Smart Review
รีวิว Samsung Galaxy S20 Series สมาร์ทโฟนปฏิวัติการถ่ายภาพที่ดีสุดแห่งยุค, ซูม 100 เท่า, ถ่าย 8K พร้อมฟีเจอร์เพียบ
Samsung Galaxy S20 Series สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นแรกของไทยที่รองรับ 5G ทั้งยังชูโรงด้วยสุดยอดกล้องวิดีโอสมาร์ทโฟนแห่งยุค โดยจะมีทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ S20, S20+ และ S20 Ultra ซึ่งเราจะมารีวิวให้ชมไปพร้อมกันทั้ง 3 เครื่องแบบจัดเต็ม แต่เราขอเน้นไปที่ตัวท็อปสุดอย่าง S20 Ultra แล้วกันครับ แต่ถ้ามีจุดไหนต่างจาก S20 และ S20+ เราก็จะบอกให้นะ
สรุปสเปค Samsung Galaxy S20 Ultra
- ขนาดตัวเครื่อง : 166.9 x 76.0 x 8.8 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : 220 กรัม
- หน้าจอแสดงผล Infinity-O ชนิด Dynamic AMOLED 2X กว้าง 6.9 นิ้ว ความละเอียด Quad HD+ (3200 x 1440 พิกเซล) Refresh Rate 120Hz และรองรับ HDR10+
- หน่วยประมวลผล : Exynos 990 Octa Core
- RAM 12 GB
- ROM 128 GB รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอก MicroSD สูงสุด 1TB
- ระบบปฎิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย One UI 2.1
- กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 4 เลนส์แบ่งเป็น
- เลนส์หลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 รองรับระบบกันสั่นไหว OIS
- เลนส์ Ultra Wide-Angle 120 องศา ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- เลนส์ Telephoto ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/3.5 รองรับระบบกันสั่นไหว OIS
- เลนส์ ToF (DepthVision)
- กล้องหน้าความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- รองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ซิม รองรับ 5G
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax 2.4G+5GHz, Bluetooth 5.0, ANT+ และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh รองรับ Fast Charge 45W
สรุปสเปค Samsung Galaxy S20/S20+
- ขนาดตัวเครื่อง : 151.7 x 69.1 x 7.9 มิลลิเมตร (S20) / 161.9 x 73.7 x 7.8 มิลลิเมตร (S20+)
- น้ำหนัก : 163 กรัม (S20) / 186 กรัม (S20+)
- หน้าจอแสดงผล Infinity-O ชนิด Dynamic AMOLED 2X กว้าง 6.2 นิ้ว (S20) / 6.7 นิ้ว (S20+) ความละเอียด Quad HD+ (3200 x 1440 พิกเซล) Refresh Rate 120Hz และรองรับ HDR10+
- หน่วยประมวลผล : Exynos 990 Octa Core
- RAM 8 GB
- ROM 128 GB รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอก MicroSD สูงสุด 1TB
- ระบบปฎิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย One UI 2.1
- กล้องถ่ายรูปด้านหลังแบ่งเป็น
- เลนส์หลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 รองรับระบบกันสั่นไหว OIS
- เลนส์ Ultra Wide-Angle 120 องศา ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- เลนส์ Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 รองรับระบบกันสั่นไหว OIS
- เลนส์ ToF (DepthVision) เฉพาะ S20+
- กล้องหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- รองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ซิม
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax 2.4G+5GHz, Bluetooth 5.0, ANT+ และพอร์ต USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh (S20) / 4500mAh (S20+) รองรับ Fast Charge 25W
ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล
เรามาเริ่มกันที่ดีไซน์กันเลยครับ โดยทั้ง 3 รุ่นจะมีความคล้ายกันมากๆ ด้วยดีไซน์ที่จับได้ถนัดมือ แล้วได้ลองสัมผัสแบบไม่ใส่เคสก็ถือว่าไม่ลื่นหลุดแน่นอนครับ
หน้าจอแสดงผลก็ถือว่าจัดมาแบบเต็มๆ ตามสไตล์ของ Samsung อยู่แล้วครับที่มีทั้งความคมชัดและจอใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอชนิด Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด QHD+ (2K+) ช่วยให้คุณภาพของสีสันที่ได้ออกมาในทุกรุ่นสวยสดงดงามมากๆ, รองรับ HDR10+ โดยแม้ว่าหน้าจอแต่ละรุ่นจะมีขนาดใหญ่แต่รับรองรับว่าถือมือก็ยังสะดวกอยู่แน่นอนครับ เพราะใช้หน้าจอแบบ Infinity-O ฝังกล้องหน้าลงในหน้าจอ ทำให้พื้นที่การใช้งานมากขึ้นแต่ตัวเครื่องไม่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนมากนัก
ขนาดหน้าจอของ S20 อยู่ที่ 6.2 นิ้ว, S20+ อยู่ที่ 6.7 นิ้ว และ S20 Ultra อยู่ที่ 6.9 นิ้ว ทั้งนี้หากสังเกตดีๆ หน้าจอของทั้ง 3 รุ่นไม่ได้มาแบบโค้งเหมือนกับรุ่นเรือธงปีก่อนๆ เพราะจอโค้งน้อยลงด้วยการใช้กระจกแบบ 2.5D ใครที่กลัวจอโค้งก็หมดปัญหาด้วย S20 Series ไปเลยจ้า
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการแสดงผลแบบลื่นๆ ที่ Refresh Rate 120Hz ในความละเอียด FHD+ ที่ใช้งานได้กับทุกรุ่นครับ และต้องบอกเลยว่าความลื่นนั้นสมูธมากจริงๆ การเลื่อนจอระหว่างการดูเนื้อหาต่างๆ ก็ดูไม่เบลอด้วย
มาดูบริเวณรอบเครื่องกันครับ (เหมือนกันทั้ง 3 รุ่น) ตั้งแต่บริเวณเหนือหน้าจอแสดงผลจะมีกล้องหน้า Infinity-O ฝังในหน้าจอ ถัดขึ้นต้องมองดีๆ ครับ เพราะจะมีลำโพงสำหรับสนทนาและใช้เป็นลำโพงตัวที่ 2 ที่รองรับระบบเสียงรอบทิศทางได้ด้วย ขณะที่เซ็นเซอร์ต่างๆ ก็ฝังใต้หน้าจอใกล้กันครับ
ทางซ้ายของตัวเครื่องจะไม่มีปุ่มอะไรทั้งสิ้น โดยทั้งหมดจะอยู่ที่ด้านขวาครับ ทั้งปุ่ม Power และเพิ่ม-ลดเสียง
ที่ด้านล่างตัวเครื่องจะมีไมโครโฟนตัวที่ 1, พอร์ต USB Type-C และลำโพงตัวที่ 1
ส่วนด้านบนตัวเครื่องจะมีช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ NanoSIM 2 ช่อง แต่ช่องที่ 2 จะให้มาแบบ Hybrid เลือกได้ว่าจะใส่ซิมที่ 2 หรือ MicroSD Card และถัดไปข้างๆ ก็ยังมีไมโครโฟนตัวที่ 2 ด้วย
และสุดท้ายที่ด้านหลังจะมีโมดูลกล้องที่แตกต่างกันเล็กน้อยครับ โดย S20 และ S20+ จะมีขนาดเล็กๆ หน่อย ซึ่งในโมดูลทั้ง 2 รุ่นจะมีกล้อง 3 และ 4 เลนส์พร้อมไฟแฟลช LED ตามลำดับ ส่วน S20 Ultra จะต่างจากรุ่นน้องชัดเจนด้วยโมดูลกล้องที่แบ่งครึ่งบนเป็นกล้อง 3 เลนส์พร้อมไฟแฟลช LED และด้านล่างเป็นเลนส์ Telephoto ที่ Space Zoom ได้ถึง 100 เท่า นอกจากนี้ทุกรุ่นยังมีไมโครโฟนตัวที่ 3 ฝังในโมดูลกล้องด้วย
ซอฟต์แวร์ และฟังก์ชั่นการใช้งาน
ระบบปฎิบัติการ
Samsung Galaxy S20 Series ทั้ง 3 รุ่น แกะกล่องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย One UI 2.1 ที่มีการเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ และทำให้การใช้งานทั่วไปไหลลื่นกว่าเดิมด้วยครับ
หน้าตา UI
วอลเปเปอร์ลายใหม่สดใสเหมือนหน้าจอ
Galaxy S20 Series มาพร้อมกับวอลเปเปอร์ลวดลายใหม่ที่ให้ความสดใสของหน้าจอแสดงผลได้ดีมากๆ ด้วยการเน้นสีสันและเฉดสีแบบเต็มๆ ครับ แถมยังมีให้เลือกถึง 11 แบบ
ใช้ Dark Mode ได้แบบสบายตา
ใน One UI 2.1 ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ Dark Mode ที่ปรับให้พื้นหลังและตัวอักษรเหมาะสมกับการใช้งานในสภาวะแสงน้อยหรือตอนกลางคืน ซึ่งเราสามารถตั้งเวลาให้ระบบเริ่มใช้งาน Dark Mode ได้เอง
Always-on-Display ดูสถานะเครื่องได้ไม่ต้องกดอะไร
ถือว่ามีมาใน Samsung Galaxy มาหลายรุ่นหลายปี และใน Galaxy S20 Series ก็ยังมีมาให้ครับ ซึ่ง Always-on-Display จะบอกสถานะเครื่องตั้งแต่เวลา, วันที่, แบตเตอรี่คงเหลือ รวมถึงหากฟังเพลงอยู่ก็จะขึ้นชื่อเพลงมาให้ด้วย
ทั้งนี้เรายังสามารถปรับแต่งรูปแบบและสีของการแสดงผล Always-on-Display ได้หลายรูปแบบครับ
ระบบความปลอดภัยขั้นสุด
เรื่องระบบความปลอดภัยก็มีครบเหมือนเดิมแต่พัฒนาขึ้นครับ Galaxy S20 Series ได้ใช้เทคโนโลยี Ultrasonic Fingerprint รุ่นใหม่ในการสแแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ ทำให้เวลาสแกนรอไม่นาน, เสถียรขึ้น และเรื่องความผิดพลาดของการสแกนก็ยังไม่มีให้เห็นในช่วงของการใช้งานครับ
นอกจากนี้ ก็ยังมีระบบสแกนใบหน้าที่ให้มาเหมือนเดิม แต่ใน One UI 2.1 เราสามารถเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น เพราะสามารถตั้งค่าให้ต้องลืมตาเท่านั้นถึงจะสแกนใบหน้าผ่าน
ใช้ชีวิตง่ายขึ้นด้วย Bixby Routines
สำหรับฟีเจอร์ Bixby Routines นั้นก็มาแบบตามชื่อครับ โดยปกติเรามักจะต้องตั้งค่ามือถือเองเมื่อออกจากบ้านหรืออยู่ในที่ทำงาน เช่น ปิด Wi-Fi แล้วเปิดข้อมูลมือถือ หรือปิดเสียงเป็นการสั่นแทน เป็นต้น แต่เมื่อใช้ Bixby Routines เราสามารถตั้งค่าให้ทุกอย่างปรับเองโดยอัตโนมัติด้วยการใช้ตำแหน่งหรือเวลาที่เราตั้งค่าเพื่อให้ฟีเจอร์นี้ทำงานครับ
ระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos
ยังมีมาให้เช่นเดิมสำหรับระบบเสียงที่มีคุณภาพจัดเต็มอย่าง Dolby Atmos ที่แบ่งข้างซ้าย-ขวาชัดเจนมากๆ ครับ ให้อรรถรสในการฟังเสียงเต็มอิ่มมากๆ ซึ่งยังใช้ประโยชน์กับการเล่นเกมแนวแอคชั่น เช่น Call of Duty: Mobile หรือ PUBG Mobile ที่แยกเสียงซ้าย-ขวาแบบชัดมากๆ รู้เลยว่าศัตรูจะวิ่งทางไหน
ประสิทธิภาพ การเล่นเกม และแบตเตอรี่
Galaxy S20 Series ทุกรุ่นมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Exynos 990 Octa-core ที่เป็นชิปเรือธงรุ่นล่าสุดของแบรนด์ ที่ช่วยให้ใช้งานได้ดีขึ้น ไหลลื่นกว่าเดิม ทั้งยังลดการใช้พลังงานลงอีกด้วย ทั้งนี้ หน่วยความจำภายในที่ให้มา 128GB ถือว่ามากพอที่จะใช้งาน ไม่ได้ดูน้อยหรืออะไรเลย เพราะเราลองโหลดเกมหรือแอปพลิเคชั่นต่างๆ ก็ยังเหลือพื้นที่พอให้กับรูปถ่ายหรือแอปอื่นๆ อีกด้วย และที่สำคัญคือยังเพิ่ม MicroSD เพื่อขยายความจุได้ถึง 1TB จะใส่รูปหรือถ่ายวิดีโอ 8K ก็ไม่ต้องกลัวเต็มครับ
สำหรับผลการทดสอบทดสอบประสิทธิภาพโดยรวมตั้งแต่หน่วยประมวลผล, การ์ดจอ และหน่วยความจำด้วยโปรแกรม AnTuTu Benchmark ของ Galaxy S20 Ultra ทำได้ไปได้ที่ 492,253 คะแนน
ส่วนผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench 5 ของ Galaxy S20 Ultra ทำคะแนนฝั่ง Single-Core ไปที่ 610 และคะแนน Multi-Core ที่ 2,505
ฟีเจอร์การเล่นเกม
ทั้ง 3 รุ่นยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ผู้ช่วยในการเล่นเกมอย่าง Game Launcher ที่เป็นการรวมเกมไว้ในที่เดียว และบอกระยะเวลาในการเล่นให้เราทราบ และ Game Booster ที่สามารถบล็อคการแจ้งเตือนต่างๆ ไม่ให้มากวนใจเวลาเล่นเกมครับ
ทดสอบการเล่นเกม
ROV
ลองทดสอบการเล่นเกมจริงๆ เกมแรกอย่าง ROV เราได้ปรับทุกอย่างสูงที่สุดทั้งหมด ทั้งการแสดงผลสูงมาก, เฟรมเรทสูง และภาพ HD สูงมาก โดยเล่นโหมด 5 VS 5 ตั้งแต่ต้นเกมถึงท้ายเกมต้องบอกว่าเล่นได้แบบลื่นๆ ครับ เฟรมเรทวิ่งที่ 58-60fps ตลอด อาการเฟรมเรทดรอปก็ไม่มีให้เห็น และเรื่องของหน้าจอการสัมผัสต่างๆ ก็หมดห่วงได้เลยด้วย เพราะไปตามนิ้วแบบสบายๆ
Call Of Duty: Mobile
มาต่อที่เกม Call Of Duty: Mobile เราปรับภาพกราฟิกและเฟรมเรทในระดับ Very High ทั้งคู่ และเล่นโหมด Battle Royal 100 คน ทุกอย่างก็เล่นได้แบบลื่นไหลครับ ไม่มีอาการกระตุกใดๆ ทั้งสิ้น และก็ยังได้ใช้ประโยชน์จากลำโพงสเตอริโอ Dolby Atmos ที่แยกเสียงซ้าย-ขวาโดยไม่ต้องใส่หูฟังด้วย
Asphalt 9: Legends
และสุดท้ายกับเกมแข่งรถภาพสวย Asphalt 9: Legends ที่สามารถปรับกราฟิกในระดับสูงได้ และเราได้ลองเล่นไปหลายสนามหลายรอบ ทุกรอบก็เล่นได้แบบไม่มีปัญหาเลยด้วย
แบตเตอรี่อึดพร้อมชาร์จเร็วด้วย
Samsung Galaxy S20 Series ทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ที่ต่างกันไปครับ ได่แก่
- Galaxy S20 Ultra : 5000mAh + Fast Charge 45W
- Galaxy S20+ : 4500mAh + Fast Charge 25W
- Galaxy S20 : 4000mAh + Fast Charge 25W
โดยเราได้ทดสอบเทคโนโลยี Fast Charge ด้วยอะแดปเตอร์ 25W กับรุ่น Galaxy S20 Ultra ปรากฏว่าการชาร์จถือว่าเร็วพอสมควรครับ เราชาร์จตอนแบตเตอรี่ 21% ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีชาร์จถึง 56% และชาร์จเต็ม 100% ในเวลาตั้งแต่เริ่มชาร์จประมาณ 1 ชม. 20 นาที (อะแดปเตอร์ 45W เร็วกว่านี้แน่นอนครับ)
นอกจากนี้ทุกรุ่นยังรองรับเทคโนโลยี Wireless PowerShare หรือการชาร์จย้อนกลับไปให้อุปกรณ์อื่นๆ ตามมมตรฐาน Qi ครับ โดยใช้ได้ทั้งสมาร์ทโฟนหรือเคสหูฟังต่างๆ รวมถึงการชาร์จไร้สาย Fast Wireless Charging 2.0
กล้องถ่ายรูป
ตัวชูโรงที่ทุกคนรอคอยอย่างกล้องถ่ายรูปใน Samsung Galaxy S20 Ultra ถือว่าเป็นรุ่นที่ทำออกมาให้การถ่ายภาพและวิดีโอนั้นเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น (มากๆ) ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ที่สุดของแบรนด์ที่ 1/1.33 นิ้ว หรือใกญ่กว่า Galaxy S10 ประมาณ 2.9 เท่าเลยทีเดียว ส่วนสเปคกล้องแบบละเอียดทั้ง 3 รุ่นมีดังนี้ครับ
Samsung Galaxy S20 Ultra
- เลนส์หลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 รองรับระบบกันสั่นไหว OIS, PDAF, ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.33″
- เลนส์ Ultra Wide-Angle 120 องศา ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- เลนส์ Telephoto ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/3.5 รองรับระบบกันสั่นไหว OIS
- เลนส์ ToF (DepthVision)
- กล้องหน้าความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
Samsung Galaxy S20 / S20+
- เลนส์หลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 รองรับระบบกันสั่นไหว OIS, Super Speed Dual Pixel AF, ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.76″
- เลนส์ Ultra Wide-Angle 120 องศา ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- เลนส์ Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 รองรับระบบกันสั่นไหว OIS
- เลนส์ ToF (เฉพาะ S20+)
- กล้องหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
โดยฟีเจอร์กล้องจะมีอะไรใหม่ๆ บ้างมาดูกันเลยครับ
AI Scene Optimizer ทำงานรวดเร็วกว่าเดิม
AI Scene Optimizer หรือการใช้ AI มาช่วยแยกแยะวัตถุเป็นหมวดหมู่ต่างๆ นั้นถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าเดิมเยอะครับ เพราะประมวลผลได้รวดเร็วมากขึ้น แค่โฟกัสปุ๊ปก็แยกหมวดหมู่ให้ปั๊บ แถมสีสันก็ดูจัดเต็มกว่าเดิมด้วยนะ
ถ่ายความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซล คมชัดทุกรายละเอียด
ด้วยกล้องใน Galaxy S20 Ultra ที่ให้มาถึงความละเอียด 108 ล้านพิกเซล เราสามารถถ่ายความละเอียดนี้ได้โดยสามารถนำภาพที่ได้มาซูมหรือครอปโดยมียังเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน รวมถึงการทำป้ายขนาดใหญ่ได้แบบสบายๆ ครับ โดยตอนที่ถ่ายโหมดนี้ต้องถือค้างไว้สักครู่หนึ่งด้วยเพื่อรอการประมวลผล
ภาพ 108 ล้านพิกเซล / ครอป
ภาพ 108 ล้านพิกเซล / ครอป
Space Zoom สูงสุด 100 เท่า เห็นถึงดวงจันทร์
ด้วยความเหนือของเรื่องซูมใน Galaxy S20 Ultra ก็มีฟีเจอร์ Space Zoom ที่สามารถซูมได้สูงสุดถึง 100 เท่าผ่านเลนส์ Telephoto 48 ล้านพิกเซล สามารถเก็บช่วงเวลาได้ครบทุกรายละเอียดโดยที่เราไม่ต้องเดินไปใกล้ๆ โดยจากที่ทดสอบจริงๆ หากพูดถึงความคมชัดก็ยังถือว่าอยู่ในระดับพอใช้ได้ครับ ไม่ได้ถึงกับชัดเป๊ะอะไรขนาดนั้นเพราะเป็น Digital Zoom เนาะ แต่ถ้าอยากถ่ายไกลจริงๆ Galaxy S20 Ultra ก็ยังซูมแบบ Hybrid Optic Zoom ได้ถึง 10 เท่าโดยที่รายละเอียดยังคมชัดอยู่ครับ ส่วน Galaxy S20 / S20+ สามารถซูม Hybrid Optic Zoom ได้ 3 เท่าแบบไม่เสีนยรายละเอียด และ Space Zoom ได้สูงสุด 30 เท่า ด้วยเลนส์ Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล
แต่อีกอย่างที่ชอบมากๆ ในช่วงที่ใช้ Space Zoom คือหน้าจอเล็กๆ ที่มุมซ้ายบนครับ จะมีการบอกว่าเราซูมอยู่ในจุดไหน ทำให้ไม่ต้องเคลื่อนที่หานานเลยด้วย ซึ่งทำออกมาได้ตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบใช้การซูมเป็นพิเศษเลย
ถ่ายกลางคืนก็สว่างและดูธรรมชาติด้วย Bright Night
ฟีเจอร์ Bright Night ที่มีมาตั้งแต่ Galaxy S10 Series ได้รับการพัฒนาอย่างมากในตระกูล S20 Series ครับ โดยให้ความสว่างและรายละเอียดที่คมชัดมากขึ้นแบบมากๆ ในตอนกลางคืน ซึ่งต้องว่ามันถ่ายได้ชัดมากขึ้นกว่าเดิมสุดๆ!!
โหมดปกติ / โหมดกลางคืน (Bright Night)
โหมดปกติ / โหมดกลางคืน (Bright Night)
โหมดปกติ / โหมดกลางคืน (Bright Night)
สำหรับการถ่ายโหมดกลางคืนตอนนี้ ก่อนถ่าย AI ก็จะประมวลผลให้เรารู้ว่าจะให้ยืนถือนิ่งๆ ประมาณกี่วินาที และเมื่อกดถ่ายไปแล้วก็จะมีการนับถอยหลังให้ด้วยครับ
ฟีเจอร์ Bright Night ยังใช้เลนส์ Ultra-Wide ถ่ายก็ได้นะ แจ่มไม่แพ้กันเลยครับ
Single Take ช็อตเดียวเก็บได้ทุกฟีเจอร์
ถือเป็นฟีเจอร์ที่ใช้บ่อยที่สุดครับสำหรับ Single Take ที่เราสามารถกดชัตเตอร์เพียงครั้งเดียวแล้วได้ทั้งภาพนิ่งหลายภาพที่ AI คัดเลือกมาแล้วว่าคมชัดและดีที่สุด และวิดีโอต่างๆ ที่สำคัญไม่ใช่แค่วิดีโอปกติครับ เพราะวิดีโอจะมีทั้งแบบ Hyperlapse หรือ Boomerang ที่มีให้เลือกด้วย โดยเราก็สามารถเลือกได้เลยว่าจะเก็บหรือลบอะไรไว้บ้าง (ใช้งานได้ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้า)
Live Focus เบลอหลังเนียนๆ ธรรมชาติกว่าเก่า
โหมด Live Focus ก็ยังมีมาให้เช่นเดิมครับ คือเป็นการเบลอฉากหลังได้แบบเนียนตาและดูธรรมชาติมากขึ้น ตัดขอบได้เนียนๆ ครับ ไม่ใช่แค่ถ่ายคนเท่านั้นเพราะถ่ายวัตถุต่างๆ ก็ได้เหมือนกันจ้า
กล้องหลัง
กล้องหน้า
ซึ่งก็ยังมีเอฟเฟ็กต์พื้นหลังให้เลือก 5 แบบ ได้แก่ เบลอ, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และคัลเลอร์พอยท์ ซึ่งแต่ละเอฟเฟ็กต์สามารถปรับระดับได้ตั้งแต่ 0 – 7 ระดับตามใจชอบเลย
Ultra-Wide เก็บครบทุกองค์ประกอบ
เรื่องการถ่าย Ultra-Wide เรียกว่าต้องไว้ใจ Samsung เลยทีเดียวครับ เพราะเลนส์นี้ถือเป็นจุดเด่นที่ใครหลายคนได้ลองแล้วต้องชอบแน่นอน แล้วยิ่งใน Galaxy S20 Series ก็ยิ่งทำให้ภาพ สีสัน และความคมชัดนั้นดีขึ้นด้วย แต่เรื่ององศาความกว้างที่ได้จะน้อยลงกว่า Galaxy S10 Series เล็กน้อยที่ 120 องศา จาก 123 องศา
เลนส์ปกติ / เลนส์ Ultra-Wide
เลนส์ปกติ / เลนส์ Ultra-Wide
เรื่องการถ่ายวิดีโอก็มีหลายฟีเจอร์เช่นกันครับ ดังนี้
วิดีโอ 8K เรือธงรุ่นแรกของโลกที่ทำได้
Galaxy S20 Series ทุกรุ่นสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 8K ได้ทั้งหมดครับ โดยเราจะได้ขนาดวิดีโออยู่ที่ 7680 x 4320 พิกเซล ทั้งนี้ เรายังใช้งาน 8K Video Snap หรือแคปภาพจากวิดีโอ 8K ให้ได้ภาพนิ่งความละเอียดถึง 33 ล้านพิกเซลอีกด้วย จะนำไปลงโซเชียลเป็นช็อตเผลอๆ หรือสวยๆ ก็ทำได้แบบสบายๆ ไม่พลาดทุกโมเมนต์สำคัญ
SUPER STEADY 2.0 กันสั่นจัดเต็มนิ่งขึ้นกว่าเดิม
SUPER STEADY ที่ให้มาในทั้ง 3 รุ่นถือว่ามีความนิ่งกว่าเดิมพอสมควรครับเมื่อเทียบกับ Galaxy S10 เวลาเดินหรือวิ่งก็ไม่มีการสั่นจนทำให้มึนหัวเวลานำกลับมาดู
สรุปจุดเด่น
- หน้าจอแสดงผล Infinity-O ทำให้หน้าจอใหญ่ขึ้นแต่ขนาดเครื่องยังจับถือสะดวก รวมถึงชนิด Dynamic AMOLED 2X ที่ให้ความสดใสของสีสันมากขึ้นกว่าเดิม
- กล้องที่มีมาให้ถือว่าฟีเจอร์ครบทั้งภาพนิ่งและการถ่ายวิดีโอ ทั้งซูมสูงสุด 100 เท่า, วิดีโอ 8K และฟีเจอร์ Single Take
- หน่วยประมวลผล Exynos 990 ถือว่าใช้งานได้เต็มที่และไหลลื่นครับ
- แบตเตอรี่ให้มามีความจุเพียงพอต่อการใช้งานทั้งวันแน่นอนครับ (S20:4000mAh,S20+:4500mAh, S20 Ultra:5000mAh) ทั้งยังมี Fast Charge ที่ชาร์จได้เร็วไม่ต้องรอนาน
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- หน้าจอ Refresh Rate 120Hz ใช้ได้ที่ความละเอียด FHD+
- Galaxy S20 Ultra รองรับ 5G เพียงแค่รุ่นเดียวในตระกูลนี้ (อ้างอิงจากรุ่นที่ขายในไทย)
สำหรับราคาของทั้ง 3 รุ่นมีดังนี้
- Samsung Galaxy S20 : 28,900 บาท
- Samsung Galaxy S20+ : 31,900 บาท
- Samsung Galaxy S20 Ultra : 39,900 บาท
โดยทุกรุ่นจะพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 5 มีนาคม 63 และจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 มีนาคมนี้