยคุณภาพที่คมชัดที่สุด ถ่ายในแสงน้อยก็ยังโอเค ในขณะที่ Redmi Note 13 5G จะลดหย่อนลงมา จับภาพได้แม่นและเก็บรายละเอียดได้ดีเมื่อถ่ายในที่แสงเพียงพอ ส่วน Redmi Note 13 ก็จะถ่ายได้ดีเมื่อมีแสงที่เพียงพอครับ
Portrait เบลอสวย สกินโทนดีตามสไตล์
รีวิว Redmi Note 13 Series มาปิดท้ายกล้องหลังด้วยภาพ Portrait หรือโหมดถ่ายคน ที่ดึงคาแร็คเตอร์ของกล้องหลังมาเหมือนเดิมทั้งโทนสีที่มีเอกลักษณ์ในแต่ละรุ่นชัดเจน Redmi Note 13 ออกโทนสดใส, Redmi Note 13 5G สีเข้มคอนทราสจัด และ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะออกโทนอมชมพูละมุน เรื่องการละลายหลังรุ่น Pro+ 5G ก็จะเด่นที่สุด ดึงสีสันฉากหลังและเสริมโบเก้ได้เยอะครับ
เซลฟี่ด้วยกล้องหน้า 16MP เหมือนกัน
และที่กล้องหน้า Redmi Note 13 Series ได้กล้องหน้า 16MP มาเท่ากันเลย ถ้าดูจากสเปคแล้วก็แอบเป็นตัวเดียวกันเลยแหละ แต่ภาพที่ได้จะเป็นโทนเหมือนกล้องหลังครับ มีสีสันเฉพาะในแต่ละรุ่น
โดยรวมเรื่องกล้องของ Redmi Note 13 Series ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม ด้วยฮาร์ดแวร์กล้องหลักความละเอียดสูงที่ให้ภาพคมชัด ใช้งานทดแทนระยะซูม 2x – 4x ได้ ซอฟต์แวร์ที่ปรับภาพได้สวยโดดเด่น ใช้งานได้ครอบคลุมในทุกสถานการณ์ เป็นอีกครั้งที่ Redmi Note Series ทำให้เราประทับใจได้ไม่น้อยเลย ไม่แปลกใจที่เลือกสโลแกน “โดดเด่นในทุกช็อต” จริง ๆ ครับ
ชิปเซ็ตรุ่นกลางประสิทธิภาพสูง
มาต่อในเรื่องประสิทธิภาพกันบ้าง Redmi Note 13 Series มาพร้อมชิปเซ็ตรุ่นกลางที่มีประสิทธิภาพสูงดังนี้เลย
- Redmi Note 13 ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 685 Octa-Core 2.8GHz (6nm) รองรับ 4G
- Redmi Note 13 5G ใช้ชิปเซ็ต Dimensity 6080 Octa-Core 2.4GHz (6nm) รองรับ 5G
- Redmi Note 13 Pro+ 5G ใช้ชิปเซ็ต Dimensity 7200-Ultra Octa-Core 2.8GHz (4nm) รองรับ 5G
ส่วนเรื่องความจุภายในทั้ง 3 รุ่นเริ่มต้นที่ 8GB + 256GB เหมือนกันหมด Redmi Note 13 จะมีให้เลือกความจุเดียว ส่วน Redmi Note 13 5G กับ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมีความจุ 12GB + 512GB ให้เลือกด้วยครับ
สำหรับความแรงของ Redmi Note 13 Series ก็จะแบ่งไปตามระดับอย่างที่บอกไป ซึ่งเราลองทดสอบให้เห็นภาพคร่าว ๆ ก็ออกมาดังนี้เลยครับ
คะแนน AnTuTu Benchmark ของ Redmi Note 13 Series
- Redmi Note 13 = 333867 คะแนน
- Redmi Note 13 5G = 432632 คะแนน
- Redmi Note 13 Pro+ 5G = 748783 คะแนน
คะแนน Geekbench 6 ของ Redmi Note 13 Series
- Redmi Note 13 = Single-Core 477 คะแนน | Multi-Core 1533 คะแนน
- Redmi Note 13 5G = Single-Core 717 คะแนน | Multi-Core 1823 คะแนน
- Redmi Note 13 Pro+ 5G = Single-Core 1121 คะแนน | Multi-Core 2575 คะแนน
เล่นเกมสบาย ๆ สเปคนี้
ส่วนการเล่นเกมด้วยสเปคของ Redmi Note 13 Series ที่ให้มานั้นถือว่าเล่นเกมในระดับกลางได้สบาย ๆ อย่างที่เราทดสอบคือ Asphalt 9 บน Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่นสามารถเลือกเปิด 60fps ได้หมด ถือว่าเล่นได้แบบลื่น ๆ เลยนะ
แบตเตอรี่ 5000mAh ถึงใจใช้งานได้ไม่ต้องกังวล
Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh ใช้งานได้ถึงใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ๆ เหมาะสำหรับการใช้งานที่หนัก เช่น การเล่นเกมนาน ๆ การสตรีมวิดีโอ หรือเล่นโซเชี่ยลแบบต่อเนื่องจริง ๆ ครับ
ชาร์จเร็วสูงสุดที่ 120W
ส่วนเรื่องชาร์จเร็ว Redmi Note 13 Series ก็ได้ระบบชาร์จเร็วมาแตกต่างกันนิดหน่อยประกอบด้วย
- Redmi Note 13 ชาร์จเร็ว 33W Fast Charging
- Redmi Note 13 5G ชาร์จเร็ว 33W Fast Charging
- Redmi Note 13 Pro+ 5G ชาร์จเร็ว 120W HyperCharge
ซึ่งเป็นระบบชาร์จเร็วที่เพียงพอมาก ๆ บนรุ่น Redmi Note 13 และ Redmi Note 13 5G ชาร์จไม่นานก็มีแบตฯกลับมาใช้งานต่อได้แล้ว ส่วนรุ่นพี่ใหญ่ Redmi Note 13 Pro+ 5G ได้ชาร์จเร็วระดับ 120W มาเลย เคลมว่าชาร์จเต็มในเวลาแค่ 19 นาทีเท่านั้น และเหนือสิ่งอื่นใดทั้ง 3 รุ่นจะมีที่ชาร์จแถมมาในกล่องด้วยไง ไม่ต้องซื้อแยกนะจ๊ะ
ยังเป็น MIUI 14 บน Android 13
ปิดท้ายที่เรื่องระบบปฏิบัติการ Redmi Note 13 Series มาพร้อม MIUI 14 ที่ครอบทับบน Android 13 เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟน Xiaomi ในรุ่นใหม่ ๆ มีความลื่นไหลและการปรับแต่งที่น่าสนใจ อาจจะยังไม่ได้ใหม่ล่าสุดถึง HyperOS แต่ก็ถือว่าให้ลูกเล่นที่น่าสนใจมาครบไม่น้อยแล้วครับ
ราคาเปิดตัว Redmi Note 13 Series และโปรโมชั่น
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็คือเรื่องราคาและโปรโมชั่นของ Redmi Note 13 Series โดย Redmi Note 13 จะมีให้เลือกความจุเดียวคือ 8GB + 256GB ส่วน Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมีให้เลือก 2 ความจุคือ 8GB + 256GB และ 12GB + 512GB มีราคาดังนี้เลย
- Redmi Note 13 (8GB + 256GB) ราคา 6,999 บาท
- Redmi Note 13 5G (8GB + 256GB) ราคา 7,999 บาท
- Redmi Note 13 5G (12GB +512GB) ราคา 9,999 บาท
- Redmi Note 13 Pro+ 5G (8GB + 256GB) ราคา 13,990 บาท
- Redmi Note 13 Pro+ 5G (12GB +512GB) ราคา 15,990 บาท
โดยจะมีโปรโมชั่นสำหรับ Redmi Note 13 และ Redmi Note 13 5G ได้รับเป็น Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 690 บาท ส่วน Redmi Note 13 Pro+ 5G รับโปรเพิ่มความจุฟรีมูลค่า 2,000 บาท, ประกันจอแตกนาน 6 เดือน, Goftbox มูลค่ารวม 7,280 บาทด้วยครับ
สรุปแล้ว “นี่คือสมาร์ทโฟนที่โดดเด่นในทุกช็อตกับราคาที่เข้าถึงได้”
สรุปแล้ว รีวิว Redmi Note 13 Series ก็ถือว่าเป็นรุ่นสุดคุ้มใหม่จาก Xiaomi ที่ให้สเปคมาตอบโจทย์การใช้งานหลาย ๆ ด้านอย่างมาก ตั้งแต่หน้าจอ AMOLED ลื่นไหลระดับ 120Hz แสดงผลสวย คมชัด, ชิปเซ็ตประสิทธิภาพเยี่ยม, แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh พร้อมชาร์จเร็วสูงสุด 120W, ดีไซน์ที่สวยงามพรีเมี่ยมมีเอกลักษณ์ในทุกรุ่น และที่ขาดไม่ได้เลยคือกล้องหลังความละเอียดสูงระดับ 100MP – 200MP ใช้งานได้ครอบคลุมและมอบความโดดเด่นให้ทุกการถ่ายภาพในระดับราคานี้จริง ๆ เป็นอีก 3 รุ่นที่เราคิดว่า “โดดเด่นในทุกช็อต” ในงบราคานี้จริง ๆ ครับ!